เป็นเวลาเกือบเที่ยงวันเมื่อพวกเขามาถึงเมือง ซูมู่เกอไปที่ร้านขายยาก่อนเพื่อซื้อยา จากนั้นก็เสื้อผ้ากันหนาวที่อบอุ่นให้นางจาง เมื่อเสร็จแล้ว นางกลับไปที่ประตูทางเข้าเมือง รอจ้าวต้าหราง
ในไม่ช้า จ้าวต้าหรางก็หลับมาพร้อมกับขวดเหล้าและตะกร้า
เขาวางมันลงบนรถเข็น คลำขึ้นและลงในเสื้อผ้าของเขาสำหรับห่อกระดาษมัน และส่งมอบให้ซูมู่เกอ “เป็นเวลาบ่ายแล้ว เจ้าคงหิวใช่หรือไม่? ข้าซื้อเค้กแป้งที่ทำจากธัญพืชของโรงกลั่นให้เจ้า มันเป็นขนมหวาน”
การซื้อของให้ท่านยายถือเป็นสิ่งสำคัญอันดับต้นๆ ของซูมู่เกอ ดังนั้น นางจึงลืมอาการกลางวันไปสิ้น ยังคงต้องใช้เวลาอีกประมาณหนึ่งหรือสองชั่วโมงก่อนที่พวกเขาจะกลับไปได้และนางไม่อยากหิวระหว่างเดินทางไกลครั้งนี้ นางเอื้อมมือไปหยิบห่อของขณะที่จ้างต้าหรางกำลังมองมาที่นางอย่างคาดหวังและรอคอย
“ขอบใจเจ้ามากที่มีน้ำใจกับข้า”
จ้าวต้าหรางระเบิดเสียงหัวเราะออกมาขณะที่เขามอบมันใส่มือนาง แล้วขี่เกวียนเทียมวัวของเขาออกจากเมืองมา
เมื่อนางเปิดห่อกระดาษเคลือบมันออกกลิ่นของเหล้าหมักก็เข้ามาทักทายนางพร้อมกับกลิ่นยั่วยวนของเค้กแป้งทอด
ในฐานะที่เป็นคนดื่มเหล้าหนังในชาติที่แล้ว ซึ่งนางไม่เคยแพ้แอลกอฮอล์ นางไม่ได้ให้ความสำคัญกับเนื้อหาของธัญพืชที่กลั่นเหล้านั้นอย่างจริงจัง นางเริ่มกินมันช้าๆ
เมื่อเค้กแป้งอยู่ในท้องของนาง ร่างกายของนางก็เริ่มอุ่นขึ้นเรื่อยๆ
เป็นฤดูใบไม้ร่วงและอุณหภูมิจะลดต่ำลงในช่วงบ่ายก่อนพระอาทิตย์ตก อย่างไรก็ตาม ซูมู่เกอรู้สึกอุ่นมาก และพูดอีกอย่างก็คือเหมือนมีไข้เล็กน้อย นางเวียนหัวและเซื่องซึม มองไปที่จ้าวต้าหรางที่ขับเกวียนด้วยเงาคู่
นางยกมือขึ้นตบแก้ม มันเหมือนกำลังไหม้
เมื่อรู้ถึงสิ่งที่ไม่ถูกต้อง นางบีบตัวเองอย่างรุนแรง ความเจ็บปวดทำให้นางตื่นขึ้นชั่วขณะ
นางเมาหรือ?
นางลืมไปได้อย่างไรว่านั่นเป็นร่างกายของคนที่นางใช้ในชาตินี้ ไม่ใช่ร่างเดิมที่มีสติดีหลังจากดื่ม แต่ตอนนี้ มันต่างออกไป……
ในขณะที่เงาหนามากขึ้นเรื่อยๆ รวมตัวกันต่อหน้านาง นางแทบจะไม่สามารถบอกได้ว่าใบหน้าที่เคลื่อนใกล้เข้ามานั้นเป็นของจ้าวต้าหรางด้วยซ้ำ……
“ลูกพี่ลูกน้อง ลูกพี่ลูกน้อง……” ทั้งตื่นเต้นและประหม่า หัวใจของจ้าวต้าหรางแทบกระโดดออกมานอกอก
ท่านพ่อของเขาบอกว่าผู้หญิงอย่างซูมู่เกอไม่สามารถถือเหล้าได้มากนัก เขาจึงขอให้เจ้าของร้านผสมเหล้าลงในแป้งเค้กธัญพืช เขาไม่คิดเลยว่านางจะอ่อนแอถึงเพียงนี้ หลังจากกินเข้าไป!
เขาขี่เกวียนเข้าไปในจอดใกล้ต้นไม้ใหญ่ใกล้ๆ ด้วยความกระวนกระวาย เขาจำสิ่งที่ท่านแม่ของเขาพูด : เมื่อความสัมพันธ์ทางร่างกายเกิดกับลูกพี่ลูกน้องของเขาแล้ว นางก็จะหลายเป็นภรรยาของเขาได้ง่ายๆ!
เขาอุ้มซูมู่เกอลงจากรถลากและวางนางไว้ใต้ต้นไม้ มันทั้งมืดและมิดชิด
มองไปที่ใบหน้าสีเทาเข้มของซูมู่เกอ เขาหันไปจุ่มแขนเสื้อลงในเหยือกน้ำและเช็ดใบหน้าของนาง คราบฝุ่นบนใบหน้าของนางรบกวนเขามานานแล้ว
เมื่อใบหน้าของนางได้รับการทำความสะอาดคราบดำออกไปแล้วรูปลักษณ์ที่แท้จริงของนางก็ปรากฏขึ้น จ้าวต้าหรางยืนมองอยู่ด้วยความประหลาดใจ
รูปลักษณ์นี้สวยกว่าหญิงสาวที่แม่ของเขาจัดหามาให้เขาอย่างมาก
ยังมีสิ่งหนึ่งบนใบหน้าของนางที่ทำให้จ้าวต้าหรางรำคาญคือผ้าคลุมที่ปิดตาข้างหนึ่งของนางไว้ เขาสงสัยมาตลอดตั้งแต่เห็นหน้านางว่าทำไมคลุมผ้าปิดตาไว้เพื่ออันใด ดังนั้น เขาจึงหยิบมันออกด้วยความอยากรู้อย่างเห็น…..
“ตายห่า โอ้ย ผี!!!!”
เสียงร้องดังและผงะล้มนั่งลงกับพื้นด้วยความหวาดกลัว เขาจ้องมองนางด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง
“ผี นางเป็นผี! ผี!” เขาตะเกียกตะกายหาทางขึ้นรถลาก เมื่อขึ้นไปได้แล้วก็รีบสะบักแส้ให้วัยกระโดดออกไปอย่างรวดเร็ว
ตอนที่ซูมู่เกอนอนอยู่บนพื้น เข็มสีเงินระหว่างปลายนิ้วของนางตกลงที่พื้นพร้อมกับเสียงสั่นเล็กน้อย
นางเมา ร่างกายรู้สึกมึนชา แต่จิตใจของนางกลับยังคงมีสติ นางทำได้เพียงโทษตัวเองที่ประมาทปล่อยโอกาสให้จ้าวต้าหรางฉวยโอกาส!
ก้อนธัญพืชที่นางกินนั้นต้องเป็นชนิดที่รุนแรง มิเช่นนั้น นางไม่สามารถเมาได้ง่ายๆในเวลาสั้นๆเช่นนี้ การแก้ปัญหาการเมาสุรานี้ไม่ใช่เรื่องยาก สิ่งเดียวที่นางต้องทำคือแทงตัวเองด้วยเข็มสองสามเล่ม เพื่อฝังเข็มตามจุด แล้วนางก็จะฟื้นตัวได้ทีละน้อยๆ
ป่าไม้นี้อยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองมากจัก หากนางเริ่มเดินกลับตอนนี้หลังจากที่สร่างเมาแล้ว นางจะถึงหมู่บ้านจ้าวในเช้าวันรุ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม ไม่มีอะไรเลวร้ายไปกว่าผู้หญิงที่ยังไม่ได้แต่งงานอยู่นอกบ้านทั้งคืน!
สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นแล้ว นางไม่สามารถรอจนกว่าจะถึงวันรุ่งขึ้นเพื่อจะเดินทางกลับไปหามารดา นางต้องเดินตามแผนที่วางไว้ โดยทิ้งท่านยายไว้กับคนเหล่านั้น นางเชื่อว่าท่านยายของนางสามารถจัดการกับพวกเขาได้
ในทางกลับกัน มันเป็นเวลาดึกดื่นเที่ยงคืนแล้วเมื่อจ้าวต้าหรางกลับไปถึงหมู่บ้าน เขากระโดดลงจากเกวียนลากและวิ่งเข้าไปในลานหน้าบ้านเกือบจะชนกับใครบางคน
“อุ๊ย!”
ถอยหลังไปหนึ่งก้าว นางหวังเกือบจะตะคอกด่าออกมา แต่แล้วนางก็เห็นว่ามันเป็นจ้าวต้าหราง นางเหลือบมองไปที่ด้านหลังของเขาสองสามครั้ง
“เจ้าหนุ่มจอมซน! กลับดึกขนาดนี้ได้ยังไง! นางอยู่ที่ไหน?”
“ท่านแม่ ข้าจะไม่แต่งงานกับสัตว์ประหลาดน่าเกลียดตัวนั้น!” เขาพูดอย่างนั้นและผลักนางหวังออกไป ก้าวเข้าห้องอย่างเร่งรีบ
นางหวังเดินตามเขาเข้าไปข้างในด้วยความตกตะลึงและสับสน
“เจ้ากำลังพูดถึงเรื่องไร้สาระอันใด! ลูกพี่ลูกน้องของเจ้าอยู่ที่ไหน?”
ภาพจุสีแดงบนดวงตาของซูมู่เกอ เมื่อถอดผ้าคลุมหน้าออกยังติดตาเขาอยู่ เขาพึมพำอยู่พักหนึ่งและในที่สุดก็พูดออกมา “อยู่ในป่า…..”
นางหวังเหมือนถูกแช่แข็งด้วยความตกใจ “เจ้ากำลังบอกว่าอะไรนะ? เจ้าทิ้งนางไว้คนเดียวในป่า!”
ครึ่งหลับครึ่งตื่น จ้าวเต๋อลุกขึ้นนั่งเมื่อได้ยินเสียงตะคอกอันดังของนางหวัง
“ต้าหรางกลับมาแล้วรึ?”
“ชิงชิง! ต้าหรางทิ้งผู้หญิงคนนั้นไว้ในป่า!”
“ท่านแม่ นางเป็นสัตว์ประหลาดที่น่าเกลียด ไม่น่าแปลกใจที่นางปิดตาด้วยผ้าคลุมหน้าตลอดเวลา นางกำลังซุกซ่อนความน่าเกลียดของนางไว้! ข้าจะไม่แต่งงานกับนางตราบเท่าที่ข้ายังมีลมหายใจอยู่!” จ้าวต้าหรางตะโกนก้องใส่นางหวัง
“อธิบายทั้งหมดนี้มาเดี๋ยวนี้!” จ้าวเต๋อตบเข้าที่หัวของเขา
จากนั้นเขาก็บอกคนในครอบครัวของเขาว่าเกิดอะไรขึ้น
“เหอะ ใบหน้าอันน่ากลัว นั่นอธิบายได้ว่าทำไมพี่เขยของเราถึงไม่กังวลว่านางจะเดินทางมาที่นี่เพียงลำพัง!” เมื่อนางหวังได้ยินดังนั้น นางไม่เต็มใจที่จะให้ซูมู่เกอเป็นลูกสะใภ้ของนางเด็ดขาด นางจะไม่ปล่อยให้คนในหมู่บ้านมาเยาะเย้ยลูกชายของนางได้
“นั่นสิ”
“มันเป็นป่าเล็กๆ โดยปกติจะไม่มีสัตย์ป่า แค่ปล่อยให้นางอยู่ที่นั่น แค่คืนเดียว มันจะไม่เป็นไรหรอก” นั่นคือการตัดสินใจสุดท้ายของจ้าวเต๋อ
จ้าวเต๋อเป็นผู้ดูแลหอนางโลมในเมืองและมีประสบการณ์เกือบทุกสีสันของผู้ชายและสิ่งต่างๆ เขาคงจะสุขุมกว่าภรรยาและลูกชายแน่นอน ซูมู่เกอเป็นลูกสาวของเจ้าหน้าที่ทางการ เมื่อคนอื่นรู้ว่านางออกไปข้างนอกทั้งคืน หรือที่แย่กว่านั้นคือถ้าจ้าวต้าหรางกลายเป็นคนที่ต้องโทษสำหรับสถานการณ์เช่นนี้ครอบครัวจ้าวจะสูญเสียคำพูด!
เมื่อคิดว่าจะสามารถยื่นข้อเสนอกับพี่เขยของเขาที่เป็นเจ้าหน้าที่ได้ จ้าวเต๋อเกือบจะสูญเสียความคิดของเขาไปกับชัยชนะเล็ก ๆ ทำไมเขาต้องกังวลว่าซูมู่เกอยังมีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้ว?
ในห้องปีกที่นางจางอาศัยอยู่ นางหลับไปตั้งแต่หัวค่ำเพราะฤทธิ์ยา …
…………………………..
ในคฤหาสน์ตระกูลซูของเมืองชุนหยาง
นางอันยังนั่งอย่างเกียจคร้านอยู่บนที่นั่งไม้ยาวเนื่องนุ่มที่แกะสลักรูปดอกแพร์ทิ้งให้หลีหม่านั่งบนเก้าอี้ตัวเล็กข้างเท้านาง ดูแลเล็บเท้าให้นางอยู่
“นายหญิง นายหญิง พวกเขา พวกเขากลับมา…..” สาวรับใช้ผมมวยวิ่งไปที่ห้องด้วยความรีบร้อนและหยุดเดินตรงหน้าประตู
“มารยาทของเจ้าหายไปไหน! บุกเข้ามาในห้องนายหญิงเยี่ยงนี้ได้อย่างไร!”
สาวใช้หน้าซีดด้วยความกลัว
นางอันโบกมือเมื่อได้ยินเสียงดัง
“ปล่อยนางเข้ามา”
“ขอรับ นายหญิง”
หงหยูเปิดม่านและให้สาวใช้เข้าไปด้านใน
“ข้าขอคารวะด้วยความจริงใจเจ้าค่ะ นายหญิง”
“เข้ามา มีเรื่องอันใด?”
“นายหญิง คนที่พาคุณหนูใหญ่ไปยังเมืองหนานเจิงกลับมาแล้วเจ้าค่ะ แต่ แต่…..” สาวใช้คุกเข่าบนพื้นพร้อมกับเสียงของนางสั่นด้วยความตื่นตระหนก
แววตาของนางอันเข้มขึ้นเป็นประกาย “แต่อันใด?”
“แต่ แต่คุณหนูใหญ่หายตัวไปเจ้าค่ะ!”
“เจ้ากำลังพูดว่าอันใดนะ!” ทันใดนั้น นางอันก็ลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้นั่งอยู่พร้อมน้ำชาที่หกลงบนพื้น
บทที่ 24 : ข้าจะลองดู
“นายท่าน นายหญิง พวกเราเป็นคนรับใช้ที่ไร้ประโยชน์และสมควรตาย เราทำหน้าที่ในการปกป้องคุณหนูใหญ่ไม่สำเร็จเจ้าค่ะ”
ในห้องกลางของคฤหาสน์ซูมีสาวใช้สองนางกับบอร์ดี้การ์ดสามคนและคนขับรถม้ากำลังทำหน้าเศร้าสร้อยอย่างสลด พวกเขาเป็นคนรับใช้ที่พาซูมู่เกอไปยังตระกูลจ้าวเมืองหนางเจิง
นางอันคิ้วขมวดด้วยความกังวล “ทูนหัวของข้า เราจะทำเยี่ยงไรดี? ถ้ามีอะไรไม่ดีเกิดขึ้นกับเด็กคนนั้น มู่เกอ….”
ซูหลุนก็ดูไม่ดีเช่นกัน ใบหน้าของเขาซีดเผือด ไม่ใช่สถานการณ์ของซูมู่เกอที่เขากังวล แต่เป็นความจริงที่ว่าเขาสูญเสียตัวหมากรุกไปตัวหนึ่ง ซึ่งทำให้เขาชะงัก
“เจ้ามันไร้ประโยชน์! เจ้าไม่สามารถปกป้องคุณหนูใหญ่ได้ด้วยซ้ำ อะไรคือสิ่งที่สำคัญที่ทำให้เจ้าได้อยู่ในคฤหาสน์!ฮะ” ซูหลุนตะโกนออกไปด้วยความโกรธ
“นายท่าน โปรดเมตตาพวกเราด้วย เรากำลังจะผ่านป่าไปแล้วเมื่อมันใกล้จะมืด เราต้องการไปที่โรงแรมที่ใกล้ที่สุดให้ได้โดยเร็ว แต่คุณหนูใหญ่ยืนกรานที่พักในรถม้า เราไม่สามารถหยุดนางได้เราจึงปล่อยให้นางลงจากรถม้า ใครจะไปรู้ว่า…..” ผู้คุ้มกันคนหนึ่งเดินเข้ามาคุกเข่าขออโหสิกรรม
ใบหน้าของซูหลุนดูแย่ลงไปอีกเมื่อผู้คุ้มกันพูดจบ
“นางต้องการอะไรถึงต้องลงจากรถม้า!”
“ข้าน้อย ข้าน้อยไม่รู้ขอรับ แต่ แต่ข้าน้อยเห็นร่างบางร่างที่นั่น….”
“ร่าง?!”
“ใช่แล้ว ใช่แล้วขอรับ! ร่างนั้นดูราวกับว่าเป็นชาย….”
“ร่าง? จะมีผู้ชายไดอย่างไร? เจ้ากล้าสร้างเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร?!” นางอันรู้สึกมึนงงหลังจากนั้นนางฟื้นจากความประหลาดใจอย่างรวดเร็ว
“นายหญิง ข้าเชื่อมั่นในการตัดสินอันชาญฉลาดของท่าน ข้าไม่มีความคิดที่จะหลอกลงท่านและนายท่าน ถ้าข้าโกหกแม้แต่คำเดียว ขอให้ข้าตายอย่างไร้ค่าและไม่มีลูกหลานสืบสกุล!”
ซูหลุนตบโต๊ะเสียงดังแล้วลุกขึ้นยืน เห็นได้ชัดว่าเขาเชื่อในเรื่องนี้ว่าเป็นเรื่องจริง
“ช่างเป็นผู้หญิงที่ไม่รอบคอบและอกตัญญูซะจริง
นางอันก้าวไปข้างหน้าด้วยความเป็นกังวลและจับมือซูหลุนมาโอบไว้ในมือนาง “ทูนหัวของข้า อย่างโกรธมากไปนักเลยเจ้าค่ะ มันจะทำร้ายร่างหายของท่านได้ เรายังไม่มีเบาะแสเกี่ยวกับเรื่องนี้ เราจะรู้ความจริงได้อย่างไรโดยอาศัยแค่คำพูดของคนรับใช้เจ้าค่ะ?”
ซูหลุนตะคอกด้วยความเสียงเย็นชา “ถ้านางไม่ได้นัดหมายกับชายสักคนในป่า นางจะลงจากรถม้าในเวลานั้นได้อย่างไรในเวลาอันเร่งรีบเช่นนั้น!” เห็นได้ชัดว่าซูหลุนเชื่อในคำพูดของคนรับใช้เหล่านั้น
“ทูนหัวของข้า ข้าได้ยินมาว่าอีกไม่กี่วัน ขุนนางเมิ่งจากสำนักการศึกษาฮานหลินอาจจะพาท่านแม่ของเขากลับมาที่ชุนหยางเพื่อพักฟื้นนะเจ้าค่ะ” คล้องแขนซูหลุนเข้ามาใกล้ๆ นางอันพูดเบาๆ
ซูหลุนตกตะลึงและกระโดดบนปลายเท้าของเขา
“ข้าลืมมันไปได้อย่างไร!”
เขาลืมไปได้อย่างไรว่าจ้าวเมิ่งกำลังจะกลับมา!
ขุนนางเมิ่งเป็นผู้สำเร็จการศึกษาจากสำนักการศึกษาฮานหลินและผลการประเมินของเขาถูกส่งไปยังจักรพรรดิแล้ว อีกไม่นานเขาจะกลับไปที่เมืองหลวงเพื่อรายงานผลงานของเขา หากเขาได้รับความชื่นชอบจากขุนนางเมิ่ง และขอให้ท่านขุนนางแนะนำเขากับองค์จักรพรรดิด้วยคำพูดดีๆสองสามคำ เขาก็สามารถกำจัดการควบคุมอำนาจจากพ่อตาของเขาได้อย่างสมบูรณ์ เขาหลุดพ้น
ซูหลุนชำเลืองมองนางอัน
เขาได้รับการสนับสนุนอย่างมากจากพ่อตาของเขาตลอดหลายปีที่ผ่านมา แต่มีขอบเขตมากขึ้นเรื่อยๆพร้อมกับการสนับสนุนที่มากขึ้น
เขารู้ว่าขุนนางเมิ่งยกย่องทฤษฎีที่ว่าควรควบคุมครอบครัวของเขาให้ดีก่อนที่จะปกครองเมือง หากข่าวที่ซูมู่เกอหายตัวไปถูกแพร่กระจายออกไป คนอื่นๆ จะครหาว่าเขามีความไม่เข้มงวดดูแลครอบครัวไม่ดี ซึ่งอาจส่งผลเสียอย่างมากต่อชื่อเสียงของเขา
ไม่มีทาง! เขาปล่อยให้คำครหานี้เกิดขึ้นไม่ได้
นางอันรู้ได้อย่างไรว่าซูหลุนยังเหลือความกลัวและกังวลต่อพ่อของนาง? เมื่อมองดูใบหน้าของเขาที่เปลี่ยนไปและไม่แน่นอน นางอันยิ้มเล็กน้อยด้วยความพึงพอใจถือเป็นสัญญาณเชิงบวกของการมาถึงของขุนนางเมิ่ง
หลังจากนั้นไม่นานซูหลุนก็พูดขึ้น “คุณหนูใหญ่เป็นหวัดเมื่อไม่กี่วันก่อน และนางยังคงป่วยหลังจากการรักษามาตลอดทั้งวัน นางต้องได้รับการดูแลในสถานที่เงียบสงบในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ดังนั้น นายหญิง โปรดจัดเตรียมการเดินทางโดยเร็วที่สุด”
จากนั้นซูหลุนก็เหลือบไปเห็นคนรับใช้ที่คุกเข่าอยู่บนพื้น เขาดูเศร้าหมองและหดหู่
“พวกเจ้าเข้าใจสิ่งที่ข้าพูดไปหรือไม่?”
พวกเขาจะกล้าแสดงความไม่มั่นใจได้อย่างไร? พวกเขาคุกเข่าคำนับรับทราบทันที
“ขอรับ เจ้าค่ะ พวกเราเข้าใจเจ้าค่ะ นายท่าน”
ซูหลุนโบกมืออย่างกระสับกระส่าย
นางอันบอกให้คนรับใช้ออกไปให้หมด
นางรินชาใส่ถ้วยแล้วยกยื่นให้ซูหลุน “ทูนหัวของข้า เราจำเป็นต้องบอกเรื่องนี้กับพี่หญิงของข้าหรือไม่?”
เมื่อนึกถึงปัญหาที่ซูมู่เกอนำพามาให้เขา เขาหงุดหงิดและกัดฟันจนเป็นสันนูน “รู้? อะไรคือการศึกษาที่ดีที่นางมีให้กับลูกสาวของนาง! แค่บอกนางว่าข้าพูดอะไรก่อนหน้านี้พอ หากนางพยายามสร้างความวุ่นวายให้หาคนคอยจับดูนางให้อยู่ภายใต้การควบคุมให้ได้”
“ไม่มีปัญหาเจ้าค่ะ ข้าเข้าใจ”
แล้วซูหลุนเดินไปที่ห้องหนังสือ
ในทันทีนางอันกลับไปที่ลานดอกไม้หรูหรา หลีหม่าก็เข้ามารายงาน
นางเดินเข้าไปใกล้ๆนางอันและกระซิบเสียงเบา
“นายหญิง ข้าสอบถามคนรับใช้เหล่านั้นแล้วเจ้าค่ะ พวกมันบอกว่าคุณหนูใหญ่หนีไปได้เจ้าค่ะ”
ดวงตาของนางอันหรี่แคบลงลงเป็นเส้นอย่างมุ่งร้าย แผนของนางคือใช้ประโยชน์จากเรื่องราวของผู้รับใช้และใช้มันเพื่อทำลายชื่อเสียงของซูมู่เกอ ในเมื่อเรื่องนี้ไม่สำเร็จนางโกรธอย่างมาก ซูหลุนจะห้ามไม่ให้ซูมู่เกอและแม่ของนางกลับมาที่เมืองหลวงอีก จากนั้นมันจะง่ายกว่ามากสำหรับนางที่จะฆ่าพวกมันและยิ่งงายกว่านั้นที่จะบีบมดตัวน้อยให้ตายคามือของนาง ใครจะคาดคิดว่าซูมู่เกอจะหนีไปได้!
อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์ในตอนนี้ก็ไม่เลวร้ายเกินไปนัก มันเพียงพอที่จะทำให้ซูหลุนเชื่อว่าซูมู่เกอได้หลบหนีไปกับใครบางคน
แม้ว่านางจะกลับมาด้วยความยากลำบากแต่ชื่อเสียงของนางก็หมดไปแล้วในเวลานั้น และซูหลุนจะไม่ยอมให้คนที่สร้างความอับอายมาสู่ครอบครัวปรากฎตัวขึ้นในคฤหาสน์ซูอีกเป็นแน่
นางอันเล่นอยู่ในสวน เคาะนิ้วบนโต๊ะด้วยความพึงพอใจ “เจ้าดูแลทุกอย่างดีแล้วหรือไม่?”
“มั่นได้ได้เจ้าค่ะ นายหญิง เชื่อมือข้า พวกมันไม่ผิดคำพูดแม้แต่คำเดียวแน่นอนเจ้าค่ะ”
นางอันส่ายหน้า “ในกรณีนี้ถ้ามีปัญหาเพิ่มเติม เจ้าควรคิดวิธีที่จะส่งพวกมันออกไปดีกว่า เมื่อไม่ให้เกิดเหตุการ์ใดๆขึ้น”
“เจ้าค่ะ ข้าจะหาเหตุผลที่เหมาะสมเพื่อส่งพวกมันออกไปในไม่ช้านี้”
“ดี”
………………………
รถม้าที่เรียบง่ายและหยาบกำลังแล่นผ่านไปอย่างช้าๆบนถนนสายหลักที่มีต้นไม้สีเขียวตลอดสองข้าทาง
ม่านรถม้าถูกเปิดออกและใบหน้าเล็กๆมีเทาเข้มปรากฏขึ้น แต่ถึงอย่างนั้นดวงตาบนใบหน้านั้นก็ยังสดใสมากและเปล่งประกายดั่งคริสตัล ทำให้ไม่สามารถเพิกเฉยได้
เช่นเดียวกับที่ซูมู่เกอกำลังจะปิดม่านลง นางหันไปและเห็นกลุ่มคนที่ขี่ม้ามาจากด้านหลัง อย่างเร็วและเร็วขึ้น
ถนนสายหลักไม่ได้กว้างนักและมันยากสำหรับรถม้าขนาดเล็กสองคันที่จะสวนหรือวิ่งเคียงกัน นับประสาอะไรกับรถม้าที่มีขนาดเป็นสองเท่าของรถม้าซูมู่เกอ นางขมวดคิ้วมองรถม้าที่กำลังวิ่งมา
“หยุดรถเข้าข้างทาง และให้กลุ่มรถม้าข้างหลังผ่านไปก่อน”
“ใจเย็นๆ”
คนขับรถม้ายกเชือกยังเหียนม้าขึ้นในมือ และบังคับรถม้าเข้าไปด้านข้าง
ในรถม้าที่ใหญ่ที่สุดในกลุ่มซึ่งอยู่ตรงกันข้าม เสียงแหลมของผู้หญิงดังออกมาเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก
“ไม่ เข้ามา หยุด นายหญิงผู้เฒ่าไม่ไหวแล้ว!”
ม่านของรถม้าถูกดึงกลับ เด็กสาว หน้ากลม ตกอยู่ในความวิตกกังวลอย่างมาก
หลังจากนั้นไม่นานรถม้าที่เคยอยู่ข้างหลังก็มาอยู่ต่อหน้าซูมู่เกอ และคนขับรถม้าก็หยุดกลางถนนตามคำสั่งของใครบางคน นอกจากนี้ยังหยุดรถม้าของซูมู่เกอไม่ให้เคลื่อนไปข้างหน้าได้ด้วย
คนขับรถม้าของซูมู่เกอไม่สามารถรักษาความสงบได้อีกต่อไป เขาไม่ต้องการเดินทางครั้งนี้ตั้งแต่แรกเพราะมันไกลเกินไปสำหรับเขา เขาเป็นห่วงภรรยาและลูกๆที่บ้าน แต่แล้วเขาก็หวังเพียงว่าจะพาหญิงสาว กลับไปให้เร็วที่สุดที่ที่จะเป็นไปได้
“เฮ้ สาวน้อย ถนน มันถูกปิดกั้น เราควรไปต่ออย่างไร?”
ซูมู่เกอเห็นชายวัยกลางคนลงมาจากรถม้าคันหนึ่ง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความวิตกกังวล ชายคนนี้มีหนวดเคราที่บอบบางและดูเป็นนักปราชญ์เช่นขงจื้อ และเขาอยู่ในชุดคลุมสีเขียวลายไม้ไผ่ เขารีบตรงไปยังรถม้าที่ใหญ่ที่สุด
“นายหญิงผู้เฒ่าเป็นอย่างไรบ้าง?”
“นายท่าน นายหญิงผู้เฒ่าสบายดีในตอนนี้ แต่จู่ๆก็มีเสมหะติดอยู่ที่หน้าอกของนาง และนางก็เป็นลมไป”
ชายคนนั้นกระทืบเท้าด้วยความกังวลใจ “ตอนนี้เราทำอะไรได้บ้าง? แพทย์ของจักรวรรดิที่อยู่ร่วมกับเรานอนอยู่บนเตียงของเขาเพราะเขาจับไข้ตั้งแต่เมื่อวานนี้ เขาไม่สามารถลุกขึ้นได้ และเขาเป็นหมอคนเดียวที่เรามี!”
ซูมู่เกอเกือบจะเข้าใจสถานการณ์หลังจากได้ยินบทสนทนาของพวกเขา
นางมองลงไปหลังจากเหลือบไปเห็นสัญลักษณ์รถม้า นางเปิดม่านและกระโดดลงจากรถม้ายืนบนพื้น
“โปรดรอข้าอยู่ที่นี่ซักครู่ ข้าจะกลับมาในไม่ช้า”
“อืม ได้”
ซูมู่เกอเกินไปที่กลุ่มรถม้า เสื้อผ้าของนางไม่ใช่แบบเดียวกับที่คนกลุ่มนั้นสวมใส่ ดังนั้น ในไม่ช้านางจึงเป็นที่สังเกตเห็นเมื่อเดินเข้าไปใกล้ารถม้า
ผู้คุ้มกันก้าวไปข้างหน้าและหยุดนาง “เจ้าเป็นผู้ใด?”
ซูมู่เกอหยุดและไม่รีบก้าวไปข้างหน้าต่อ นางมองไปยังทิศทางของชายในชุดคลุมสีเขียวอย่างใจเย็น
“ข้ากลัวว่ารถม้าของพวกท่านปิดกั้นการเดินทางของข้า”
เมื่อมองขึ้นไปเจ้าหน้าที่ก็เห็นรถม้าคันเล็กซอมซ่อบนถนนแคบๆ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาถูกผลักออกให้พ้นทาง แต่มีความโกลาหลอยู่เบื้องหน้าใครจะมีเวลาย้ายกลุ่มรถม้าออกไปได้
ใบหน้าของผู้คุมผ่อนคลายลงเล็กน้อย “เจ้ากลับไปรอที่เดิมเถอะ”
แทนที่จะกลับออกไปซูมู่เกอกลับเยี่ยมหน้าออกไปมองรถม้าที่อยู่ด้านหลังผู้คุ้มกันผู้นั้นแทน
“อากาศยังคงร้อนและแห้งในตอนกลางวันของวันนี้ ถ้าคนในรถม้าป่วยเพราะเป็นลมก็คงไม่เป็นไร แต่ถ้าเป็นโรคอื่นๆ หรือแม้ว่าคนนั้นจะแข็งแรงดี ความแห้งกร้านและอากาศถ่ายเทภายในไม่ดีอาจทำให้สถานการณ์แย่ลงได้”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของผู้คุ้มกันก็เปลี่ยนเป็นขาวและโกรธเกรี้ยว “ท่านกำลังพูดถึงเรื่องไร้สาระอะไรที่นี่ เร็วเข้า ออกไป!”
ซูมู่เกอไม่ได้ลดเสียงลงอย่างตั้งใจเมื่อพูดสิ่งนี้ ชายที่ยืนอยู่ข้างหน้าก็ได้ยินคำพูดของนางเช่นกัน เขาหันไปมองซูมู่เกอโดยไม่รู้ตัว เมื่อสังเกตเห็นว่าเป็นเพียงเด็กผู้ชายตัวผอมๆที่พูด แต่เขาก็ขมวดคิ้วอีกครั้ง
ซูมู่เกอจ้องนิ่งและจ้องไปที่ทิศทางของรถม้า
“ด้วยเสมหะที่หน้าอกอาจทำให้หลอดลมอุดตันได้ ตอนนี้นางเข้าสู่อาการโคม่าแล้วถ้าไม่ช่วยให้ทันเวลานางอาจจะ……”
ชายคนนั้นหันไปหาซูมู่เกออีกครั้ง พร้อมกับจ้องมองเธอ อย่างระมัดระวัง
“เจ้ารู้ทักษะทางการแพทย์อยู่บ้างใช่หรือไม่?”
“นายท่าน ถ้าท่านวางใจในตัวข้า ข้าสามารถจะลองพยายามดู”
ซูมู่เกออยู่ที่นั่นอย่างเงียบๆ หลังจากที่นางพูดและชายคนนั้นก็มองนางไปอีกครั้งด้วยความสงสัย แต่อย่างใดเขาก็พยักหน้าเมื่อเห็นความจริงใจและความซื่อตรงในดวงตาของนาง
“นายท่าน ไม่! จะทำอย่างไร! นายหญิงผู้เฒ่า นาง นางกำลังจะตาย!” สาวใช้ที่กรีดร้องขึ้น ก่อนที่จะเปิดม่านอีกครั้ง แต่ครั้งนี้น้ำตานองเต็มหน้า
ชายคนนั้นก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวและคำนับ
“ขอบคุณน้ำใจของท่าน นายน้อย”
ซูมู่เกอยิ้มพร้อมกับยกริมฝีปากขึ้นเล็กน้อย “ไม่เป็นปัญหาหรอกท่าน”
ซูมู่เกอปีนขึ้นไปบนรถม้า นางขมวดคิ้วขณะดึงม่านออก ข้างในมันอบอ้าวเหลือเกิน นอกจาหญิงชราที่นอนป่วยอยู่บนพื้นแล้วยังมีสาวใช้อีกสี่คน รถม้าขนาดใหญ่มีผู้คนมากมายอัดอยู่
“ใครที่พอบอกอาการของผู้ป่วยได้ให้อยู่หนึ่งคน คนอื่นๆนอกนั้นกรุณาลงจากรถเดี๋ยวนี้”
เหล่าสาวใช้ไม่คาดคิดว่าซูมู่เกอจะปรากฎตัวในรถม้าและทุกคนเหมือนถูกแช่แข็งโดยไม่ขยับ
ชายคนนั้นเริ่มร้อนรน “เจ้ากำลังรีรออะไรอยู่? ลงมา ลงจากรถม้าและให้มีที่ว่างสำหรับหมอ!”
สาวใช้กระโดดลงจากรถม้าทีละคน แม้ว่าพวกเขาจะสับสนและสงสัยเกี่ยวกับทักษะทางการแพทย์ของชายร่างผอมและตัวเล็กคนนี้ พวกเขาไม่กล้าฝ่าฝืนคำสั่งเจ้านายของพวกเขา
ซูมู่เกอดึงม่านออกทันทีเมื่อนางขึ้นรถม้ามาและปล่อยให้มีแสงและอากาศเข้ามามากขึ้น
สาวใช้ที่อยู่บนรถม้ารีบย้ายที่ว่างให้กับนาง
นางคลานเข่าเข้าไปหาคนป่วย และจากประสบการณ์ที่นางเคยเห็นว่าคนป่วยมีอากการชักอย่างรุนแรง เมื่อได้มองหน้าอย่างชัดๆ