อยากกินไหมล่ะ 美食供应商
บทที่ 876 อาหารที่ร้านซู
“การออกแบบน่าสนใจดีแฮะ” ทันทีที่หยวนโจวมาถึงทางเข้าซอย เขาก็ถูกโอบล้อมไปด้วยความรู้สึกอบอุ่น
ระหว่างฤดูกาลในตอนนี้ ป่าไผ่ควรจะค่อนข้างเย็น แต่ที่นี่กลับอบอุ่นอย่างน่าประหลาดทั้งยังให้ความรู้สึกสงบแก่จิตใจอีกต่างหากขณะเดียวกันก็รักษาความอบอุ่นให้ร่างกายด้วย สิ่งนี้น่าจะเป็นสภาพที่สมบูรณ์แบบในการลองชิมอาหารอร่อย
และเมื่อหยวนโจวเดินออกมาจากตรอก เขาก็มาถึงพื้นที่ว่างโล่งหน้าร้านซู ให้ความรู้สึกราวกับว่าพื้นที่ตรงหน้าเขาจู่ๆก็เปิดออก
“นี่เป็นการออกแบบที่ยึดหลักแนวคิดของต้นหลิวที่ทำให้เกิดเงา ส่วนดอกให้แสง” หยวนโจวยิ้มขณะที่เขาวิเคราะห์การตกแต่งนอกร้านซู
ทางซ้ายและขวาเป็นป่าไผ่ที่ให้ความรู้สึกที่โอบล้อมไปด้วยสีเขียว ส่วนร้านอาหารเป็นอาคารเก่าแก่สามชั้นสีน้ำตาลอมแดงโดยมีหลังคาโค้งขึ้นบนที่มักจะพบเห็นได้บ่อยๆในยุคจีนโบราณ
ตรงกลางของตัวอาคารเป็นแผ่นป้ายที่มีตัวอักษรสีทองเขียนว่าร้านซู ตรงประตูทางเข้าเป็นตัวกิเลนสีทองสัมฤทธิ์และตรงขั้นบันไดมีพนักงานของร้านสองคนที่แต่งกายในชุดเครื่องกายสมัยราชวงศ์ฮั่นแบบดั้งเดิมอีกต่างหาก
ธรณีประตูของร้านซูที่สูงเท่ากับลูกวัวตัวหนึ่งให้ความรู้สึกราวกับว่านี่คือที่พักอาศัยของตระกูลใหญ่ก็ไม่ปาน
เมื่อเห็นความงดงามของร้านซูแล้ว หยวนโจวก็เริ่มสงสัยขึ้นมาว่าเมื่อไหร่กันที่ร้านสุดยอดเชฟของเขาจะขยับขยายได้เช่นเดียวกันนี้ เขาเริ่มพูดกับเจ้าระบบอีกครั้ง ทว่าในแต่ละครั้งเจ้าระบบก็จะแกล้งเสียเช่นนี้อยู่เสมอ ไม่รู้ว่ามันไปเรียนรู้เรื่องนี้มาจากใครกัน
หยวนโจวตัดสินใจแล้วว่าเขาต้องบรรลุภารกิจของตัวเอง แล้วพยายามเลื่อนขั้นและไปถึงจุดสูงสุดของชีวิตให้ได้เร็วๆ
ขณะที่หยวนโจวกำลังวิเคราะห์สถานการณ์ตรงหน้าอยู่นั้นก็มีบริกรหญิงที่แต่งกายในชุดสีเขียวพร้อมมวยผมสืบเท้าขึ้นหน้ามาพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้าของเธอ
“สวัสดีค่ะ คุณใช่เชฟหยวน เถ้าแก่หยวนหรือเปล่าคะ?” ผู้หญิงคนนั้นถามขึ้น น้ำเสียงของเธออ่อนโยนและรื่นหูในขณะที่เธอกลับมีร่างสูงและเพรียวบาง
“ครับ” หยวนโจวพยักหน้า
“หัวหน้าเชฟเฉาจัดเตรียมอาหารและเครื่องดื่มให้คุณแล้วนะคะ ตามมาทางนี้เลยค่ะ” ผู้หญิงคนนั้นกล่าวพลางผายมือเชื้อเชิญ
“ครับ” หยวนโจวพยักหน้าอย่างไม่ใส่ใจแล้วไม่ได้พูดอะไรมากนัก
อันที่จริงแล้ว วันนี้หยวนโจวเองก็แต่งกายในชุดเครื่องแบบสมัยราชวงศ์ฮั่นเช่นกัน เขาสวมใส่เสื้อคลุมนักพรตเต๋าผ้าป่านที่แยกออกจากลวดลายอันละเอียดประณีตบนชุดโดยไม่มีการตกแต่งอื่นใด เพื่อความสะดวก หยวนโจวจึงไม่ได้คาดเข็มขัดมาด้วยและเพื่อให้กินอาหารได้ง่ายขึ้น ชุดเครื่องแต่งกายสมัยราชวงศ์ฮั่นของเขาจึงเป็นแบบแขนสอบ
สิ่งที่สวมใส่สามารถเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของคนได้อย่างแท้จริง ผู้คนมากมายอ้างว่าชุดเครื่องแบบสมัยราชวงศ์ฮั่นแบบดั้งเดิมเป็นความเชื่อรูปแบบหนึ่ง แต่สำหรับหยวนโจวแล้ว สิ่งที่เขารู้สึกได้มากที่สุดเมื่อสวมชุดเครื่องแต่งกายสมัยราชวงศ์ฮั่นหาใช่ความเชื่อไม่ แต่เพราะรู้สึกได้ถึงความซื่อตรงและความเที่ยงธรรมต่างหาก นับตั้งแต่เขาเริ่มชุดเครื่องแต่งกายสมัยราชวงศ์ฮั่น เขาก็หลังไม่โก่งอีกต่อไปแล้ว
หยวนโจววิเคราะห์ท่าทีของบริกรหญิงแล้ววาดภาพเปรียบเทียบกับท่าทีของเขาเอง
“อืม ไม่เลว” หยวนโจวพึมพำอยู่ในใจ
หยวนโจวสู้อุตส่าห์ออกกำลังกายทุกวันมาเป็นปีและผลของมันก็มาสำแดงเอาวันนี้ เมื่อเขาแต่งกายในชุดคลุมหลวมๆ เนื่องจากท่าตรงของเขาแล้วจึงทำให้เขาดูตัวสูงและสะโอดสะอง เขาหาใช่คนที่ขี้ริ้วขี้เหร่อะไรนักแต่ตอนนี้กลับดูดียิ่งขึ้นไปอีก
ในโลกนี้ไม่มีผู้หญิงขี้ริ้วขี้เหร่หรอกมีแต่ผู้หญิงขี้เกียจเท่านั้นแหละ คำกล่าวนี้สามารถนำมาใช้ได้กับผู้ชายเช่นเดียวกัน พูดง่ายๆก็คือผู้ชายที่ใส่ใจกับรูปลักษณ์ของตนเองก็จะหล่อเหล่าได้เช่นกัน
บริกรหญิงเดินอยู่ทางด้านหลังหยวนโจวครึ่งก้าวระหว่างที่กำลังนำทางให้เขาอย่างแข็งขัน
ตึก ตึก ตึก ฝีเท้าของพวกเขาทั้งเชื่องช้าและไม่รีบร้อน แต่หยวนโจวก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เมื่อเขามาถึงธรณีประตูก็ก้าวเข้ามาข้างใน
ทันทีที่เขาเข้ามาก็ต้องเผชิญหน้ากับการตกแต่งภายในอันแสนโอ่อ่าหรูหรา ทางด้านข้างของประตูเป็นไผ่น้ำทิวแถว ใบเขียวชอุ่มเหล่านั้นเรียงตัวกันตามลำดับ ส่วนพื้นปูด้วยพรมนุ่มนิ่มที่ให้ความรู้สึกราวกับกำลังเหยียบย่างลงบนก้อนเมฆก็ไม่ปาน
นอกเหนือไปจากไผ่แถวหนึ่งที่เติบโตในน้ำแล้วก็ยังมีบริกรชายและบริกรหญิงยืนอยู่ตรงนั้นเป็นแถว ทันทีที่หยวนโจวเข้ามาถึง พวกเขาก็ตะโกนทักทายขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียงกัน
“ยินดีต้อนรับครับ/ค่ะ!” น้ำเสียงของทั้งสองเพศสอดประสานกันตามลำดับ น้ำเสียงของพวกเขารื่นหูราวกับทำนองเพลงอันไพเราะเนาะหู เห็นได้ชัดว่านี่เป็นการทักทายที่ผ่านการฝึกมาเป็นอย่างดีแล้ว
หรือบางทีอาจเป็นเพราะพวกเขาต้องทำเช่นเดิมอยู่ทุกๆวันก็เป็นได้
เมื่อหยวนโจวได้ยินคำทักทาย เขาก็อดที่จะนึกถึงโจวเจียกับเซินหมินไม่ได้
ครั้งหนึ่งทั้งเซินหมินกับโจวเจียเคยเลี้ยงอาหารหยวนโจวด้วย ทีแรกหยวนโจวก็นึกว่าเป็นเพราะความหล่อของเขา แต่เขามารู้ในภายหลังว่าพวกเธอแค่อยากจะขอบคุณเขาก็เท่านั้นเอง
ทำไมพวกเธอต้องมาขอบคุณเขาด้วยน่ะเหรอ? ก็เพราะระหว่างทางไปเรียน พวกเธอมักจะผ่านร้านขายปลาน้ำจืด ทุกเช้าบริกรชาย บริกรหญิงและเชฟทุกคนในร้านนั้นจะมารวมตัวกันอยู่หน้าร้านแล้วตะโกนคำขวัญเพื่อดึงดูดความสนใจจากบรรดาคนเดินเท้า
ต่อมาโจวเจียกับเซินหมินพบว่านอกเหนือไปจากร้านนั้นแล้ว ร้านอื่นๆที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่ก็จะทำแบบเดียวกันเลย พวกเขาอ้างว่าเป็นไปเพื่อจุดประสงค์ของการอบรมการทำงานเป็นทีม แต่โจวเจียกับเซินหมินกลับรู้สึกว่าหากพวกเธอทำแบบนั้นได้ก็คงจะรู้สึกอึดอัดใจมากเลยเชียวล่ะ
แน่นอนว่าหากไม่มีร้านหยวนโจว พวกเธอก็คงไม่แคล้วต้องถูกบังคับให้ทำเรื่องที่น่าอึดอัดใจพรรค์นั้นตอนที่ทำงานกับร้านอื่นๆเป็นแน่ มีคำกล่าวว่าหากไม่มีการเปรียบเทียบก็คงจะไม่มีคนดีหรอก เนื่องจากการดำรงอยู่ของหยวนโจวจึงเป็นที่มาของการเปรียบเทียบ ดังนั้นทั้งสองคนก็เลยขอบคุณและเลี้ยงอาหารเขาโดยไม่ลืมที่จะติดป้ายให้เขาว่าเป็น “คนดี” อีกต่างหาก
“คุณหยวน ที่นั่งของคุณอยู่ชั้นสามนะคะ ส่วนที่นั่งของหัวหน้าเชฟเฉานั้นอยู่ใกล้ๆกับครัวเพื่อมิให้คุณต้องรออาหารนานจนเกินไปค่ะบริกรหญิงอธิบายเมื่อพวกเขามาถึงลิฟท์
“อืม ขอบคุณครับ” หยวนโจวพยักหน้า จากนั้นบริกรหญิงก็หลบฉากไปแล้วบริกรหญิงคนใหม่ก็มานำทางให้
“ยินดีต้อนรับค่ะ ฉันจะให้บริการคุณเป็นพิเศษเลยนะคะ” บริกรหญิงกล่าวพลางยิ้ม
“ทางนี้ค่ะ คุณหยวน” บริกรหญิงคนใหม่กล่าวอย่างสุภาพ เธอมวยผมเอาไว้สองข้างศีรษะดูน่ารักน่าชังมากทีเดียว
“ครับ” หยวนโจวมองเธอแวบหนึ่งก่อนที่จะเดินเข้าไปในลิฟท์
ลิฟท์ต่างจากลิฟต์ตัวอื่นๆที่ให้ความรู้สึกว่างเปล่าและเย็นสบาย เพดานของลิฟท์ตกแต่งด้วยภาพเขียนที่มีหลายสีแต่กลับดูไม่ยุ่งเหยิงทั้งยังให้ความรู้สึกอบอุ่น ชัดเจนและเป็นอิสระ ด้วยภาพเขียนดังกล่าว แม้ว่าจะต้องขึ้นลิฟท์คนเดียวก็ไม่ทำให้รู้สึกเบื่อหน่ายเลยสักนิด
เห็นได้ชัดว่าภาพเขียนนี้ก็เป็นงานชิ้นเอกเช่นกัน มิฉะนั้นก็คงไม่สามารถให้ความรู้สึกเช่นนั้นออกมาได้หรอก ถึงอย่างไรในบรรดาลูกค้าของหยวนโจว อู๋ไห่ก็เป็นยอดจิตรกรเช่นเดียวกัน เนื่องจากอิทธิพลของอู๋ไห่ทำให้หยวนโจวมีสายตาที่สามารถแยกแยะภาพเขียนได้เช่นกัน
“นี่คือชีวิตฟอนเฟะของคนรวย ลำพังแค่การออกแบบตรงนี้เพียงอย่างเดียวก็เพียงพอที่จะเพิ่มราคาอาหารได้อีก 200% แล้วล่ะ” หยวนโจวรำพึงอยู่ในใจ แต่สีหน้าของเขากลับไม่เปลี่ยนเลยแม้แต่น้อย
หยวนโจวหาข้อมูลก่อนที่จะมาเอาไว้เรียบร้อยแล้ว แน่นอนว่าเมนูและราคาเป็นของพื้นๆที่สามารถค้นหาได้ ราคาที่นี่แพงกว่าราคาที่ร้านหยวนโจวมากทีเดียว
พวกเขามีอาหารที่เรียกกันว่าหูฉลามนึ่งที่ต้องจอมกันล่วงหน้าถึงสองเดือนกว่าจะได้กิน โดยติดราคาเอาไว้ถึง 9,999 หยวน แม้แต่อาหารที่ราคาถูกที่สุดก็ยังแพงกว่าอาหารที่มีราคาแพงที่สุดในร้านหยวนโจวอย่างข้อเท้าหมูตงพัวเสียด้วยซ้ำไป แค่คิดก็สยองแล้วล่ะ
อันที่จริงแล้ว ด้วยการตกแต่งที่คลาสสิกและงดงามของร้านแห่งนี้ เชฟธรรมดาๆย่อมต้องรู้สึกถึงความพ่ายแพ้ก่อนที่พวกเขาจะทันได้เริ่มแข่งขันเสียอีก
แต่หยวนโจวหาได้รู้สึกหมดกำลังใจแม้แต่น้อยไม่ เขาออกจะดึงดันในความเชื่อของตัวเองที่จะตัดสินว่าร้านจะดีหรือไม่ขึ้นอยู่กับรสชาติของอาหาร แม้ว่าการให้บริการของร้านจะเป็นเรื่องที่สำคัญมากเช่นเดียวกันก็ตามที
ติ๊ง! ไม่นานลิฟท์ก็มาถึงชั้นสาม
บริกรหญิงผู้น่ารักน่าชังก้าวออกมาก่อนที่จะผายมือเชื้อเชิญหยวนโจว
“ทางนี้ค่ะ ที่นั่งของคุณอยู่ตรงเขาหลงเหมินนะคะ ทุกห้องที่นี่จะตั้งชื่อตามหุบเขาสำคัญ 10 อันดับแรกของเสฉวน ดังนั้นพวกเราจึงมีห้องอยู่ทั้งสิ้น 10 ห้องค่ะ” บริกรหญิงให้คำแนะนำง่ายๆ
“หัวหน้าเชฟหยวนอยู่ที่นี่หรือเปล่าครับ? ยินดีต้อนรับนะครับ เชิญทางนี้เลย” น้ำเสียงของเฉาจื่อซูดังขึ้นก่อนที่หยวนโจวจะทันได้พูดอะไรออกมา