ตอนที่ 571 รูปลักษณ์อมตะ / ตอนที่ 572 ถูกพิษจากเธอ
ตอนที่ 571 รูปลักษณ์อมตะ
วันเทศกาลไหว้พระจันทร์ ทั้งสองคนยังคงตื่นแต่เช้าเช่นเคย
ฝึกฝนกำลังภายในตามปกติ จากนั้นก็เก็บของ กินอาหารเช้าแล้วออกเดินทาง
จอดรถในที่ที่เหมาะสม ทั้งสองคนเลี่ยงนักท่องเที่ยวด้วยการไม่เข้าป่าตามเส้นทางหลัก
ป่าหลากสีสันต้นไม้ขึ้นหนาทึบ เช่น สนผลัดใบ สนปีนัส สนสปรูซ ต้นเบิร์ช หลากสีสันทอดยาวไปไกลพาทั้งสองคนดื่มด่ำจนหลุดออกมาไม่ได้
หากไม่พูดเรื่องอันตราย ที่นี่แตกต่างกับป่าเซียนโหยวอย่างมากตรงที่สีสันหลากหลายกว่า ให้ความรู้สึกที่มีมิติกว่า
ป่าเซียนโหยวส่วนใหญ่จะเขียวชอุ่มตลอดปี แน่นอนว่าก็มีดอกไม้หลากหลายสี แต่มันเป็นส่วนน้อยของป่าเซียนโหยวที่กว้างใหญ่ ได้แค่ขึ้นแซมเล็กน้อยเท่านั้น
ไม่เหมือนป่าไม้ที่มีสีสันแห่งนี้ ต้นไม้สีสดและหลากสีกว่า สีสันเป็นองค์ประกอบหลักของที่นี่ เหมือนอยู่ในโลกเทพนิยาย
“ซาลาเปาน้อย พวกเรามาเส้นทางนี้ถูกแล้ว”
“อึม สีสันที่สวยแบบนี้ชวนสะกดใจจริงๆ”
“ที่นี่เป็นหนึ่งในแปดเขตไร้มลพิษของโลก รู้สึกได้เลยว่าขนาดสีสันก็ยังสดสวยกว่าข้างนอกเยอะ”
มู่เถาเยาพยักหน้า “ใช่ค่ะ ครั้งหน้าฉันอยากพาพวกอาจารย์มาดูด้วย”
“ได้สิ ไว้ถึงตอนนั้นฉันมาด้วยคน”
ทั้งสองคนค่อยๆ เดินบนเส้นทางที่ไม่มีทางเดินอย่างไม่รีบร้อนเพื่อขึ้นเขา พบเจอพรรณไม้ล้ำค่าอยู่ไม่น้อย
ลำธาร น้ำตก ถูกบดบังอยู่ภายใต้สีสัน ช่วยเพิ่มความมีชีวิตชีวาให้ป่าแห่งนี้
ภายใต้ท้องฟ้าสีคราม ป่าหลากสีได้แสดงความงามเหมือนต้องมนต์สะกดให้แก่ทั้งสองคน ชวนให้จินตนาการเหมือนอยู่ในแดนสวรรค์
“ซาลาเปาน้อย พวกเราเดินช้าหน่อย คืนนี้นอนบนยอดเขา บนนั้นน่าจะไม่มีคน”
อันที่จริงภายในป่าแห่งนี้มีพื้นที่สำหรับตั้งแคมป์โดยเฉพาะ แต่เส้นทางที่พวกเขาเดินมาไม่ใช่เส้นทางปกติ ระหว่างเดินมาจึงไม่พบนักท่องเที่ยว ดังนั้นโอกาสที่จะเดินจากตรงนี้ไปบนยอดเขาแล้วพบนักท่องเที่ยวจึงมีน้อยมาก
“ค่ะ ที่นี่ไม่มีพืชมีพิษด้วย”
“ถึงได้ถูกบุกเบิกเป็นแหล่งท่องเที่ยวยังไงล่ะ”
“นั่นสิคะ พี่สาม พวกเราหาที่นั่งกินผลไม้กับขนมกันดีกว่า” หลักๆ คืออยากสังเกตดูสมุนไพรที่พบเจอหน่อย
นี่คือโรครักงานเป็นชีวิตจิตใจ
“เอาสิ” ตี้อู๋เปียนแค่มองก็รู้ทันความคิดของเธอ
ขอแค่เธอมีสิ่งที่ต้องการ เขาก็จะไม่คัดค้าน
ทั้งสองคนหาที่ที่ค่อนข้างเรียบหน่อยแล้ววางเต็นท์ ขนม น้ำ และอื่นๆ ลง
มู่เถาเยามองหาสมุนไพรรอบๆ
มีอยู่ไม่น้อย แต่พบเห็นบ่อย ไม่ใช่สมุนไพรหายากอะไร ยังไม่ได้มีค่าเท่าพวกพรรณไม้
แต่เธอก็พบต้นที่ไม่ทราบชื่อ สีแดงเหมือนใบเมเปิ้ลถึงขั้นที่ใบก็คล้ายด้วย ลำต้นผอมเล็กมาก แต่กลับให้ความรู้สึกเย้ายวน
หลังจากถ่ายรูปเสร็จก็เรียกตี้อู๋เปียนมา อยากถามว่ามันคืออะไร
ตี้อู๋เปียนกำลังปอกสาลี่ให้เธอพอดี จึงถือสาลี่ไปด้วย
“ซาลาเปาน้อย มานั่งพักก่อนสิ ขอฉันคุยกับมันก่อน”
“อึม” มู่เถาเยารับสาลี่ไปแล้วนั่งลง
‘สกปรก’ ในป่ากับ ‘สกปรก’ ในเมืองใหญ่คนละนิยามกัน เธอไม่รังเกียจดินโคลนในป่าเลยสักนิด เพราะสกปรกแบบนี้แค่ล้างก็สะอาด เป็นเรื่องภายนอก เผชิญได้อย่างตรงๆ
มู่เถาเยากินสาลี่เสร็จ ทางนั้นก็คุยกันเสร็จพอดี
“ซาลาเปาน้อย มันบอกว่าชื่อหงเหยียน”
“หงเหยียนเหรอ ฟังดูเหมือนสมุนไพรที่บำรุงความงามได้…” มู่เถาเยาเอากิ่งไม้ขุดหลุมฝังเม็ดผลไม้
ต่อให้โตเป็นต้นสาลี่ไม่ได้ก็ยังเป็นปุ๋ยให้ดินได้
ไม่ว่าจะแบบไหนก็ไม่มีทางเป็นภัยต่อสภาพแวดล้อม
“ซาลาเปาน้อย มันไม่ใช่สมุนไพรบำรุงความงาม แต่เป็นสมุนไพรมีพิษ มันบอกว่าสิ่งมีชีวิตที่กินมันเข้าไปรูปลักษณ์จะคงอยู่ตลอดกาล”
“สมุนไพรมีพิษเหรอ…” เก็บหรือไม่เก็บดีนะ
คงไม่มีใครโง่ถึงขั้นเก็บพืชที่ไม่รู้จักมากินหรือเปล่า ดังนั้นโอกาสที่คนจะเผลอกินเข้าไปก็มีน้อยมาก
“ซาลาเปาน้อยไม่ต้องเป็นห่วง ต้องกินมันถึงจะถูกพิษ ถ้าสัมผัสถูกหรือสูดกลิ่นจะไม่มีอันตรายอะไร”
“ถามให้หน่อยค่ะว่ายินดีไปกับฉันไหม” มู่เถาเยาอยากเก็บกลับไปวิจัย
เพราะเดิมทีก็มีสมุนไพรมีพิษหลายชนิดที่รักษาโรคได้
ตี้อู๋เปียนมองสาวน้อยที่มีสีหน้าคาดหวัง เขายิ้มพูด “ซาลาเปาน้อย สวนหลังบ้างไม่มีที่ปลูกแล้ว ฉันว่าน่าจะหาพื้นที่เฉพาะสำหรับปลูกสมุนไพรที่เอากลับมาจากแต่ละพื้นที่นะ”
มู่เถาเยาพยักหน้า “ฉันก็คิดแบบนั้นค่ะ จะปลูกที่หมู่บ้านเถาหยวนหรือที่เผ่าก็ได้ สภาพอากาศกับดินของทั้งสองที่เหมาะสมหมด”
มู่เถาเยามีสถานะพิเศษ ของที่เก็บมาก็ล้วนแต่เอาไปวิจัย ประเทศเหยียนหวงจึงให้สิทธิพิเศษ ไม่ว่าเธอจะไปที่ไหนในเขตประเทศ เก็บอะไรก็เอากลับไปได้หมด
คนที่มีสิทธิพิเศษแบบนี้ยังมีหยวนเหยี่ยอีกคน
“งั้นก็เก็บเลย เอาดินใส่ถุงพลาสติกเลี้ยงไว้ในนั้นก่อน พอลงเขาไปค่อยหากระถางให้มัน”
มู่เถาเยาลังเลเล็กน้อยแล้วพูดขึ้น “พี่สามสื่อสารกับพวกมันได้ จะตัดใจทำไม่ลงหรือเปล่า แบบเสี่ยวฉยง”
ตี้อู๋เปียนหัวเราะ “ฉันก็สื่อสารกับหมูเป็ดไก่ช้างม้าวัวควายได้นะ ฉันก็ยังกินเนื้อไก่เนื้อเป็ดเนื้อวัวไม่ใช่เหรอ ฉันคุยกับผักกวางตุ้งก็ได้ แต่ก็กินพวกมันใช่ไหมล่ะ ไม่อย่างนั้นฉันจะอยู่ยังไง กินหยาดน้ำค้างเหรอ หรือว่าดูดวิญญาณบริสุทธิ์ดีล่ะ”
มู่เถาเยาถึงกับหัวเราะออกมา “ก็จริงนะ สิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดบนโลกล้วนมีชะตากรรมของตัวเอง”
“อึม เธอไปเอาถุงพลาสติกมาใส่ดินนะ ฉันจะขุดหงเหยียน”
“ค่ะ”
ตี้อู๋เปียนหากิ่งไม้ที่ท่อนใหญ่หน่อยแล้วเริ่มขุดรอบต้นหงเหยียน
มู่เถาเยาเอาดินที่ถูกขุดออกมาใส่ถุง
ไม่นานต้นหงเหยียนก็ไปอยู่ในถุง
ทันใดนั้นตี้อู๋เปียนก็ได้วิธีไว้ล่อหลอกมู่เถาเยาแล้ว นั่นก็คือใช้ความสามารถพิเศษของตัวเองหาสมุนไพรให้เธอ เพื่อที่เธอจะได้ไม่ไปจากเขาทั้งชีวิต!
ตอนที่ 572 ถูกพิษจากเธอ
ทั้งสองคนเดินขึ้นเขาต่อ ไปถึงยอดเขาก่อนดวงอาทิตย์ตกดิน
อันที่จริงภูเขาไม่ได้สูง ไม่ถึงสองพันเมตร แต่ที่ใช้เวลาขึ้นเขานานขนาดนี้เพราะเที่ยวชมไปตามทาง
ป่าหลากสีที่ต้นไม้ขึ้นหนาแน่นแบบนี้อันที่จริงไม่มีสมุนไพรที่น่าเก็บสักเท่าไร ส่วนใหญ่พบเห็นได้ทั่วไป
ตี้อู๋เปียนก็ใช้พลังวิเศษค้นหาดูแล้ว เขาไม่พบสมุนไพรอะไรที่ควรค่าให้เก็บกลับไปยกเว้นต้นหงเหยียนต้นนั้น
ทั้งสองคนจึงค่อยๆ ดื่มด่ำกับทิวทัศน์เดินขึ้นเรื่อย ๆ
หลังจากชมดวงอาทิตย์ในฤดูใบไม้ร่วงตกเสร็จก็ไปหาที่เหมาะๆ ตั้งเต็นท์ก่อนที่ฟ้าจะมืดสนิท
แม้จะเอาอุปกรณ์ส่องแสงมาด้วย แต่อย่างไรเสียก็สู้แสงจากธรรมชาติไม่ได้
ตั้งเต็นท์สองหลังเสร็จก็วางเรียงผลไม้ ขนม ขนมไหว้พระจันทร์ ตี้อู๋เปียนอดพูดขึ้นไม่ได้ “ถ้าคืนนี้ฝนตกหน่อย พรุ่งนี้ได้เห็นทะเลหมอกก็จะเพอร์เฟกเลย”
ที่นี่ในเดือนตุลาคมถึงเดือนพฤศจิกายนจะมีโอกาสค่อนข้างสูงที่จะได้เห็นทะเลหมอก
มู่เถาเยามองตี้อู๋เปียน ยิ้มพูด “สองวันนี้ฝนไม่น่าจะตก”
“งั้นก็ชมจันทร์ วันนี้เป็นวันไหว้พระจันทร์ สองสามวันนี้ไม่น่าจะมีนักท่องเที่ยวขึ้นมาตั้งแคมป์”
มู่เถาเยาพยักหน้า
พวกเขาทำสวนทางกับคนอื่น
“ซาลาเปาน้อย ต่อไปพวกเราอยู่ด้วยกันทุกวันหยุดเทศกาลเถอะ”
“…ฉันคงไม่มีทางออกมาช่วงเทศกาลไหว้พระจันทร์อีกแล้วหรือเปล่า”
เธอไม่แคร์ว่าจะเป็นวันหยุดเทศกาลหรือไม่ แต่คนที่เริ่มมีอายุอาจจะค่อนข้างคาดหวังที่ครอบครัวจะได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตา
“ไม่ว่าเธอจะอยู่ที่ไหนฉันก็จะอยู่ด้วย”
“…แล้วคนในครอบครัวพี่สามล่ะ”
“อยู่ด้วยกัน”
วันหน้าเธอแต่งกับเขา ถ้าไม่ใช้เวลากับครอบครัวนี้ก็ไปอยู่กับครอบครัวนั้น เขาจะอยู่ด้วยตลอด
“ซาลาเปาน้อย ฉันจะบอกให้ว่าคนสองคนแต่งงานกันมีข้อดีเยอะแยะ คิดดูนะ มีคนร่วมแชร์ความสุขเท่ากับสุขสองเท่า…พวกผู้ใหญ่ก็มีลูกหลานเพิ่ม…วันหน้าแก่ตัวลงปล่อยวางได้หมดก็ยังออกไปเที่ยวแบบพวกป้าจางได้…”
มู่เถาเยาฟังแล้วก็ง่วงนอน
สิ่งที่เขาพูดมาเธอทำด้วยตัวคนเดียวได้ แล้วจะแต่งงานทำไม
พอตี้อู๋เปียนเห็นสีหน้าเธอก็รู้แล้วว่าเธอไม่อิน จึงเปลี่ยนไปถาม “ซาลาเปาน้อย เธอเคยรู้สึกเหงาไหม”
มู่เถาเยาครุ่นคิดแล้วตอบ “ไม่เคยค่ะ”
เมื่อชาติที่แล้วช่วงก่อนเจ็ดขวบเธอเป็นองค์หญิงที่แสนสุขสบาย รู้จักเหงาที่ไหนกัน!
หลังเจ็ดขวบแต่ละวันมีเรื่องให้ประสาทกินทุกวันเพื่อให้เธอกับน้องและครอบครัวตายายมีชีวิตรอด มีเวลาเหงาด้วยเหรอ!
พอขึ้นเป็นจักรพรรดินีก็มีเรื่องให้คิดทุกวัน เป็นห่วงบ้านเมืองเป็นห่วงราษฎร…ไหนล่ะเวลาเหงา!
ชาตินี้มีแต่คนรุมล้อมมาตั้งแต่เป็นทารก ต่อให้คิดถึงคนในครอบครัวเมื่อชาติก่อนก็ไม่ได้รู้สึกเหงา เพราะพวกศิษย์ในสำนักกับชาวหมู่บ้านเถาหยวนเพียงพอที่จะเป็นคนในครอบครัวปลอบโยนเธอได้
ตอนเธอจากมาเยี่ยนหังเติบโตจนเป็นจักรพรรดิที่โดดเด่นแล้ว และยังมีตระกูลเย่ว์ที่เป็นครอบครัวตายายกับตระกูลเป่ยที่เป็นญาติกัน รวมถึงตระกูลฝั่งสามีของลูกพี่ลูกน้องเย่ว์หยา หรือก็คือตระกูลหนานที่เป็นตระกูลนักปราชญ์ มีทั้งฝ่ายบุ๋นและบู๊สนับสนุน ร่วมแรงร่วมใจทำเพื่อราชสำนักและราษฎร เธอไม่มีอะไรให้ต้องห่วง
เรื่องเดียวที่เสียดายคือไม่ได้ช่วยอาจารย์ตามหาพี่ชายให้เจอ
ความเหงาเป็นความรู้สึกที่เธอไม่เคยสัมผัสมาก่อน
“พี่สามอยู่คนเดียวที่เย่ว์ตูมาตลอด เหงามากเลยใช่ไหม”
ตี้อู๋เปียนพยักหน้า “ต้องเหงาอยู่แล้ว แต่ก็รู้ว่าครอบครัวทำเพื่อสุขภาพของฉัน จำต้องส่งไปพักฟื้นที่เย่ว์ตู”
ช่วงแรกที่อยู่เมืองเย่ว์ตูสุขภาพยังไม่แย่ ยังออกไปไหนมาไหนได้ แต่ก็ด้วยสถานะที่มีความพิเศษ ไม่สะดวกออกไปข้างนอก กลัวถูกใครชนเข้าแล้วร่างกายของเขาจะรับไม่ไหว
อยู่บ้านทำงานบ้าง อ่านหนังสือบ้าง ใครจะอยู่เป็นเพื่อนเขาที่เมืองเย่ว์ตูนานขนาดนั้นได้ล่ะ
บอกว่าไม่เหงาก็โกหกแล้ว
“แต่ต่อมาพอโตขึ้น ความรู้สึกเหงาก็น้อยลงแล้ว ร่างกายใช้การไม่ได้ แต่สมองทำงานดีมาก มีอะไรทำก็ไม่เหงาแล้วล่ะ”
มู่เถาเยาลูบศีรษะตี้อู๋เปียนเหมือนที่ลูบเยี่ยนหังกับอู๋ซวง
ตี้อู๋เปียนอึ้งไปชั่วขณะ จากนั้นก็พิงที่บ่าเธอ อยากให้ลูบอีก อยากให้ปลอบใจ แท้จริงแล้วฉวยโอกาสแนบชิดต่างหาก!
แต่เพราะอยู่ใกล้ กลิ่นหอมของสาวน้อยก็โชยเข้ามาในจมูกของเขาไม่หยุด ทำให้เขาเริ่มร้อนรุ่ม
“ซาลาเปาน้อย…” เสียงแหบเล็กน้อย
“อะไรเหรอ ไม่สบายตรงไหน ขอฉันดูหน่อย”
มู่เถาเยาฟังเสียงของเขาดูแหบไปหน่อย เหมือนไม่สบาย จึงจับมือเขาขึ้นมาตรวจชีพจร
“…นอกจากหัวใจเต้นเร็วไปหน่อย…ก็ไม่มีอะไรผิดปกติ ไม่มีเค้าลางของการถูกพิษด้วย…น่าแปลก…”
“ฉันถูกพิษ”
“หา?”
มู่เถาเยารีบจับมืออีกข้างของเขามาตรวจชีพจร จากนั้นก็จับศีรษะของเขาให้ตรง แหวกดูม่านตา
หลังจากทำทุกอย่างเสร็จสรรพเธอก็ถามด้วยความไม่เข้าใจ “รู้สึกยังไงบ้างคะ ทำไมฉันไม่เห็นพบอาการเหมือนถูกพิษเลย ไม่ถูกสิ พี่สามกินหญ้าพิษชีวิตไปแล้ว ไม่มีทางถูกพิษได้…”
ตี้อู๋เปียนจับสองมือของมู่เถาเยาด้วยความรู้สึกขำ เอามือเธอมาจับตรงหัวใจของเขา ให้เธอสัมผัสถึงหัวใจที่เต้นแรงเพราะเธอ
“ซาลาเปาน้อย ฉันถูกพิษจากเธอถึงได้หัวใจเต้นแรง”
มู่เถาเยา “!”