ตามฉันมาเสียดีๆ ตอนที่ 2
หยวนโจวคาดไว้แล้วว่าอู๋ไห่เชื่อถือไม่ได้ แต่ในเมื่อตอนนี้เขาหายตัวไป หยวนโจวก็ต้องถามต่อไป
เขาอ้าปากถามขึ้นมาอีกครั้งว่า “พูดตามปกติ บอกอาคารที่เป็นจุดสังเกตชัดๆที่ฉันสามารถหาได้ง่ายๆมาทีซิ”
คราวนี้หยวนโจวกล่าวอย่างเคร่งขรึมจริงจังจนแม้แต่สีหน้าก็ยังกลับกลายเป็นเข้มงวด ถึงอย่างไรก็เป็นตัวเขาเองที่พาอู๋ไห่มาที่นี่ แต่ตอนนี้เขากลับหายตัวไปก่อนที่จะถึงจุดหมายปลายทางของพวกเขาเสียอีก แล้วเขาจะอธิบายเรื่องน่าอายแบบนี้ให้ผู้อื่นฟังได้อย่างไรกันเล่า?
“ยังไม่ชัดพออีกเหรอ? ดูที่โคมไปนอกประตูสิ พวกมันออกจะโดดเด่นสะดุดตาอย่างเห็นได้ชัดเลย แถมยังมีเฟิ่งตัวผู้กับหวงตัวเมียที่ทำให้จดจำได้ง่ายพอสมควรอีกด้วย…” อูไห่ลูบหนวดเครากระจุ๋มกระจิ๋มของตัวเองแล้วเงยหน้ามองโคมไปอีกครั้ง
“บอกฉันมาเดี๋ยวนี้” หยวนโจวขัดจังหวะคำพูดของอู๋ไห่อย่างรวบรัดตัดตอน
“ทำไมนายถึงไม่ยอมบอกตำแหน่งให้ฉันรู้เล่า ฉันจะได้หานายพบสักที?” อู๋ไห่มองไปรอบๆแล้วก็ไม่เจอสิ่งใดเลยที่พอจะอ้างอิงได้จริงๆ ไม่มีอะไรเป็นพิเศษเลยนอกเสียจากบ้านจำนวนนับไม่ถ้วน ดังนั้นเขาจึงเปลี่ยนไปใช้วิธีการพูดอีกแบบหนึ่ง
“ก็ได้” หยวนโจวนึกอยู่สักครู่แล้วก็รู้สึกว่าแบบนั้นก็ดีเหมือนกัน เขาสามารถคำนวณจำนวนย่างก้าวได้จึงไม่น่าจะมีปัญหานักหรอก
“แล้วตอนนี้นายอยู่ที่ไหนอ่ะ? มีจุดสังเกตอะไรบ้างไหม?” อู๋ไห่กล่าว
เมื่ออู๋ไห่ถามมา หยวนโจวก็หันไปมองรอบๆ
มันเป็นถนนสายหนึ่งที่โอบล้อมรอบตัวเขา จากที่เห็นนั้น ถนนค่อนข้างแคบกว่าตอนที่เขาเพิ่งจะเข้ามาเสียอีก แต่เขาแน่ใจอย่างหนึ่งว่าเลี้ยวเข้ามาตรงหัวมุม
แต่สำหรับตำแหน่งที่จำเพาะเจาะจงนั้น — หยวนโจวพับแผนที่ที่ชายชราวาดแล้วกล่าวอย่างเฉียบขาดว่า “เดี๋ยวฉันจะโทรหานะ” จากนั้นเขาก็วางสายไป
“เป็นบ้าอะไรของนายอีกล่ะเนี่ย?” อู๋ไห่ถือโทรศัพท์แล้วชักจะสับสนเล็กน้อยโดยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
หลังจากวางสายไปแล้ว หยวนโจวก็เริ่มค้นหาเส้นทาง ในฐานที่เป็นผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์โชกโชน เขาต้องแสดงฝีมือขั้นสุดยอดในการในการค้นหาเส้นทางเสียแล้วล่ะ
“เมื่อกี๊ฉันมาจากตรงนี้ เป็นซอยนี้ไม่ใช่เหรอ?” หยวนโจวลุกขึ้นแล้วหันกลับไปมอง มีซอยอยู่สามซอยทางด้านหลังของเขา
“ซอยนี้หรือซอยที่อยู่ข้างๆกันนะ? ตอนที่โทรไปเมื่อกี๊ ฉันไม่ได้ขยับเท้าไปไหนเลยนะ ฉะนั้นทิศทางของปลายนิ้วเท้าฉันจึงบ่งบอกว่าเมื่อกี๊ฉันไม่ได้หันกลับมาเลย” หยวนโจวขมวดคิ้วแล้วครุ่นคิดอย่างรอบคอบ เขาก้มหน้าลงไปมองนิ้วเท้าตัวเอง
“เมื่อกี๊ฉันเดินไปกี่ก้าวกันแน่นะ?” หยวนโจวพึมพำแล้วถอยหลังไปสองสามก้าว
เมื่อสักครู่หยวนโจวไม่ได้คำนวณย่างก้าวของตัวเองขณะที่ตามหาอู๋ไห่ ดังนั้นการคำนวณก่อนหน้านี้ของเขาจึงเปล่าประโยชน์
แต่หลังจากเขาเดินถอยหลังมาได้สองสามก้าว หยวนโจวก็พบว่าซอยนี้กลับไม่ใช่ซอยที่เขามั่นใจเมื่อสักครู่อีกแล้ว จากนั้นเขาก็รู้สึกลังเลขึ้นมาเล็กน้อย
เขาเดินกลับไปกลับมาอยู่ตรงนั้นอย่างน้อยสิบนาที แต่เขาก็ยังไม่เจอตำแหน่งที่เขาชะงักลงเมื่อสักครู่เลย
ในสายตาของผู้อื่น การกระทำของหยวนโจวค่อนข้างโง่มากทีเดียว นั่นเป็นเพราะพวกเขาไม่มีวันเข้าใจความรันทดของเจ้าโง่จอมหลงทางหรอกหากไม่พวกเขาไม่พลัดหลงเสียเอง
แม้แต่ถนนสายเดียวกันก็ยังแตกต่างกันไปในแต่ละฤดูกาล เมื่อเทียบกับตอนเช้าแล้วก็จะมีความแตกต่างในตอนเย็น และดูเหมือนจะแตกต่างกันในหนึ่งนาทีต่อมา
ดังนั้นจึงอย่าได้คิดว่าเป็นเรื่องเกินจริงอะไรเลยที่หยวนโจวจะมองนิ้วเท้าตัวเองแล้วนับจำนวนย่างก้าว มันเป็นเพียงวิธีเดียวที่คนไม่มีเซ้นส์เรื่องทิศทางแต่ก็ยังอยากนำทางสามารถนึกออกได้แล้ว
หลังจากนั้นเขาก็วิ่งมาได้สักพัก หยวนโจวก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้
“คงไม่ใช่ว่าฉันหลงทางหรอกนะ” หยวนโจวนึกถึงคำถามนี้ด้วยสีหน้าเอาจริงเอาจัง
“ต้องโทษเจ้าอู๋ไห่ เขาไม่ยอมอยู่ใกล้ๆฉันก็เลยหลงทาง เห็นไหมเล่า? ตอนนี้เขาหลงทางเสียแล้ว แถทเขายังมาทำให้ฉันสับสนกับก้าวย่างของตัวเองเพียงเพราะออกตามหาเขาอีก” หยวนโจวรู้สึกดูถูกดูแคลนคนที่ทำร้ายทั้งผู้อื่นและตัวเองอย่างอู๋ไห่เอามากๆเลยล่ะ
หยวนโจวไม่รู้ว่าจะแก้ปัญหาเรื่องที่พลัดหลงได้อย่างไรตอนที่อู๋ไห่เรียกเขาเป็นครั้งแรก
“เถ้าแก่หยวน นายโอเคมั้ย? นายเจออาคารที่เป็นจุดสังเกตหรือเปล่า?” อู๋ไห่ถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง
“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า” คำพูดของหยวนโจวช่างแสนสั้นกระชับ
เขายังนึกวิธีแก้ปัญหาเรื่องที่พลัดหลงต่อไป ถึงอย่างไรพวกเขาก็ไม่สามารถขอความช่วยเหลือจากตำรวจได้ จะเป็นเรื่องน่าอายขนาดไหนกันที่ผู้ใหญ่สองคนไปหาตำรวจแล้วบอกว่าพวกเขาพลัดหลงกัน ยิ่งไปกว่านั้นยังอยากขอความช่วยเหลืออีกต่างหาก! สถานการณ์ช่างน่าอับอายเสียจนหยวนโจวไม่อยากจะนึกถึงอีกต่อไปแล้ว
“เถ้าแก่หยวน นายคงไม่เจอผู้เชี่ยวชาญคนนั้นแล้วเริ่มทานอาหารไปแล้วหรอกใช่ไหม?” น้ำเสียงของอู๋ไห่เปี่ยมไปด้วยการกล่าวโทษ
“ยัง ก็ฉันรอนายอยู่ไงเล่า” หยวนโจวนิ่งเฉย
“โอเค ตอนนี้นายอยู่ที่ไหน? ฉันจะไปหานายเอง” อู๋ไห่กล่าวอีกครั้ง
“ไม่เอาน่า! ด้วยความสามารถของนายจะมาถูกงั้นเหรอ? ลืมมันไปเสียเถอะ” หยวนโจวมองสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคยแล้วปฏิเสธ
“ตอนนี้พวกเราจะเอาไงดีอ่ะ?” อู๋ไห่ลูบหนวดเครากระจุ๋มกระจิ๋มของตัวเองแล้วมองภาพเขียนเฟิ่งบนโคมไฟ
“นายโทรหาตัวแทนของนายซิ นายมีสมาร์ทโฟนไม่ใช่เหรอ? ส่งโลเคชั่นไปให้เขาด้วย” หยวนโจวอดจะชื่นชมในไหวของตัวเองไม่ได้
“อืม เป็นความคิดที่ดี แล้วฉันจะส่งโลเคชั่นไงอ่ะ?” อู๋ไห่เห็นด้วยกับเขาแล้วก็ถามขึ้นมา
“ฉันเป็นแค่เชฟนะเว้ย” หยวนโจวกล่าวอย่างสุภาพ
การส่งโลเคชั่นอยู่นอกเหนือความสามารถของหยวนโจวผู้แทบไม่เคยใช้สมาร์ทโฟนเลย
“ขอถามเจิ้งเจียเว่ยก่อนนะ” คราวนี้อู๋ไห่รีบวางสายทันที
หยวนโจวพบข้อเสียของตัวเองอย่างหนึ่ง นั่นก็คือเขามีแค่ไม่กี่วิธีในการขอความช่วยเหลือ ดูเหมือนว่าตอนนี้เขาจะไม่มีทางเลือกนอกจากขอให้คนอื่นส่งโลเคชั่นมาให้เขาแล้ว
“ฉันควรจะถามเจียงฉางซี่หรือญินยาดีนะ?” หยวนโจวหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วนึกถึงปัญหาสำคัญขึ้นมาได้
หยวนโจวเปิดรายชื่อผู้ติดต่อในโทรศัพท์ของเขา —
พี่เจียง สุดสวยญิน ฉูน้อย อู๋สามขวบ โจวเจีย — รวมแล้วมีคนน้อยกว่าโหลนึงเสียอีก
หยวนโจวกำลังคัดกรองตัวแทนที่เหมาะสมอยู่ในใจ ถึงอย่างไรการติดแหง็กอยู่ที่นี่ก็หาใช่วิธีแก้ปัญหาที่ดี เขายังต้องเปิดร้านในตอนเย็นอยู่นะ
ส่วนเรื่องที่จะขอให้หยวนโจวถามทางนั้นคงต้องเข้าตาจนจริงๆแล้วเท่านั้นแหละ ถึงอย่างเขาก็เป็นผู้ใหญ่มากกว่าเด็กน้อย
ปัญหาที่สำคัญก็คือเขาจะไม่ยอมเป็นเจ้าโง่จอมหลงทางหรอกหากเขาสามารถค้นหาความช่วยเหลือได้จากแผนที่และคำแนะนำของคนอื่นๆ
“ฉันโทรหาโจวเจียดีกว่า” หยวนโจวใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งแล้วเลือกคนที่เหมาะสมแก่การขอความช่วยเหลือ
ในความคิดของเขานั้น เขาเคยขอความช่วยเหลือเจียงฉางซี่ไปครั้งหนึ่งแล้วเขาจึงรู้สึกอายที่จะขอความช่วยเหลือเธออีก สำหรับญินยานั้น เขาไม่อยากรบกวนเธอตอนนี้เพราะเรื่องหยุมหยิมพรรค์นั้น
ส่วนโจวเจีย เขาไม่ต้องกังวลเลย ไม่ใช่เพียงเพราะเธอเป็นลูกจ้างของเขาหรอกแต่ยังเป็นเพราะโจวเจียมักจะมีอุปนิสัยสงบสำรวมจึงค่อนข้างวางใจได้มาก
“เถ้าแก่เหรอคะ?” โจวเจียค่อนข้างประหลาดใจตอนที่รับสาย
“อืม เธอรู้วิธีเปิดใช้บริการจีพีเอสไหม?” น้ำเสียงของหยวนโจวฟังดูค่อนข้างเคร่งขรึมราวกับกำลังพูดเรื่องการวิจัยทางวิทยาศาสตร์บางอย่างอยู่ก็ไม่ปาน
“ฉันรู้แต่วิธีส่งโลเคชั่นวีแชทไปให้คนอื่นนะคะ คุณกำลังพูดถึงเจ้าสิ่งนั้นใช่ไหม?” โจวเจียตอบอย่างจริงจัง
แต่เธอก็ไม่ได้ถามสาเหตุที่หยวนโจวถามคำถามนี้ขึ้นมา
“มีอะไรอีกไหม?” หยวนโจวไม่รู้วิธีส่งโลเคชั่นวีแชทจึงถามขึ้นมาตรงๆ
“ฉันว่าน่าจะใช่นะ ก่อนอื่นเปิดอินเตอร์เฟซของวีแชท…” โจวเจียอธิบายขั้นตอนอีกครั้งอย่างรอบคอบและจริงจังแล้วรอคำตอบของหยวนโจว
ความสามารถในการเรียนรู้ของหยวนโจวช่างเหนือล้ำอย่างไม่ต้องสงสัยเลย ดังนั้นเขาจึงจัดการเรื่องหยุมหยิมพรรค์นี้อย่างการส่งโลเคชั่นให้คนอื่นได้อย่างง่ายดายยิ่ง
“อืม แค่นั้นนะ แล้วเจอกันเย็นนี้” หยวนโจวกล่าว
“โอเค บายค่ะ เถ้าแก่” โจวเจียกล่าวอำลาเขาอย่างสุภาพอ่อนโยน
เมื่อวางสายแล้ว หยวนโจวก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วนึกถึงเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ นั่นก็คือเขาไม่ได้ใช้วีแชทนี่นา ก่อนที่เขาจะมีเจ้าระบบเข้ามา เขามักจะใช้แต่คิวคิว แต่หลังจากมีเจ้าระบบเข้ามาแล้ว เขาก็หมดเวลาส่วนใหญ่ไปกับการศึกษาการทำอาหารแล้วก็ไม่ได้ใช้คิวคิวมากเท่าแต่ก่อนอีก
ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางส่งโลเคชั่นให้คนอื่นได้เลยแม้ว่าเขาจะทราบขั้นตอนแล้วก็ตามที
หยวนโจวชักจะอารมณ์เสียขึ้นมานิดหน่อยแล้ว ทำไมเรื่องยุ่งยากถึงได้ทยอยเข้ามาไม่ได้ขาดสายเลยนะ? แต่ในทางกลับกัน ทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับอู๋ไห่กลับดำเนินไปได้ด้วยดี
“เจิ้งเจียเว่ยนายยุ่งอยู่หรือเปล่า? ฉันมีเรื่องด่วน” อู๋ไห่อ้าปากถามขึ้นมา