ตอนที่ 469 ศาสตร์เหนือธรรมชาติลี้ลับมาก
ครอบครัวจั่วพักอยู่ที่หมู่บ้านเถาหยวนซานห้าวัน หลังจากรู้ว่าตี้อู๋เปียนดูแลโครงการช่วยเหลือคนยากจนด้วยตัวเองพวกเขาก็บอกความคิดที่อยากสร้างถนนกับสร้างโรงเรียนในชนบทให้ตี้อู๋เปียนกับมู่เถาเยารู้
สร้างถนนเป็นขั้นแรกของการสร้างตัว ให้การศึกษาเป็นแผนที่แก้ความยากจนได้ถึงแก่น ทำทั้งสองอย่างนี้ได้ก็จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศ ต่อชาวบ้าน และต่อตัวเอง
ก่อนที่ตี้อู๋เปียนจะรู้ว่าตระกูลจั่วเป็นตระกูลนักพรต เขารู้ดีว่าตระกูลจั่วมีสถานะในวงการอิเล็กทรอนิกส์
ภายใต้ ‘เทคโนโลยีไร้ขอบเขต’ ของเขาก็มาจาก ‘การสรรค์สร้างเทคโนโลยี’ ของตระกูลจั่ว ดังนั้นไม่ต้องสงสัยเรื่องความร่ำรวยของตระกูลจั่ว จึงไม่ปฏิเสธเจตนาดีของพวกเขา
ถึงแม้ประเทศจะจัดสรรงบให้ แต่โครงการช่วยเหลือคนยากจนนี้เป็นโครงการที่ไม่มีจุดจบ มีเงินเท่าไรก็ใช้หมดได้
เขายังหวังว่าจะมีตระกูลมหาเศรษฐีแบบนี้มาร่วมอีกเยอะๆ
พอคุยกันเสร็จแล้วครอบครัวจั่วสามคนก็ออกจากหมู่บ้านเถาหยวนซาน
ผ่านไปสามวันตี้อู๋เปียนก็ได้รับเงินจำนวนมหาศาล ถึงเขาจะเป็นเจ้าชายก็ยังอดตะลึงไม่ได้
“ซาลาเปาน้อย นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าตระกูลจั่วจะรวยขนาดนี้! รู้สึกว่ารวยกว่าน้าเล็กมากๆ !”
มู่เถาเยายิ้มพูด “เรื่องปกติ ต่อให้อาเขยจะรวยแค่ไหนก็สู้ตระกูลใหญ่ที่สะสมสมบัติกันมาหลายรุ่นไม่ได้”
อืม ยกเว้นสำนักซย่าโหวที่ค่อนข้างพิเศษนี้
ตี้อู๋เปียนพยักหน้า “ลุงจั่วคงอยากทำความดีสะสมบุญเพื่อเปลี่ยนชะตาคนในครอบครัวแหละมั้ง”
ตี้อู๋เปียนคุมหน่วยข่าวกรองของประเทศย่อมรู้ว่าตระกูลจั่วคนน้อย ชีวิตมีคุณภาพแต่จำนวนไม่มาก
ตระกูลจั่วไม่เหมือนตระกูลถัง อย่างน้อยตระกูลถังก็มีสายหลักสายรอง เนื่องจากเป็นตระกูลที่เชี่ยวชาญเรื่องพิษ ทำให้ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ จะมีลูกหลานน้อยก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
แต่ตระกูลจั่ว สมาชิกน้อยถึงขั้นที่สายหลักเหลือกันอยู่สามคนกับสองผู้อาวุโส ซึ่งสองผู้อาวุโสก็ไม่มีลูก
“ซาลาเปาน้อย พวกเขาโดนเอาคืนเหรอ ฉันเคยสืบตระกูลจั่วขึ้นไปสามรุ่น ทุกคนตายโดยที่ไม่เจ็บไม่ป่วย”
“น่าจะ ได้ยินว่าเมื่อก่อนตระกูลจั่วไม่แยกแยะดีชั่ว จะคนเลวหรือคนดีมาหา ขอแค่จ่ายในสิ่งที่พวกเขาอยากได้ไหว พวกเขาก็ช่วยหมด…ตอนนี้ลุงจั่วเปลี่ยนกฎ น่าจะเพราะตระหนักได้ว่าขืนเป็นแบบนี้ต่อไปอาจจะ…ยิ่งเลวร้าย” สิ้นทายาทสืบสกุล
ยิ่งเป็นตระกูลใหญ่ยิ่งถือเรื่องมีทายาทสืบสกุล
“คนเราเก่งแค่ไหนก็เอาชนะสวรรค์ไม่ได้” อย่างเช่นตัวเขาเอง
เรื่องบางอย่างมันทำให้เขาไม่เชื่อไม่ได้
“ศาสตร์เหนือธรรมชาติลี้ลับมาก”
“อืม ซาลาเปาน้อย รู้สึกไหมว่าครอบครัวนี้เขาดูแปลกๆ พวกเขาดูสนใจหมู่บ้านเถาหยวนซานมากกว่าตระกูลตี้อู่กับตระกูลน่าหลานเสียอีก” ไม่มีทางเป็นเพราะหมู่บ้านเถาหยวนซานอุดมสมบูรณ์แน่นอน
ดูจากเงินบริจาคของตระกูลจั่ว ความร่ำรวยทั้งหมู่บ้านเถาหยวนซานรวมกันยังไม่อยู่ในสายตาของพวกเขาเลยด้วยซ้ำ
มู่เถาเยายิ้มดวงตาโค้งมน “ไม่แปลกหรอก พี่อีเหิงบอกฉันแล้วว่าหลังเรียนจบอยากมาทำงานที่หมู่บ้านเถาหยวนซาน”
“นี่ยังไม่แปลกอีกเหรอ นั่นคนเก่งด้านเทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์เชียวนะ ทำไมต้องมาทำงานที่หมู่บ้านเถาหยวนซานด้วย ที่นี่ไม่มีที่ให้ปล่อยของเสียหน่อย”
“พี่สาม พวกเขาอยากเปลี่ยนโชคชะตา นอกจากทำความดีสะสมบุญแล้ว การได้อยู่ใกล้กลุ่มคนที่อายุยืนก็มีประโยชน์มากเหมือนกัน”
ตี้อู๋เปียนนึกถึงหมอเทวดาหยวน
ผู้ใหญ่ในบ้านเคยบอก คนที่บุญบารมีสูงเผื่อแผ่ต่อคนรอบข้างได้ พอมู่เถาเยาพูดแบบนี้เขาก็เข้าใจแล้วว่าคนตระกูลจั่วหวังอะไรอยู่
“ดูจากท่าทางของพวกเขาเหมือนอยากมาอยู่หมู่บ้านเถาหยวนซานจริงๆ นะ”
“ถ้าพี่อีเหิงอยากมาทำงานที่หมู่บ้านเถาหยวนซานจริง ต่อไปก็อาจตั้งรกราก”
“อยากให้เธอมาเหรอ”
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ” ก็แค่รับคนที่มีความพยายามเข้ามาเอง
ต่อให้ทิศทางความพยายามของคนคนนี้ไม่เหมือนคนอื่น แล้วมันเกี่ยวอะไรกัน เดิมทีก็ไม่ได้คิดร้ายต่อหมู่บ้านเถาหยวนซาน
ตี้อู๋เปียนคิดๆ ดูก็จริง “ก็ไม่มีอะไรไม่ดีเนอะ”
ทั้งสองคนกำลังคุยกันอย่างออกอรรถรส ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงเครื่องบิน จึงมองไปนอกหน้าต่าง
มู่เถาเยายิ้มตาโค้ง “คุณปู่คุณย่าของฉันมาถึงแล้ว”
“งั้นพวกเราไปรับที่ลานจอดเครื่องบินกัน”
“อืม”
ทั้งสองคนเดินเคียงกันลงไป
คนในห้องรับแขกก็กำลังจะออกไปข้างนอก
พอเยี่ยจั๋วน้อยเห็นมู่เถาเยาก็ปล่อยมือเจียงเฟิงเหมียนทันที ขาน้อยๆ ทั้งสองวิ่งไปอย่างรวดเร็ว
กอดขามู่เถาเยา เงยหน้าตะโกนเรียก “อา”
เจียงเฟิงเหมียนแกล้งเสียใจ “พอเห็นอาเยาเยา จั๋วจั๋วก็ทิ้งอาคนนี้เลยนะ”
เด็กน้อยหันกลับมาปลอบ “จั๋วจั๋วเอา เอาอาเสี่ยวเหมียน”
ทุกคนพากันขำเด็กน้อย
มู่เถาเยากะพริบดวงตาที่สุกใส ลูบหัวเด็กน้อย “จั๋วจั๋ว พวกเราไปรับน้อง…พวกอาๆ กันนะ”
เยี่ยนหังกับอู๋ซวงเป็นน้องของเธอ ก็ย่อมโตกว่าจั๋วจั๋วหนึ่งรุ่น
“ไปรับน้อง”
“…ไม่ใช่น้องจ้ะ เป็นคุณอา”
ไม่ว่าจะเป็นอะไร เด็กน้อยก็ลากมู่เถาเยาเดินออกไป
มู่เถาเยาพาเยี่ยจั๋วนั่งรถออกไปที่ลานจอดเครื่องบินพร้อมเยี่ยหนานเฉิน เจียงเฟิงเหมียน เฉิงอันนั่ว ปาอิน และลู่หันซู
มู่เถาเยาถามคนขับขณะอยู่บนรถ “พี่เขยห้าไม่กลับเย่ว์ตูไปอยู่กับศิษย์พี่หญิงห้าเหรอคะ”
อาจารย์อาเล็กกับภรรยาและพวกศิษย์พี่กลับเมืองเย่ว์ตูกันไปตั้งแต่เมื่อสองวันก่อนแล้ว อย่างไรเสียก็ต้องทำงาน
เซี่ยซิงเฉินก็กลับเมืองหลวงในวันเดียวกัน
เยี่ยหนานเฉินขับรถพลางพูด “อีกสองวันปู่ย่าตายายของเยี่ยจั๋วมากันครบแล้วพี่ค่อยกลับไป” จะให้เสี่ยวเยาเยาหรือพวกอาจารย์ช่วยดูแลเด็กบ่อยๆ ก็ไม่ได้หรือเปล่า
“อ่อ จั๋วจั๋วอยู่ทางนี้พี่เขยกับศิษย์พี่วางใจได้เลยนะคะ”
เยี่ยหนานเฉินยิ้มพูด “พวกเราไม่มีอะไรไม่วางใจหรอก ก็แค่…อาจารย์อายุมากแล้ว ยังต้องมาช่วยสั่งสอนเด็กอีก พี่กับศิษย์พี่ของเธอเกรงใจน่ะ”
เฉิงอันนั่ว “อาห้าครับ ผมก็ยังอยู่ที่นี่นะครับ ผมมาพาจั๋วจั๋วไปเที่ยวตอนไม่ได้ทำงานได้”
เยี่ยหนานเฉินยิ้มพลางพยักหน้า
มู่เถาเยา “มีอะไรทำอาจารย์จะมีความสุขนะคะ พี่เขยห้าอย่าคิดมากเลยค่ะ”
“อืม”
เพราะรู้ว่าคนแก่ที่นี่ไม่ชอบอยู่ว่าง เขาถึงได้ยอมให้พาลูกมาไว้ที่นี่
ยังดีที่ถึงแม้อาจารย์จะอายุเยอะ แต่ร่างกายแข็งแรงกว่าคนวัยเดียวกัน
พวกเขาไปถึงลานจอดเครื่องบิน คนตระกูลเย่ว์กำลังลงจากเครื่องบิน
เยี่ยนหังกับอู๋ซวงที่อายุหนึ่งขวบหนึ่งเดือนพูดได้เดินได้แล้ว
“พี่” เยี่ยนหังจูงมือน้องสาววิ่งเตาะแตะมาหามู่เถาเยา
พอเยี่ยจั๋วเห็นเด็กที่เล็กกว่าตัวเองก็ปล่อยมือมู่เถาเยาวิ่งไปหาเยี่ยนหังกับอู๋ซวงด้วยความดีใจพร้อมตะโกน “น้องชาย น้องสาว”
มู่เถาเยา “…” เมื่อกี้ก็บอกแล้วว่าเป็นอา
อย่างไรเสียเยี่ยนหังก็ไม่ใช่เด็กหนึ่งขวบอย่างแท้จริง เขาพาน้องสาววิ่งอ้อมเยี่ยจั๋วไปกอดขามู่เถาเยา เรียก ‘พี่’ ไม่หยุดด้วยความดีใจ
เยี่ยจั๋วมองสองมือที่ว่างเปล่าด้วยความงุนงง
ทำไมเขาถึงไม่ได้กอดพวกน้องๆ ล่ะ
น้องๆ ไม่ชอบเขาเหรอ
เด็กน้อยเสียใจขึ้นมาทันที
เย่ว์เลี่ยงก้มอุ้มเยี่ยจั๋วขึ้นมา “จั๋วจั๋ว”
เยี่ยจั๋วน้อยไม่กลัวคนแปลกหน้าเลยสักนิด ถูกคนไม่รู้จักอุ้มก็ไม่ร้องไห้ แค่เอียงศีรษะมองเย่ว์เลี่ยง จากนั้นก็พูดขึ้นมาว่า “พี่สาว”
ทุกคนพากันหัวเราะ
“ไม่ใช่พี่สาวจ้ะ เป็นย่าต่างหาก” เย่ว์เลี่ยงยิ้มพลางช่วยแก้คำพูดให้
เยี่ยจั๋วมองเย่ว์เลี่ยง จากนั้นก็หันไปมองย่าแท้ๆ ของตัวเอง
เยี่ยจั๋วมองสลับไปมา ใบหน้าเหมือนมีเครื่องหมายคำถาม ราวกับคิดไม่ตกว่าย่ากับย่าต่างกันตรงไหน