“อ้า! สัตว์ประหลาด!”
เซี่ยโฮวหยิน เซถอยหลังด้วยความตกใจและล้มลงบนพื้น
เซี่ยโฮวซีตกใจเมื่อเห็นใบหน้าของซูมู่เกอและไม่สามารถพูดได้ชั่วขณะ
ด้วยตาที่น่าสยดสยอง ซูมู่เกอมองที่เซี่ยโฮวหยินแต้มรอยยิ้มที่น่ากลัว
“องค์หญิงเพค่ะ พระองค์ทรงพอพระทัยกับสิ่งที่เห็นหรือไม่?” ในขณะที่พูด นางเดินเข้าหาพวกเขาช้าๆ
เซี่ยโฮวหยินกลัวมากจนนางหดตัวกลับ “เจ้า เจ้าเป็นสัตว์ประหลาด มาเร็ว เร็วเข้าจับสัตว์หระหลาดตัวนี้!”
เมื่อได้ยินคำพูดของนาง นางกำนัลในวังที่รออยู่ด้านนอกก็รีบเข้ามาในศาลา พวกเขาตกใจเช่นกันที่เห็นใบหน้าของซูมู่เกอ แต่พวกเขาไม่ขลาดกลัวเช่นองค์หญิงและรีบวิ่งไปหาซูมู่เกอ
ซูมู่เกอก้าวถอยหลังหลบผู้คนทั้งหมดที่มาจับนาง และตรงไปที่ศาลา
“เมื่อองค์หญิงทรงไม่เป็นอะไรร้ายแรง หม่อมฉันขอประทานอภัย กราบทูลลาเพค่ะ”
“เจ้า เจ้าสัตว์ประหลาด เจ้ากล้าหนีไปได้อย่างไร?” เมื่อซูมู่เกอจากไป เซี่ยโฮวหยินก็กล้ามากขึ้น
“พวกเจ้าทำอะไรอยู่ที่นี่? จับนาง! เร็วเข้า!”
“ท่านพี่แปด พอ! พวกเจ้าทุกคนกลับมา!” เซี่ยโฮวซีรู้สึกตัวและหยุดสาวใช้ที่กำลังจะจับซูมู่เกอ
มันเป็นตำหนักของเซี่ยโฮวซี ดังนั้นนางกำนัลส่วนใหญ่จึงอยู่ใต้บังคับบัญชาของนาง เมื่อได้ยินคำสั่งของนางพวกเขาจึงไม่กล้าขยับตัวต่อ
เมื่อเห็นสิ่งนี้ เซี่ยโฮวหยินก็แสดงออกอย่างรุนแรง “เซี่ยโฮวซี เจ้ากล้าฝ่าฝืนคำสั่งของข้าได้เยี่ยงไร?”
เซี่ยโฮวซีดูเฉยเมยและดูเหมือนจะไม่กลัวการคุกคามของเซี่ยโฮวหยิน “ท่านพี่ ข้าไม่ได้ตำหนิท่านที่ทำลายแผนของข้า อย่างไรท่านพี่ถึงจะโทษข้าได้?”
“ฮึ! สัตว์ประหลาดน่าเกลียดตัวนี้สามารถทำอะไรได้? เช่นเดียวกับเจ้าที่อ่านหนังสือแพทย์มาหลายปีและเรียนรู้ทักษะทางการแพทย์จากรองสำนักหมอหลวงในวังหลวงเจ้าก็ยังไม่สามารถรักษาแม้กระทั่งอาการเป็นไข้หวัดของเสด็จแม่ได้ เจ้าทำให้ตัวเองเป็นเช่นเดียวกับคนที่ตายไปแล้วด้วยซ้ำ ถ้าข้าไม่บอกความจริงกับเจ้า เจ้ายังคิดว่าเจ้าเก่งเรื่องยาอยู่งั้นหรือ!?”
ใบหน้าของเซี่ยโฮวซีซีดลงและเซี่ยโฮวหยินก็เสียงดังอย่างภาคภูมิใจ
“กลับตำหนักของข้ากันเถอะ”
“เพค่ะ”
เมื่อออกจากตำหนักของเซี่ยโฮวซี เซี่ยโฮวหยินวางใบหน้าเฉยเมยอีกครั้ง
“แม้กระทั่งลูกสาวของขุนนางชั้นต่ำยังกล้าที่จะทำให้ข้าขุ่นเคือง ข้าจะสอนบทเรียนสำหรับการกระทำที่สิ้นคิดของเจ้า!”
ซูมู่เกอถูกนางกำนัลพาออกจากวังและมุ่งหน้ากลับไปที่คฤหาสน์ตระกูลซู สำหรับความขัดแย้งกับองค์หญิงทั้งสอง นางไม่ได้ใส่ใจจริงจังกับมันนัก
ในห้องทรงอักษรขององค์จักรพรรดิ
หลังจากซูหลุนและซูมู่เกอจากไป เซี่ยโฮวรุยเอนหลังพิงบัลลังก์มังกรอย่างอ่อนแรง
ขันทีอีที่รออยู่ด้านข้างบัลลังก์ยกน้ำชาร้อนๆถวยให้กับองค์จักรพรรดิหนึ่งถ้วย
จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยหยิบถ้วยน้ำชาขึ้นจิบ ในที่สุดเขาก็รู้สึกได้ถึงลมหายใจของเขาในอก
“ฝ่าบาทพะย่ะค่ะ พระองค์ทรงรู้สึกดีขึ้นหรือไม่พะย่ะค่ะ?”
จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยลุกขึ้นยืนและแย้มสรวล “ชาที่เจ้านำมาให้ข้าดื่มนั้นทำให้ข้ารู้สึกสบายขึ้นมาก”
“หม่อมฉันรู้สึกยินดียิ่งฝ่าบาท เป็นพระมหากรุณาธิคุณของหม่อมฉันที่ได้รับใช้พระองค์พะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยถอนหายใจเบาๆ “ข้ากลัวว่าร่างกายของข้าจะอยู่ได้อีกไม่นาน”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ขันทีอีก็เปลี่ยนการแสดงออกของเขาหลายครั้ง “ฝ่าบาท อย่าทรงตรัสเช่นนั้นพะย่ะค่ะ พระองค์คือจักรพรรดิ จะเป็นเยี่ยงไรถ้าพระองค์…”
จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยขัดจังหวะเขาด้วยเสียงหัวเราะเบา ๆ “เหล่าขุนนางในราชสำนักทั้งหลายปรารถนาให้ข้ามี ‘อายุยืนยาวครองราชน์ชั่วกัลป์’ แต่ข้าจะอยู่ตลอดไปได้อย่างไร?”
“ฝ่าบาท เนื่องจากคุณหนูสามารถรักษาโรคระบาดได้ ทำไมไม่ให้นางลองดูพะย่ะค่ะ?”
ให้เด็กคนนั้นรักษาเขา? เซี่ยโฮวรุยส่ายศีรษะก่อนจะคิดด้วยซ้ำ “ลืมมันซะ อย่างทำให้เด็กตกใจ ถ้าวันนี้ข้าไม่ได้เห็นซูหลุน ข้าไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเด็กจากชนบทจะมีทักษะเช่นนั้น”
ขันทีอียังจำได้ว่าเหตุใดซูหลุนจึงถูกส่งไปนอกเมืองหลวงเพื่อเป็นเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น
“พะย่ะค่ะ ฝ่าบาท ใต้เท้าซูต้องพยายามอย่างมากในการปลูกฝังคุณหนูคนโตของตระกูลซูในปีนี้”
ใช้ความพยายามอย่างมากในการปลูกฝังนาง?
เซี่ยโฮวรุยไม่มั่นใจนัก เด็กที่ทำร้ายศักดิ์ศรีของบิดดาทางอ้อมและเป้าหมายใหม่ไม่สามารถทำให้ซูหลุนปลูกฝังนางด้วยความพยายามอย่างเต็มที่
“จริงๆ? มันเหมือนว่าซูหลุนจะก้าวหน้าไปมาก” จากนั้น เซี่ยโฮวรุยก็หลับตาและหยุดพูด
ขันทีอีฮึ่มฮั่มในลำคอ แต่ในที่สุดก็ไม่พูดอะไร
……………………….
จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยไม่ทำให้ซูหลุนรอนานเกินไปหลังจากที่เขามาถึงเมืองหลวง คำสั่งแต่งตั้งขององค์จักรพรรดิก็ประกาศในไม่กี่วัน
ซูหลุนได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าหน้าที่ระดับ 9 ของกระทรวงการงาน หลังจากที่ซูหลุนได้รับคำสั่งแต่งตั้งขององค์จักรพรรดิและส่งคนจากวังหลวงกลับไป ซูมู่เกอรู้สึกได้ถึงความไม่พอใจของเขาอย่างชัดเจน
เขาได้รับการเลื่อนขั้นเพียงระดับเดียว และเป็นตำแหน่งที่ไม่สำคัญ เขายังมีหนทางอีกยาวไกลที่จะไต่เต้าไปสู่ตำแหน่งเสนาบดีว่าการกระทรวงการงาน!
ไม่พอใจอย่างที่เขาเป็น ซูหลุนไม่กล้าแสดงอารมณ์ของเขา แต่ทำได้เพียงแสร้งทำเป็นสนุกสนานและไปราชสำนักในตอนเช้า
………………………….
“คุณหนูใหญ่เจ้าค่ะ ใต้เท้าขอให้ท่านและนายหญิงใหญ่ไปที่โถงหยงเหอเพื่อรับอาหารค่ำเจ้าค่ะ”
ปิดหนังสือทางการแพทย์ในมือของนาง ซูมู่เกอมองไปที่เยว่รู่และพูดว่า “ได้ ข้าจะไป”
อาศัยอยู่ที่เมืองหลวงมานานกว่าหนึ่งเดือน นางแทบจะไม่ได้ออกจากลานดอกท้อบานเลยและดูแลนางจ้าวและตัวนางเองอย่างพิถีพิถัน
วันนี้ นางขอให้เยว่รู่หาหนังสือทางการแพทย์ให้นาง เพื่อที่นางจะได้รู้เกี่ยวกับพัฒนาการทางการรักษาในยุคนี้ น่าเสียดายที่หลายวันมานี้ เยว่รู้พบเพียงเล่มเดียวซึ่งอธิบายสั้นๆ เกี่ยวกับโรคและอาการที่พบบ่อยๆ ยิ่งไปกว่านั้นคำอธิบายในหนังสือยังคลุมเครือมาก ดังนั้นมันจึงช่วยนางได้แค่เพียงเล็กน้อย
“รายงานท่านแม่ของข้าและเตรียมตัวให้พร้อม”
“เจ้าค่ะ”
ก่อนเวลาอาหารค่ำ ซูมู่เกอขอให้เยว่รู่ช่วยนางสวมชุดสีขาวนวลของดวงจันทร์ให้นาง
ด้วยรูปร่างที่เพรียวบางของนางและสีขาวราวดวงจันทร์ของชุด นางจึงดูเหมือนความสวยที่สง่างาม
เมื่อนางแต่งตัวเสร็จและเดินออกจากห้องไป นางจ้าวรออยู่ที่ด้านนอกแล้ว ในแวบแรกนางจ้าวมีรูปร่างอวบและดวงตาของนางทอประกาย
แม่และลูกสาวจับมือกันเดินไปที่โถงหยงเหอ
ก่อนเข้าห้องโถง พวกเขาได้ยินเสียงหัวเราะอันร่าเริงและดังกึกก้อง
“ท่านพ่อ ท่านชอบแกล้งข้ามาก…..
ทันทีที่ซูมู่เกอเดินผ่านม่านประตูที่ปักด้วยดอกไม้เข้ามา เสียงหัวเราะในห้องก็หยุดลงทันที
ซูมู่เกอมองไปรอบๆ พบว่ามีคนจำนวนมากยืนอยู่ในห้อง นอกจากนางอันและลูกสาวของนางแล้ว ยังมีนางสนมสามคนของซูหลุนและลูกสาวสองคนของนางสนม ซูยู่รั่ว คุณหนูคนที่สามและ ซูยู่ม้าน คุณหนูคนที่สี่
นางจ้าวมีโอกาสได้ร่วมโต๊ะอาหารกับซูหลุนในช่วงเทศกาลเท่านั้น ดังนั้นนางจึงดูอึดอัดเล็กน้อยในเวลานี้
“ใต้เท้า”
“ท่านพ่อ”
ซูหลุนเหลือบมองทั้งสองอย่างรวดเร็ว สายตาของเขาหยุดอยู่ที่ซูมู่เกอสองสามวินาทีและพยักหน้า
“นั่งเถอะ”
ทันที่ที่ซูมู่เกอนั่งลง ซูจิงเหวินซึ่งนั่งอยู่ข้างนางอันเดินมาข้างหน้าและจับมือซูมู่เกอไว้
“ท่านพี่ ทำไมวันนี้ท่านไม่มาหาข้าล่ะ? ท่านดูถูกข้าเพราะข้าไม่เข้าใจหนังสือทางการแพทย์หรือ?”
ตั้งแต่ซูมู่เกอได้รับการยกย่องในการรักษาโรคระบาดในเมืองโจว ชื่อเสียงของนางในด้านทักษะทางการแพทย์จึงแพร่กระจายไปอย่างกว้างขวางในเมืองหลวง
มีสตรีจากตระกูลชั้นสูงหลายพันคนในเมืองหลวง แต่มีเพียงไม่กี่คนที่ได้รับยกย่องจากองค์จักรพรรดิ ดังนั้นซูมู่เกอจึงมีชื่อเสียง
อย่างไรก็ตาม มันเป็นเรื่องแปลกที่ตั้งแต่พวกเขาตั้งถิ่นฐานในเมืองหลวงเป็นเวลานานกว่าหนึ่งเดือน ไม่มีใครสักคนเดียวที่มาหาซูมู่เกอเพื่อรับการรักษา
เมื่อได้ยินคำพูดของซูจิงเหวิน สายตาของซูหลุนที่มองซูมู่เกอดูเคร่งขรึมเล็กน้อย
เป็นความจริงที่ซูมู่เกอน่าจะมีประโยชน์มากกว่านี้ แต่ถ้านางไม่เชื่อฟังและยังดูหมิ่นครอบครัวของนางดังที่ซูจิงเหวินกล่าว….นางจะไม่ช่วยเหลืออะไรเขา!
“มู่เกอ เจ้าคิดเช่นนั้นจริงๆ รึ?”
ซูมู่เกอดึงมือของนางออกจากซูจิงเหวินอย่างใจเย็นและลดสายตาลง เพื่อปกปิดรูปลักษณ์ที่เยือกเย็นและเฉยเมยของนาง
“ไม่แน่นอนเจ้าค่ะ ท่านพ่อ เราคือครอบครัว ข้าจะดูถูกน้องสาวของข้าได้อย่างไร? ข้ากลัวจะเป็นการรับกวนเจ้าเมื่อเจ้าพักผ่อน ข้าไม่คาดคิดว่าน้องสาวคนที่สองของข้าจะเข้าใจผิดและตำหนิข้า”
“มู่เกอพูดถูก ใต้เท้า มันค่ำมากแล้ว มาทานอาหารเย็นกันเถอะเจ้าค่ะ”
เมื่อเห็นรูปลักษณ์ที่เชื่อฟังและถ่อมตัวของซูมู่เกอ ซูหลุนก็ยอมทิ้งประเด็นนี้ไป “อืม”
อาหารค่ำจืดชืดและน่าเบื่อ แม้ว่าอาหารจะดีกว่าที่ลานดอกท้อบานมาก ซูมู่เกอไม่สามารถเพลิดเพลินกับมันต่อหน้าโต๊ะที่เต็มไปด้วยผู้คนที่น่ารังเกียจ
“เกือบลืมไปเจ้าค่ะ ใต้เท้า ข้าได้ยินมาว่าองค์หญิงแปดวางแผนที่จะเพลิดเพลินกับทิวทัศน์ที่ทะเลสาบพระจันทร์และต้องการหาเพื่อนร่วมชื่นชมร่วมกัน เมื่อพิจารณาว่าเหวินเอ๋อร์และคุณหนูใหญ่ยังไม่ได้ออกไปข้างนอกเลย ข้าขอพี่สะใภ้ใหญ่ของข้าสำหรับสองคำเชิญนี้เจ้าค่ะ แล้วจะให้เหวินเอ๋อร์กับคุณหนูใหญ่ไปร่วมงานกับองค์หญิงแปดได้หรือไม่?”
ลูกสาวของเขาสามารถปรากฎตัวต่อหน้าองค์หญิงแปดซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการแต่งงานในอนาคตของพวกเขา แน่นอน ซูหลุนจะไม่คัดค้าน
“ได้สิ เจ้าต้องปฏิบัตตามกฎระเบียบต่อหน้าองค์หญิงแปดในวันพรุ่งนี้ อย่าทำให้ตระกูลซูต้องอับอาย เจ้าเข้าใจไหม?”
ซูยู่รั่วและซูยู่ม้านที่นั่งเงียบๆ อยู่ข้างๆมองไปมี่ซูหลุน จากนั้นก็ลดสายตามองลงอย่างผิดหวัง
จากทัศนคติที่ดีขึ้นของซูหลุนที่มีต่อซูมู่เกอ นางอันทำให้ซูจิงเหวินไปกับซูมู่เกอ อย่างน้อยที่สุด มองอย่างผิวเผิน นางไม่ได้เป็นศัตรูกัน
ซูมู่เกอทำให้นางหายใจไม่ออกแล้ว ดังนั้นนางจึงไม่สนใจลูกสาวที่เกิดจากสนมทั้งสองคน
“เจ้าค่ะ”
ก่อนออกจากโถงหยงเหอ ซูจิงเหวินเดินไปหาซูมู่เกอและหัวเราะเบาๆ “พี่สาว ท่านต้องแต่งตัวอย่างพิถีพิถันและเป็นทางการในวันพรุ่งนี้นะเจ้าค่ะ ข้าได้ยินมาว่าองค์ชายสองจะอยู่ที่นั่นด้วย” ทันทีที่นางพูดจบ นางก็หมุนตัวกลับและเดินไปที่ห้องพักของนาง
องค์ชายสอง….
ซูมู่เกอไม่อยากไปจริงๆ!
…………………………………
เมืองหลวงเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและการเมืองของแคว้นฉู่ ถนนขยายออกไปทุกทิศทุกทาง นอกจากนี้ยังมีทะเลสาบไหลผ่านเมือง ทะเลสาบพระจันทร์ ในทะเลสาบ มีเรือหลายลำล่องผ่านตลอดทั้งปี
ฤดูร้อนในตอนนี้ ทะเลสาบเต็มไปด้วยดอกไม้หลากสี และกิ่งใบหลิวกำลังร่ายรำไปกับสายลม สร้างทิวทัศน์ฤดูใบไม้ผลิที่สวยงาม
“คุณหนู เราถึงแล้วเจ้าค่ะ”
รถม้าหยุดที่ริมทะเลสาม ทันทีที่ซูมู่เกอลงจากรถม้า นางเห็นเรือที่สวยงามในทะเลสาบ
ในการลงจากรถม้า ซูจิงเหวินขึ้นเรือโดยมีสาวใช้รายล้อม จากนั้นนางก็เข้าร่วมกลุ่มหญิงสาวที่แต่งกายอย่างปราณีตทันที
มันดูเหมือนซูจิงเหวินจะยุ่งอยู่กับการสังสรรค์ในแวดวงตระกูลขุนนางในเมืองหลวงตลอดเวลานี้
ในเมืองชุนหยาง เนื่องจากการเกิดที่ต่ำต้อยของนางจ้าวและนางถูกซูจิงเหวินข่ม ซูมู่เกอมีโอกาสเข้าร่วมงานสังสรรค์ดังกล่าวน้อยกว่าน้องสาวที่เกิดจากนางสนมทั้งสอง ในตอนนั้น นางแทบจะไม่มีเพื่อนเลยและตอนนี้ในเมืองหลวงก็ไม่มีใครรู้จักนางเลยแม้แต่คนเดียว
เรือค่อนข้างใหญ่ บนดาดฟ้ามีโต๊ะกลมและโต๊ะน้ำชาขนาดเล็กหลายตัว สุภาพสตรีที่คุ้นเคยเหล่านั้นรวมกลุ่มกันเป็นสองหรือสามคนคุยกันและหัวเราะ ตอนนี้ซูมู่เกอดูเหงาเล็กน้อยและไม่เหมาะกับสถานที่
ซูมู่เกอไม่สนใจและหาที่นั่งให้ตัวเองได้ จากนั้นนางก็เริ่มดื่มชาและกินของว่า’
อย่างไรก็ตาม คนบางคนแค่อยากให้นางรู้สึกอึดอัดใจ
“จิงเหวิน นี่คือพี่สาวของเจ้าหรือ?”