ตอนที่ 486 หมื่นปีถึงจะโตเต็มที่
มู่เถาเยามองพี่ชายเหาะลงจากภูเขาหิมะ จากนั้นก็ใช้กล้องส่องทางไกลมองไปตรงจุดตั้งแคมป์
เจ้าตัวน้อยขนปุกปุยกระโดดขึ้นไหล่ของเธอ จ้องกล้องส่องทางไกลด้วยความสงสัย
มู่เถาเยาเห็นแม่กับน้องชายก็กำลังใช้กล้องส่องทางไกลมองเธออยู่ เธอโบกมือให้ทั้งสองคนด้วยความดีใจ
คนข้างบนกับข้างล่างสื่อสารกันด้วยสัญญาณมืออยู่สักพัก ต่างฝ่ายต่างสบายใจแล้ว
มู่เถาเยานั่งลง หยิบขวดน้ำดื่มขนาดห้าร้อยมิลลิลิตรออกมาจากเป้ปีนเขาแล้วดื่มหนึ่งในสาม จากนั้นก็เก็บ
เธอไม่รู้สึกหิวจึงไม่กินยาบำรุงแล้ว
ไม่ได้แตะเนื้อแห้งกับช็อกโกแลตในกระเป๋า เพราะไม่สะดวกในการขับถ่ายจริงๆ หลายวันมานี้เธอกับพี่ชายจึงกินยาบำรุงวันละเม็ด พยายามดื่มน้ำให้น้อยที่สุด
เอาเป้ปีนเขาไว้ด้านหนึ่ง จากนั้นก็เดินเข้าไปใกล้หญ้าพิษชีวิตพร้อมเจ้าตัวน้อยที่อยู่บนไหล่
“จี๊ดๆ”
มู่เถาเยาหันหน้าไปยิ้มพูดกับมัน “เจ้าขาวปุย ขอบใจที่ช่วยชีวิตพวกเราไว้นะ อึม!! ต่อไปชื่อขาวปุยดีไหม ย่อมาจากตัวขาวปุกปุย”
“แจ๊ะๆ”
“เอ๊ะ ทำเสียงอื่นได้ด้วยเหรอ! ฉลาดจังเลย!”
มู่เถาเยาเอาเจ้าตัวน้อยลงมาจากบ่าแล้วกอดไว้ นั่งขัดสมาธิข้างต้นหญ้าพิษชีวิตแล้วเล่นกับเจ้าตัวน้อย
“เจ้าขาวปุย ปรึกษากันหน่อย…” มู่เถาเยาใช้นิ้วเรียวยาวที่ขาวดุจหยกชี้หญ้าพิษชีวิตแล้วพูดต่อ “หญ้าพิษชีวิตต้นนี้ใหญ่พอสมควร แบ่งให้พวกเราหน่อยได้ไหม”
เจ้าตัวน้อยมองมู่เถาเยาด้วยดวงตาสีแดงสด ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ หรือว่าไม่เข้าใจคำพูดของเธอ
“ไม่งั้นขาวปุยกินดอกสวยๆ ไป ฉันขอแค่ใบได้ไหม”
ดอกกับใบมีสรรพคุณเหมือนกัน
“จี๊ดๆ”
มู่เถาเยา “…”
เธอไม่รู้จริงๆ ว่ามันต้องการสื่ออะไร แต่แน่ใจได้ว่ามันไม่ได้โกรธ
มันอาจไม่รู้ก็ได้ว่าเธอต้องการหญ้าพิษชีวิต ไม่อย่างนั้นทำไมถึงดูไม่โมโหเลยล่ะ
หญ้าพิษชีวิตอย่างน้อยต้องใช้เวลาหมื่นปีกว่าจะเติบโตขึ้นมา ผ่านไปอีกหมื่นปีกว่าจะโตเต็มที่ เจ้าขาวปุยเฝ้าอยู่ที่นี่มาไม่รู้กี่พันปีหรือว่าหมื่นสองหมื่นปีแล้ว มีเหรอจะยอมยกของล้ำค่าของตัวเองให้
ต่อให้เป็นคนอื่นก็ไม่มีทางหรอก!
ดังนั้นตอนนี้เธอตีซี้ไว้ก่อนดีกว่า
“เจ้าขาวปุย อยู่ที่นี่มากี่ปีแล้ว กินอะไรเป็นอาหารเหรอ ทำไมน้ำตาของเราถึงเป็นสีแดงล่ะ แถมยังถอนพิษได้ด้วย”
“จี๊ดๆ”
มู่เถาเยาเอานิ้วเขี่ยปากแหลมเล็กที่แสนน่ารักของมัน ยิ้มดวงตาโค้งมนพลางพูด “เราน่ะเป็นตัวอะไรเหรอ ทำไมโดนพิษของหญ้าพิษชีวิตแล้วไม่สลบล่ะ ทำไมน้ำตาถึงถอนพิษได้ งั้นเลือดของเราล่ะ ทำให้คนโดนพิษได้หรือเปล่า”
“จี๊ดๆ แจ๊ะๆ…”
“เจ้าขาวปุย ตอนพวกเราเจอกันครั้งแรก ขาวปุยวิ่งมาจากข้างล่างหรือเปล่า งั้นขาวปุยลงไปทำอะไรเหรอ ไปกินเยี่ยนหงกับชวนไป๋ใช่ไหม น้ำตาของขาวปุยเป็นสีแดงเพราะสาเหตุจากเยี่ยนหงหรือเปล่า”
“จิ ๆ กุ๊กๆ อิ ๆ…”
มู่เถาเยาหัวเราะ
จิ้มปากแหลมสีแดงเล่นอีก “ไปเลียนแบบเสียงอะไรมา”
“ฟิดๆ จี้ด ๆ
“อุ๊บ…ไม่ใช่แค่ร้องเสียงนกได้ ร้องเสียงหนูก็ได้ด้วย! ภาษาอื่นล่ะ”
“โฮกๆ ซู่ๆ…”
มู่เถาเยาหัวเราะท้องคัดท้องแข็ง นั่งไม่อยู่แล้ว
“เจ้าขาวปุย ที่นี่ยังมีสัตว์อื่นอีกไหมนอกจากเราน่ะ ถ้าไม่มีสัตว์อื่นแล้วเราไม่เหงาเหรอ อยากตามฉันกลับบ้านไหม”
“จิ๊บๆ”
หนึ่งคนกับหนึ่งตัวผลัดกันโต้ตอบ ต่างฝ่ายต่างไม่รู้ว่าอีกฝ่ายพูดอะไร แต่กลับคุยกันอย่างสนุกสนาน
ตั้งแต่เย็นจนถึงฟ้ามืด คุยกันจนถึงเช้าวันรุ่งขึ้น คุยต่อถึงเที่ยง จนเย่ว์จือกวงมาปรากฏตัวบนยอดเขาหิมะอีกครั้ง
“เสี่ยวเยาเยา”
“พี่รอง”
มู่เถาเยาที่ไม่ได้นอนทั้งคืนกลับไม่มีอาการเหนื่อยล้าเลยสักนิด
“เสี่ยวเยาเยา เมื่อคืนไม่เกิดเรื่องอะไรใช่ไหม”
“ไม่ค่ะ ที่นี่เงียบสงบมาก แม้แต่ลมก็เหมือนจะเงียบด้วย ฉันคุยกับเจ้าขาวปุยทั้งคืนเลยค่ะ”
“มันชื่อขาวปุยเหรอ”
“ค่ะ ฉันตั้งให้มัน มันไม่คัดค้าน”
“เพราะดี” น้องสาวของเขาตั้งให้ต้องเพราะอยู่แล้ว
“ใช่ไหมล่ะคะ ฉันก็ว่ามันเพราะมาก!” ล้างข้อครหาเรื่องตั้งชื่อห่วยได้อีกครั้งแล้ว!
เย่ว์จือกวงยิ้มเอ็นดูพลางลูบหัวมู่เถาเยา “เสี่ยวเยาเยาหิวไหม กินอะไรหน่อยไหม”
มู่เถาเยาส่ายหน้า “ตั้งแต่เมื่อวานจนถึงตอนนี้ฉันกินแค่น้ำ แต่ไม่รู้สึกหิวเลยสักนิดค่ะ พี่รองล่ะคะ”
“พี่ก็เหมือนกัน หากว่ากันตามเหตุผล พวกเราใช้กำลังไปเยอะขนาดนั้นก็ควรจะหิว แต่ตั้งแต่เมื่อวานเย็นจนถึงตอนนี้พี่ไม่รู้สึกหิวเลยแม้แต่น้อย”
ยาบำรุงเม็ดเดียวออกฤทธิ์ได้แค่ยี่สิบสี่ชั่วโมง เมื่อวานเย็นควรจะกินอีกเม็ด แต่ไม่รู้สึกหิวเลยจึงไม่ได้กิน
พอเขาลงไปก็ไม่ได้กินอย่างอื่นนอกจากน้ำ
“อาจเป็นเพราะ…น้ำตาสีแดงของเจ้าขาวปุยหรือเปล่า งั้นพวกเราอย่าเพิ่งกินอะไร ลองดูว่านานแค่ไหนกว่าจะหิว”
“ได้ เมื่อคืนมันออกไปหาอาหารกินบ้างไหม”
“ไม่เลยค่ะ มันอยู่กับฉันตลอด”
“งั้นก็เป็นไปได้ว่ามันไม่ต้องกินทุกวัน ดูจากที่พวกเรากินน้ำตาของมันก็ไม่รู้สึกหิวเลย แสดงว่าเยี่ยนหงกับชวนไป๋อาจเป็นอาหารของมัน ที่ไม่เห็นลดลงเพราะมันกินไม่บ่อยหรือเปล่า ก็ไม่รู้ว่านานแค่ไหนกว่ามันจะกินสักครั้ง…”
มู่เถาเยาพยักหน้า “มีความเป็นไปได้สูง ฉันจะลองเอายาป้อนมันดู”
เย่ว์จือกวงหยิบกระเป๋าเป้ปีนเขาของน้องสาวมาหยิบกล่องยาใบน้อย
มู่เถาเยาหยิบขวดเซรามิคขนาดเล็กเทยาสีแดงที่กลิ่นหอมอบอวลใส่มือแล้วยื่นไปตรงปากแหลมของเจ้าขาวปุย
เจ้าตัวน้อยเอาปากแหลมเขี่ยยาสีแดงก่อนแล้วมองมู่เถาเยา
“กินสิ ต่อให้ไม่มีประโยชน์ก็ไม่มีโทษนะ”
เจ้าขาวปุยอาจชอบกลิ่นหรือสีนี้ ไม่นานมันก็จิกเข้าปาก
“จี๊ดๆ”
มู่เถาเยาอุ้มมันขึ้นมาลูบ “อร่อยไหม”
“จิ๊บๆ”
สองพี่น้องมองหน้ากันแล้วหัวเราะ
มู่เถาเยาวางเจ้าขาวปุยบนบ่าเย่ว์จือกวง จากนั้นก็เอากล้องส่องทางไกลส่องไปตรงแคมป์
“พี่รองคะ เมื่อวานได้เจอคุณพ่อหรือเปล่าคะ”
“อึม เจอแล้ว คุณพ่อกำลังปีนขึ้นมาจริงๆ พอพี่พาพ่อกลับแคมป์เสร็จ อากับอาเขยก็มาถึง…อาเขยบอกว่าอู๋เปียนอยากตามมาด้วย แต่อาปฏิเสธ เขาไม่ใช่คนตระกูลเย่ว์ ห้ามเสี่ยงอันตราย…” ปริศนาการตายของปู่ปาถิงยังไม่คลี่คลายเลยด้วยซ้ำ
เย่ว์จือกวงเล่าเรื่องที่คุยกับคนในครอบครัวเมื่อคืนให้มู่เถาเยาฟัง
“เสี่ยวเยาเยา อากับอาเขยกลับไปตอนพี่ขึ้นมา จะเอาข่าวเรื่องบนยอดเขาหิมะมีหญ้าพิษชีวิตกลับไปแจ้งทุกคนก่อน จะได้ดีใจกัน จะได้ปลอบขวัญเรื่องเมื่อวานเย็นด้วย”
“อึม เดาว่าตอนพวกเรากลับคนตระกูลตี้ก็คงมากันแล้ว”
เย่ว์จือกวงพยักหน้า
คนตระกูลตี้ต้องมาด้วยความตื่นเต้นร้อนใจแน่นอน
เพราะสำหรับพวกเขาไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าชีวิตของตี้อู๋เปียน