อยากกินไหมล่ะ 美食供应商
บทที่ 822 การสนทนา
หยางซู่ซินอยู่ไกลจึงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่ร้านหยวนโจว เขามีเป้าหมายในการใช้สื่อออนไลน์ที่ค่อนข้างชัดเจนคือเพื่อหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการแกะสลักน้ำแข็ง
และในเมื่อเขาได้ตัดสินใจที่จะไปเยือนเมืองเฉิงตูแล้ว เขาจึงหยุดหาข้อมูลของหยวนโจวลง ดังนั้นเขาก็เลยไม่รู้ว่าหยวนโจวก็ได้กลายเป็นเชฟด้านอาหารที่ปรุงขึ้นมาจากข้าวสาลีไปแล้ว
หยางซู่ซินหยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วโทรหาบุตรชายของเขา วันนี้เป็นวันเสาร์เขาก็เลยแนะนำให้หยางหวั่นเซิงมาพักและดูหนังสือที่บ้านในเวลานี้
แม้ว่าบุตรชายของเขาจะอยู่มหาวิทยาลัยแล้ว แต่หยางซู่ซินก็ยังจัดตารางประจำวันให้บุตรชายอยู่ เขาทำแบบนี้ก็เพื่อให้แน่ใจได้ว่าหยางหวั่นเซิงจะไม่เป็นแบบวัยรุ่นคนอื่นๆที่จะทำตัวเหลวแหลกหลังจากเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว
“หวั่นเฉิงแกจัดการเรียบร้อยแล้วใช่ไหม?” หยางซู่ซินถามเรื่องที่เขามอบหมายเอาไว้ขึ้นมาก่อน
“พ่อโทรมาเพียงแค่จะถามเรื่องนี้งั้นรึ?” หยางหวั่นเซิงกล่าวพลางเดินหาที่เงียบๆ
“ไม่งั้นฉันจะโทรหาแกหาพระแสงอะไรเล่า?” หยางซู่ซินเบิกตาโตแล้วถามขึ้นอย่างไม่พอใจ
“ครับๆ จัดการเรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องห่วงน่า ผมจะเล่าให้พ่อฟังตอนที่กลับไปวันหยุดเอง” หยางหวั่นเซิงกล่าวด้วยน้ำเสียงร้อนใจอยู่บ้าง
“โอเค จองตั๋วไปเฉิงตูให้ฉันด้วยล่ะ แล้วก็จองห้องที่นั่นให้ฉันด้วยล่ะ” หยางซู่ซินพยักหน้าด้วยความพึงพอใจก่อนที่จะบอกว่าเขาโทรมาเพราะอะไรกันแน่
“พ่อจะไปที่นั่นคนเดียวงั้นเหรอ?” หยางหวั่นเซิงคาดอยู่แล้วว่าจะต้องกระตุ้นความสนใจของหยางซู่ซินได้ แต่เขาเองก็ไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นเร็วถึงเพียงนี้
“อืม จองเที่ยวบินพรุ่งนี้ให้ด้วยล่ะ” หยางซู่ซินกล่าวเสริม
“พ่อฮะ ผมคิดว่าพ่ออาจจะต้องพักที่เฉิงตูเพิ่มอีกสักสองสามวันนะ งั้นผมจะจองที่พักให้ 10 วันเป็นไง?” หยางหวั่นเซิงรู้สึกดีใจมากเมื่อได้ยินเช่นนั้นจึงยื่นข้อเสนอให้
“ไม่ล่ะคงไม่ใช้เวลานานขนาดนั้นหรอก” หยางซู่ซินมีความมั่นใจในเรื่องชื่อเสียงของตัวเองด้านการแกะสลักน้ำแข็งมากทีเดียว
“พ่อก็รู้นี่นา คนที่ผมแนะนำให้รู้จักก็คือหยวนโจว เขาเป็นเชฟชื่อดัง…” หยางหวั่นเซิงกำลังแนะนำตัวตนของหยวนโจวให้ฟังแต่กลับถูกขัดจังหวะขึ้นมาเสียก่อนที่เขาจะทันได้แนะนำให้จบ
“ฉันรู้แล้วแหละน่า ด้วยพรสวรรค์ด้านการแกะสลักน้ำแข็งของเขาแล้ว เขาควรจะทุ่มเทให้กับการแกะสลักน้ำแข็งแทนที่จะมัวไปเสียเวลาเปล่าไปกับการทำอาหาร” หยางซู่ซินกล่าวด้วยความขุ่นเคืองใจ
เพื่อที่จะกลายเป็นช่างแกะสลักน้ำแข็งจะต้องทานทนต่อความยากลำบากและมีพรสวรรค์ในด้านที่เกี่ยวข้องกันด้วย การแกะสลักน้ำแข็งเป็นงานศิลป์แขนงหนึ่งที่ไม่ต้องมีพรสวรรค์ก็ได้ คนส่วนใหญ่จึงเป็นได้แค่ช่างแกะสลักเกรดต่ำเท่านั้น หยางซู่ซินไม่สามารถทนมองดูคนละทิ้งพรสวรรค์ของตนเองไปเสียเปล่าๆได้
“ไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อย เถ้าแก่หยวนมีฝีมือการทำอาหารยอดเยี่ยมแถมยังมีชื่อเสียงด้านการทำอาหารอย่างไม่น่าเชื่อเชียวล่ะ ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้เขายังเป็นที่รู้จักในฐานเชฟด้านอาหารที่ปรุงขึ้นมาจากข้าวสาลีอีกด้วย” ในที่สุดหยางหวั่นเซิงก็มีโอกาสเล่าให้บิดาของเขาฟัง
“งั้นรึ?” หยางซู่ซินขมวดคิ้วพลางครุ่นคิด
เมื่อหยางหวั่นเซิงเห็นว่าบิดาของเขาเงียบไปก็ชักจะเริ่มเป็นห่วงขึ้นมาแล้ว เขาเริ่มเดินวนไปวนมาพร้อมโทรศัพท์มือถือ หลังจากนั้นบิดาของเขาก็ยังเงียบอยู่ ดังนั้นเขาจึงพูดขึ้นมาว่า “แต่ผมคิดว่าพ่อยังมีโอกาสอยู่นะ ถึงยังไงผลงานแกะสลักของพ่อก็เป็นแผนการที่น่าสนใจมากทีเดียว”
หยางหวั่นเซิงพูดอย่างระมัดระวังเพราะเป็นห่วงว่าบิดาของเขาจะเลิกไปเฉิงตู
มีเหตุผลอยู่สองประการที่หยางหวั่นเฉิงแนะนำหยวนโจวให้บิดาของเขา ประการแรกก็คือบิดาของเขาอยากมีพรสวรรค์เหมือนหยวนโจว ประการที่สองคือหยางหวั่นเซิงมีจุดประสงค์ของตนเอง
“ยิ่งไปกว่านั้นนอกจากเชฟหยวนแล้ว ผมก็ไม่คิดว่าจะมีใครเก่งพอที่จะแกะสลักมังกรได้เลย” หยางหวั่นเซิงเกลี้ยกล่อมต่อไป
“ผมคิดว่าตราบเท่าที่พ่อเกลี้ยกล่อมเขาด้วยความจริงจังและจริงใจ ยังไงพ่อก็ต้องทำได้สำเร็จอยู่แล้วล่ะ” หยางหวั่นเซิงกล่าว
“ฉันรู้แล้ว ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องของฉันให้มากเกินไปหรอกน่า ทำอย่างที่แกบอกนั่นแหละ ฉันจะติดต่อกับเชฟหยวนเอง” หยางซู่ซินกล่าว
“โอเค งั้นผมจะไปจองเที่ยวบินพรุ่งนี้ให้พ่อเลยดีไหม?” หยางหวั่นเซิงขอคำยืนยัน
“อืม ไปจัดการได้เลย” หยางซู่ซินตอบตกลง
“เข้าพักกี่วันดี?” หยางหวั่นเซิงถามขึ้นมา
“เอาสักสิบวันก็แล้วกัน ฉันว่าจะไปเยี่ยมโจวซื่อเจี๋ยแล้วให้เขาแนะนำฉันให้หยวนโจวได้รู้จักสักหน่อยน่ะ” หยางซู่ซินกล่าว
“จริงด้วยสิ ลุงโจวเป็นประธานสมาพันธ์เชฟแห่งประเทศจีนนี่นา ด้วยคำแนะนำของเขาต้องสำเร็จแน่ๆ” หยางหวั่นเซิงกลาง
“เอาล่ะ งั้นแค่นี้นะ ตั้งใจเรียนเข้าล่ะ อย่าดื้อแล้วอ่านหนังสือให้จบตามเวลาด้วยนะ” หยางซู่ซินเริ่มจู้จี้ขึ้นมาแล้ว
หยางหวั่นเซิงรู้สึกโล่งอกเมื่อได้ยินแผนเรื่องหยวนโจวของบิดาตนเอง เขาเริ่มส่งเสียงเออออไปตามน้ำเมื่อบิดาจู้จี้เรื่องการเรียนของเขา
หยางซู่ซินวางสายด้วยความพึงพอใจเมื่อเขาเห็นว่าบุตรชายยังคงเชื่อฟังเช่นเคย เขาก็เลยวางแผนที่จะโทรหาโจวซื่อเจี๋ยต่อ
“เบอร์โทรเขาอยู่ไหนกันนะ?” หยางซู่ซินเริ่มหาหมายเลขโทรศัพท์ของโจวซื่อเจี๋ย
ในฐานที่เป็นยอดฝีมือด้านการแกะสลักน้ำแข็ง หยางซู่ซินจึงมีสถานะพอๆกับโจวซื่อเจี๋ย พวกเขารู้จักกันตอนที่โจวซื่อเจี๋ยกำลังมองหาคนที่แกะสลักน้ำแข็งให้อาหารของเขาได้เมื่อครั้งที่เขามาเยือนเมืองฮาร์บินในอดีต
ความสัมพันธ์ของพวกเขาจึงค่อนข้างดีทีเดียว ในช่วงปีใหม่และเทศกาลอื่นๆ พวกเขาก็จะแลกของขวัญกัน แต่เนื่องจากเมืองฮาร์บินเป็นสถานที่อันแสนวิเศษสำหรับช่างแกะสลักน้ำแข็ง หยางซู่ซินจึงไม่ค่อยได้มาเยือนเมืองเฉิงตูสักเท่าไหร่นัก
หลังจากนั้นไม่นาน หยางซู่ซินก็เจอหมายเลขโทรศัพท์ของโจวซื่อเจี๋ยแล้วโทรออก
มันเป็นวันเสาร์และโจวซื่อเจี๋ยก็กำลังพักผ่อนอยู่กับบ้าน จู่ๆเสียงโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น
เขารู้สึกตกใจเมื่อเห็นชื่อบนโทรศัพท์ของตนเอง “เจ้าหมอนี่โทรมาหาฉันทำไมกันนะ?”
เขาไม่คิดอะไรมากก็รับสาย
“พี่โจว ไม่เจอกันเสียนานเลยนะ” หยางซู่ซินกล่าวคำทักทาย
“ไง? นายจะมอบผลงานแกะสลักน้ำแข็งหรืออะไรเป็นของขวัญให้ฉันงั้นรึ?” โจวซื่อเจี๋ยหยอกล้อ
“แหงล่ะ อีกไม่นานฉันจะไปเยี่ยมนายนะ” หยางซู่ซินกล่าว
“ว้าว แปลกชะมัดเลย นายจะมาเฉิงตูแถมยังจะมอบผลงานแกะสลักน้ำแข็งให้ฉันเป็นของขวัญอีกงั้นรึ?” โจวซื่อเจี๋ยรู้สึกประหลาดใจ
ความประหลาดใจของเขาพอเป็นที่เข้าใจได้อยู่ เขาเคยชวนหยางซู่ซินมาเฉิงตูแต่มักจะถูกปฏิเสธอยู่เรื่อย การได้รับผลงานแกะสลักน้ำแข็งเป็นของขวัญคือสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับเขามาก่อนเช่นกัน
เท่าที่หยางซู่ซินเข้าใจ โจวซื่อเจี๋ยไม่ได้รู้เรื่องเกี่ยวกับผลงานแกะสลักน้ำแข็งมากสักเท่าไหร่นักหรอก การมอบให้เขาเป็นของขวัญก็เท่ากับเสียของไปเปล่าๆ
“ฉันอยากให้นายช่วยอะไรสักหน่อยน่ะ” หยางซู่ซินกำลังพยายามอย่างถึงที่สุดเพื่อให้ผลงานแกะสลักมังกรนพเก้าออกมาเสร็จสมบูรณ์
“อะไรหรือ?” โจวซื่อเจี๋ยถาม
“หยวนโจวคนนั้นใช่สมาชิกในสมาพันธ์เชฟของนายหรือเปล่า?” หยางซู่ซินถามขึ้นมา
“โอ้ เขาน่ะเหรอ? แน่นอน ทำไมรึ?” โจวซื่อเจี๋ยถามเขาโดยไม่ได้นึกถึงเรื่องผลงานแกะสลักมังกรนพเก้า
“ฉันเห็นผลงานแกะสลักน้ำแข็งของเขาแล้วพบว่ามันช่างน่าทึ่งมากเลยล่ะ ฉันก็เลยคิดว่าอยากให้เขาช่วยแกะสลักมังกรนพเก้าให้เสร็จน่ะสิ” หยางซู่ซินถอนหายใจด้วยความโล่งอกแล้วอธิบาย
“ผลงานแกะสลักมังกรนพเก้าน้ำแข็งงั้นรึ? ฉันว่าฉันน่าจะช่วยเรื่องนี้ได้มากเชียวล่ะ” โจวซื่อเจี๋ยเริ่มตื่นตัว
“ทีแรกก็ซาลาเปาจี้จากสาขาอาหารที่ปรุงขึ้นมาจากข้าวสาลีที่มา ตอนนี้ยังมีคนจากสาขาการแกะสลักน้ำแข็งมาปรากฏตัวอีก เกิดอะไรขึ้นกับเจ้าเด็กหยวนโจวคนนี้กันนะ? ดูเหมือนว่าเขาจะรอบรู้ไปเสียทุกเรื่องแถมยังเชี่ยวชาญไปเสียทุกอย่างอีกต่างหาก เขาก็เหมือนกับเสวียนจ้างที่ทุกคนอยากจะชิมรสมือของกันทั้งนั้นนั่นแหละ” โจวซื่อเจี๋ยนึกขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
“ลืมมันไปเสียเถอะ ในฐานสหาย ฉันสามารถแนะนำให้ได้นะแต่เขาจะตกลงหรือเปล่าก็สุดแท้แต่เขาแล้วล่ะ” โจวซื่อเจี๋ยกล่าว
“ขอบคุณนะพี่โจว” หยางซู่ซินกล่าว
“ยังไม่ต้องมาขอบอกขอบใจฉันหรอก ฉันยังพูดไม่จบเลย” โจวซื่อเจ๋ยกล่าว
“เชิญพูดต่อ” หยางซู่ซินกล่าวอย่างไม่รีบร้อน
“ในฐานที่เป็นประธานสมาพันธ์เชฟ ฉันไม่เห็นด้วยเลยที่จะให้หยวนโจวเข้าไปข้องเกี่ยวกับการแกะสลักน้ำแข็ง พรสวรรค์ด้านการทำอาหารของเขาอยู่ในระดับสูงมากทีเดียว การทำเรื่องอื่นนับว่าเป็นการเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์” โจวซื่อเจี๋ยกล่าวออกมาตามตรง
โจวซื่อเจี๋ยพยายามที่จะบอกให้หยางซู่ซินรู้ว่าแม้หยวนโจวจะตอบตกลงเข้าร่วมแผนการแกะสลักน้ำแข็ง แต่เขาก็ยังคงเป็นสมาชิกของสมาพันธ์เชฟอยู่ดี เขาควรให้ความสนใจกับการทำอาหารมากกว่า!