อยากกินไหมล่ะ 873 ลดน้ำหนักด้วยการมีความรัก

ตอนที่ 873 ลดน้ำหนักด้วยการมีความรัก

อยากกินไหมล่ะ 美食供应商

บทที่ 873 ลดน้ำหนักด้วยการมีความรัก

แน่นอนว่าเท่านั้นไม่เพียงพอที่จะทำให้เจียงฉางซี่ประหลาดใจได้หรอก สิ่งที่ทำให้เธอรู้สึกประหลาดใจจริงๆก็คือเฟิ่งตันดูเหมือนจะผอมลงกว่าเมื่อก่อนถึงสองเท่า ไม่นับว่าเป็นการกล่าวเกินจริงแต่อย่างใดเลยเพราะเธอน้ำหนักลดไปอย่างน้อยๆก็ 10 กิโลกรัม เมื่อผอมลงเธอก็ยิ่งสวยมากขึ้น ไม่แปลกใจเลยที่จะร่ำลือกันว่าคนอ้วนจะมีแววรุ่ง

ตอนนี้เฟิ่งตันสามารถไปถ่ายโฆษณาลดน้ำหนักได้เลยล่ะ

“อืม ฉันเองแหละค่ะ เจียงฉางซี คุณก็มาด้วย” น้ำเสียงของเฟิ่งตันไม่ได้ดูเย็นชา แต่กลับท้อใจอยู่นิดหน่อย

“เกิดอะไรขึ้นกับคุณงั้นเหรอคะ?” เจียงฉางซี่บุ้ยใบ้ไปที่รูปร่างของเฟิ่งตัน

“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ฉันก็แค่ผอมลงเท่านั้นเอง” เฟิ่งตันกล่าวขึ้น

“ดูเหมือนว่าคุณจะไม่ได้เสียเงินไปกับครูฝึกสอนการออกกำลังกายอย่างสูญเปล่าแล้วนี่คะ” เจียงฉางซี่กล่าว

“ไม่แล้วล่ะค่ะ ฉันผอมของฉันเอง” เมื่อพูดถึงเรื่องนั้น เฟิ่งตันก็ค่อนข้างภูมิใจทีเดียว

“นั่นมันน่าประทับใจมากเลยนะคะ” เจียงฉางซี่กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงใจ

“อันที่จริงแล้ว แม้แต่ตัวฉันเองก็ไม่เคยคาดคิดเลยว่าจะสามารถผอมลงได้มากขนาดนี้เสียด้วยซ้ำไปค่ะ” เฟิ่งตันพยักหน้า

“อาหารค่ำของคุณได้แล้วค่ะ ท่านให้อร่อยนะคะ” ขณะที่พวกเธอผลัดกันทักทายอยู่นั้น โจวเจียก็ยกอาหารจานที่สองที่เฟิ่งตันสั่งมาให้เธอ

“เอาล่ะค่ะ คุณกินก่อนเถอะ” เจียงฉางซี่เป็นนักธุรกิจหญิงที่ประสบความสำเร็จ เธอทราบถึงสิ่งที่ต้องทำในเวลาอันเหมาะสม เมื่อเห็นว่ามีอาหารมาเสิร์ฟเฟิ่งตัน เธอก็ยุติการพูดคุยทันที

“โอเค งั้นค่อยมาคุยกันหลังอาหารก็แล้วกันนะคะ” เฟิ่งตันเองก็พยักหน้าแล้วกล่าวขึ้นมาเช่นกัน

คราวนี้เฟิ่งตันกินเร็วมากเช่นเคย แต่หลังจากเธอกินจนเกลี้ยงแล้ว เธอก็สั่งอาหารเพิ่มอีกเป็นกุ้งจินหลิงกับข้าวผัดไข่อย่างละที่นั่นเอง

“ระวังหน่อยนะ! ถ้าคุณสั่งมาแล้วต้องกินให้หมด กฎของเจ้าเข็มทิศจะไม่เปลี่ยนแปลงหรอกนะคะ” เจียงฉางซี่เตือนเธอ

“ไม่เป็นไร ฉันกินหมดแน่ค่ะ ฉันไม่ได้กินอิ่มแบบนี้มานานแล้ว” เฟิ่งตันโบกมือเพื่อบ่งบอกว่าไม่มีปัญหาแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงอ้างว้าง

“มีอะไรงั้นเหรอคะ?” เจียงฉางซี่ถามขึ้นมา

“ฉันไดเอ็ตอยู่ตั้งนานแถมยังดำรงชีวิตด้วยแอปเปิ้ลแค่อย่างเดียวเท่านั้นตอนที่ฉันพยายามลดน้ำหนักเมื่อก่อนหน้านี้ ฉันเลยหิวนิดหน่อยค่ะ” เฟิ่งตันกล่าว

“คุณไม่ต้องสุดโต่งเสียขนาดนั้นก็ได้ค่ะ ค่อยๆลดน้ำหนักไปทีละนิดแต่ดีต่อสุขภาพนะคะ” เจียงฉางซี่แค่แนะนำวิธีการเช่นนั้นโดยไม่พูดอะไรอีก

“ไม่ได้หรอกค่ะ เพราะแฟนเก่าของฉันไม่ชอบผู้หญิงอ้วน ฉันเลยคิดว่าจะลดน้ำหนักให้ได้เร็วๆ” เฟิ่งตันส่ายหน้าแล้วกล่าวขึ้น

“การมีความรักเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการลดน้ำหนักเลยล่ะค่ะ” เจียงฉางซี่ไม่แม้แต่จะตอบเธอเมื่อเฟิ่งตันยังคงพูดต่อไป

“อะไรนะคะ?” เจียงฉางซี่รู้สึกว่าตัวเองได้ยินเฟิ่งตันไม่ชัดนักจึงถามขึ้นด้วยความประหลาดใจ

“ฉันบอกว่าการมีความรักสามารถช่วยลดน้ำหนักได้ค่ะ” เฟิ่งตันยักไหล่แล้วกล่าวออกมา

“ทำไม?” แม้แต่คนฉลาดๆอย่างเจียงฉางซี่ที่เป็นนักธุรกิจหญิงที่ประสบความสำเร็จก็ยังไม่สามารถเข้าใจความหมายของคำพูดของเฟิ่งตันได้เลย

ถึงอย่างไรเจียงฉางซี่ก็เคยได้ยินแต่ว่าคนอื่นเขาอ้วนขึ้นเมื่อมีความรักมากกว่าจะน้ำหนักลด แน่นอนว่าเธอย่อมเคยได้ยินมาเหมือนกันว่าคนอื่นเขาจะน้ำหนักลดก็เพราะเลิกกันด้วย

แต่เฟิ่งตันดูเหมือนจะไม่ได้ลดน้ำหนักด้วยการกินอาหารจานแล้วจานเล่าเช่นนั้น แต่กลับดูเหมือนว่าเธออยากน้ำหนักขึ้นเสียมากกว่า

“เป็นความสัมพันธ์ทางไกลระหว่างพวกคุณทั้งสองคนเหรอคะ?” จู่ๆก็มีความคิดแวบเข้ามาในหัวของเจียงฉางซี่ เธอจึงนึกถึงข้อสรุปเช่นนี้ขึ้นมาได้

“เปล่าหรอกค่ะ แฟนเก่าของฉันไม่ชอบผู้หญิงอ้วน ฉันก็เลยตัดสินใจที่จะลดน้ำหนักค่ะ” เฟิ่งตันพูดเบาๆด้วยน้ำเสียงที่ยากจะเข้าใจได้

“โอใช่ คุณเพิ่งจะบอกไปเมื่อกี๊เองนี่นา ฉันนึกว่าฟังผิดเสียอีก” จากนั้นเจียงฉางซี่ก็จำได้ว่าเมื่อสักครู่นี้เฟิ่งตันก็เพิ่งจะพูดเรื่องเดียวกันนี้ไป

“ไม่หรอกค่ะ คุณฟังไม่ผิดหรอก” เฟิ่งตันกล่าวอย่างแน่ชัด

“ถ้าหากเขาไม่ชอบที่คุณอ้วน เขาจะเลือกอยู่กับคุณทำไมกันล่ะคะ?” คำถามนี้ของเจียงฉางซี่ค่อนข้างตรงประเด็นเชียวล่ะ

“ฉันก็ไม่รู้ค่ะ” เฟิ่งตันชะงักไปสักครู่แล้วกล่าวขึ้นมา

ใช่แล้วล่ะ เฟิ่งตันเองก็รู้สึกตกใจกับคำถามของเจียงฉางซี่ เธอลองใคร่ครวญดูสักพักแต่ก็ยังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริง

“งั้นคุณล่ะคะ?” เมื่อตอนที่เจียงฉางซี่ถามเฟิ่งตัน น้ำเสียงของเธอกลับอ่อนโยนมากทีเดียว

“ตอนนั้นฉันรักเขามากเลยนะคะ เขาเคยบอกฉันว่าฉันต้องออกงานกับเขาตามสมควรและคงจะดูไม่ดีแน่หากยังอ้วนอยู่ เมื่อนึกถึงความกังวลของเขาแล้ว ฉันก็เริ่มลดน้ำหนัก จริงๆแล้วตอนนั้นฉันก็ไม่ได้คิดอะไรมากนักหรอกค่ะ” เมื่อพูดถึงเหตุผลของตัวเองแล้ว เฟิ่งตันก็ดูเหมือนจะมั่นใจมากทีเดียว

“อาหารของคุณได้แล้วค่ะ ทานให้อร่อยนะคะ” ขณะที่เฟิ่งตันพูดจบและมองเหม่ออยู่นั่นเอง โจวเจียก็ยกอาหารมาให้เธอ

“ขอฉันกินก่อนนะคะ” เฟิ่งตันหยิบตะเกียบขึ้นมาแล้วเริ่มกินอาหารทันทีก่อนที่เจียงฉางซี่จะมีโอกาสได้ถามอะไรเธอขึ้นมาอีก

แต่คราวนี้เธอยิ่งกินเร็วมากขึ้นไปอีก

“ช้าลงหน่อยเถิด ฉันยังกินไม่หมดสักจานเลยนะคะ ไม่ต้องรีบหรอกค่ะ” แต่คราวนี้เจียงฉางซี่ไม่ปล่อยให้เฟิ่งตันกินเร็วมากขนาดนั้นอีกต่อไปแล้ว เธอจึงกล่าวห้ามเธอเอาไว้

“อืม?” เฟิ่งตันยังคงยัดข้าวผัดไข่เข้าไปเต็มปาก

“ถ้าหากคุณกินเร็วเกินไปจะรู้สึกไม่สบายท้องเอานะคะ” เจียงฉางซี่กล่าวอย่างจริงจัง

อันที่จริงแล้ว หยวนโจวก็สังเกตเห็นปัญหาของเฟิ่งตันแล้วเช่นเดียวกัน ดังนั้นอาหารจานนี้จึงล่าช้าไปสิบนาทีก่อนที่จะถูกยกไปเสิร์ฟ

ถึงอย่างไรความสามารถในการกินตามปกติของเธอก็ไม่ได้มากมายอะไรนัก หากเธอยังกินอาหารที่ยกมาเสิร์ฟต่อไปคงได้รู้สึกจุกแน่

ถ้าหากมีอาหารมาเสิร์ฟอีก เธอคงต้องย่อยอาหารในกระเพาะเสียก่อน แต่มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สังเกตเห็นเรื่องนั้น โดยเฉพาะคุณเฉิงที่เฝ้าติดตามเรื่องนี้ด้วยความสนใจมาโดยตลอดเองก็สังเกตเห็นเรื่องนั้นเช่นกัน

“คุณหยวนเป็นเชฟที่ดีจริงๆเลย เขาสังเกตลูกค้าอยู่ทุกเมื่อแถมยังจดจำรสชาติที่พวกเขาชอบเอาไว้อีกต่างหาก” คุณเฉิงอดที่จะทอดถอนใจไม่ได้ นอกเหนือจากนั้นเขายังจดบันทึกลงในสมุดและเตรียมที่จะเรียนรู้อย่างจริงจัง

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ฉันรู้สึกว่ายังกินได้อีก” เฟิ่งตันส่ายหน้า

“ทำไมคุณไม่ฟังฉันพูดบ้างเลยนะ?” เจียงฉางซี่เปลี่ยนเรื่องคุย

“อะไรเหรอคะ?” เฟิ่งตันถามออกไปโดยไม่รู้ตัว

“เรื่องสามีเก่าของฉันน่ะสิคะ” เจียงฉางซี่กะพริบตาให้เฟิ่งตันแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงค่อนข้างซุกซน

“มีอะไรงั้นเหรอคะ?” เฟิ่งตันสนใจอย่างที่คาด

ก็อย่างที่รู้ๆกันนั่นแหละนะ การซุบซิบนินทาเป็นสัญชาตญานตามธรรมชาติของผู้หญิงที่อยากรู้ความลับของคนอื่นอันเป็นอุปนิสัยของมนุษย์ บังเอิญว่าเฟิ่งตันดันเกิดความอยากรู้ความลับของคนอื่นขึ้นมาเสียแล้ว

ยิ่งไปกว่านั้นเฟิ่งตันก็เคยถามเธอเรื่องนี้มาก่อนแล้ว แต่เจียงฉางซี่ก็มักจะเล่าเรื่องที่ไม่น่าสนใจหรือมุขตลกลามกเพื่อหลบเลี่ยงการพูดถึงสามีเก่าของเธอ

“สามีเก่าของฉันมีความเชี่ยวชาญด้านเป็ดมากเชียวล่ะ” เจียงฉางซี่มักจะสร้างความตกตะลึงให้แก่ผู้คนด้วยคำพูดอันแสนแปลกประหลาด เมื่อเธออ้าปากแล้วกล่าวอะไรสักอย่างออกมา เฟิ่งตันก็ถึงกับตกตะลึงไปเลย

“อะแฮ่ม อะแฮ่ม อะแฮ่ม พี่เจียง พูดอะไรกันคะ?” เฟิ่งตันหน้าแดงเพราะไอ จากนั้นเธอก็จ้องมองเจียงฉางซี่ด้วยความประหลาดใจ

เมื่อได้ยินเช่นนั้นจากทางด้านข้าง แม้แต่หยวนโจวก็อดที่จะหลั่งเหงื่อออกมาไม่ได้และเกือบจะสำลักน้ำลายตัวเองตาย

ยัยผู้หญิงคนนี้นี่! หยวนโจวคิดในใจ ผู้หญิงยิ่งสวยมากเท่าไหร่ก็ยิ่งมีความสามารถในการพูดสิ่งไร้สาระได้มากเท่านั้น

“ฉันไม่ได้พูดเล่นนะ ฉันกำลังพูดถึงเป็ดที่เขาทำอย่างเป็ดตุ๋นเบียร์ เขาทำได้เก่งเชียวล่ะ” เจียงฉางซี่อธิบายด้วยสีหน้าไร้เดียงสา

“ฉันเข้าใจแล้วล่ะคะ” ตอนนี้ใบหน้าของเฟิ่งตันชักจะชักจะแดงขึ้นเรื่อยๆแล้ว เธอพยักหน้าอย่างไม่ใส่ใจ ถึงอย่างไรก็คงเป็นเรื่องน่าอายยิ่งกว่าถ้าหากเธอทำตัวราวกับว่าเธอเข้าใจผิดจริงๆและนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

ช่างเป็นเรื่องที่กะทันหันเสียจนผู้คนไม่อาจตอบสนองได้ทันที

“เขาเองก็ทำอาหารอร่อยนะ ในตอนนั้นฉันได้กินอาหารไม่ซ้ำกันในแต่ละมื้อเลยล่ะ แน่นอนว่าเขายังทำอาหารได้ไม่เก่งเท่ากับเถ้าแก่หยวนหรอกค่ะ” เจียงฉางซี่พูดธรรมดาๆในตอนแรกเริ่ม แต่เมื่อมาถึงประโยคสุดท้าย เธอก็เริ่มยืนยันเรื่องนั้นกับหยวนโจวด้วยน้ำเสียงล่อลวง

หยวนโจวย่อมต้องแสร้งทำเป็นว่าเขาไม่ได้ยินพวกเธอคุยกันและเอาแต่ทำอาหารอย่างเอาจิงเอาจัง

“พี่เจียง” เฟิงตันห้ามเจียงฉางซี่เอาไว้อย่างอับจนหนทาง

“อาหารที่เขาทำอร่อยมากเลยแล้วฉันก็ได้กินอาหารไม่ซ้ำกันทุกวันเลยเชียวล่ะ ผลก็คือในตอนนั้นฉันก็เลยน้ำหนักขึ้น” เจียงฉางซี่หันกลับมาแล้วพูดถึงเรื่องนั้นต่อไป

“น้ำหนักขึ้นงั้นเหรอคะ?” เฟิ่งตันสังเกตรูปร่างของเจียงฉางซี่โดยละเอียดถี่ถ้วนยิ่ง

เจียงฉางซี่มักจะสวมชุดที่เป็นทางการเอามากๆและวันนี้ก็ไม่มีข้อยกเว้น เธอสวมใส่เสื้อลูกไม้และสูทสีเทาอมน้ำเงินเอาไว้ตรงร่างกายท่อนบน ส่วนท่อนล่างจะสวมใส่กางเกงสูทขากว้างพร้อมผมดัดเป็นลอนสีน้ำตาลแก่ที่ยาวประบ่า โดยทั่วไปแล้วเธอดูเหมือนจะมีความสามารถและมีประสบการณ์ทั้งยังมีความมุ่งมั่นอีกต่างหาก

แน่นอนว่าเจียงฉางซี่มักจะมีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าเสมอ ยิ่งไปกว่านั้นเธอยังมีใบหน้าอันแสนจะมีเสน่ห์และมีรูปร่างที่ได้สัดส่วน ดังนั้นเธอจึงไม่ดูอ้วนแต่อย่างใด

“อืม ในตอนนั้นฉันน้ำหนักขึ้น แต่หลังจากที่พวกเราหย่ากันแล้ว ฉันก็กลับมาผอมอีกครั้ง คุณก็รู้นี่นา ไม่มีใครปกป้องหญิงสาวผู้น่าสงสารคนนี้” เจียงฉางซี่เอาฝ่ามือกุมศีรษะแล้วกะพริบตาให้เฟิ่งตันพลางเอียงศีรษะ

“เอ่อ” เฟิ่งตันไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดีแล้วจริงๆ

เธอมักจะรู้สึกอยู่ตลอดว่าเจียงฉางซี่กำลังคุยโม้โอ้อวดว่าเธอสามารถผอมลงอย่างรวดเร็วตามที่เธอต้องการซึ่งทำให้เฟิ่งตันที่ต้องทนทุกข์ทรมานจากการลดน้ำหนักรู้สึกโกรธจนพูดไม่ออกแล้ว

เป็ด(鸭) มีอยู่สามความหมายในภาษาจีน ความหมายแนกคือสัตว์ที่ยังเป็นๆ ความหมายที่สองคือเนื้อสัตว์ ส่วนอย่างที่สามก็คือพวกแมงดา ดังนั้นจึงควรระมัดระวังกับความหมายอย่างที่สามเพราะอาจจะก่อให้เกิดความเข้าใจผิดกันได้

อยากกินไหมล่ะ

อยากกินไหมล่ะ

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 896 อ่านนิยาย

( อ่านต่อข้างล่าง )

ณ ประเทศตะวันออกที่ห่างไกลมีร้านอาหารเล็ก ๆ แปลก ๆ แห่งหนึ่งที่อาจหาญกล้า ‘ปฏิเสธการจัดอันดับสามดาว‘ โดย Michelin Guide อยู่หลายครั้ง อาหารที่นี่ราคาแพงมากข้าวผัดธรรมดาจานหนึ่งกับซุปหนึ่งชาม ราคาก็ปาเข้าไป 288 หยวนแล้ว (ประมาณ 1500 บาท) เคี่ยวขนาดนี้ก็ยังมีคนต่อคิวยาวเหยียดเพื่อจะรอกิน อ้อ… ที่นี่เขาไม่รับจองคิวด้วยนะ! แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีคนจำนวนมากนั่งเครื่องบินส่วนตัวมาเพื่อจองคิวอีก! ทำไมต้องนั่งเครื่องบินน่ะเหรอ ก็เขาไม่มีที่จอดรถให้น่ะสิ ที่นี่บริการแย่ ลูกค้ากินแล้วต้องล้างจานเช็ดโต๊ะเอง ไม่รู้เจ้าของร้านคิดอะไรอยู่… สงสัยคงเป็นคนบ้าคนหนึ่ง

Options

not work with dark mode
Reset