“อย่างนั้นหรือ” นิ้วของเฮ่อเหลียนเวยเวยยังคงกำอยู่รอบกระบอกปืนอย่างไร้กังวล จากนั้นจึงเอ่ยต่อ ”เหล่าลิ่วคิดว่าฉันจะไม่เหนี่ยวไกหรือ อยากลองดูไหมล่ะ หืม”
กล้ามเนื้อบนใบหน้าของเหล่าลิ่วกระตุก และดวงตาดำทะมึนของเขาก็ดูค่อนข้างน่ากลัวเล็กน้อย นับตั้งแต่วันที่เขาได้คุมเขตอวิ๋นกุย ก็ไม่เคยมีใครหน้าไหนกล้าข่มขู่เขาเช่นนี้มาก่อน!
เศรษฐีคนนั้นไม่กล้าขยับแม้แต่นิ้วเดียวเพราะเฮ่อเหลียนเวยเวยยังจ่อปืนมาที่เขาอยู่ ดังนั้นเขาจึงคำรามขึ้นเสียงดังว่า ”เหล่าลิ่ว ถามเธอว่าเธอต้องการอะไร แล้วเราจะให้ในสิ่งที่เธอต้องการ!”
คนที่เหลือก็ไม่อยากมีปัญหามากไปกว่านี้เช่นกัน ”เหล่าลิ่ว พวกเราทุกคนล้วนแต่มาที่นี่เพื่อเจรจาธุรกิจ อย่าทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่โตไปเลย พวกเราควรหาทางคลี่คลายความขัดแย้งนี้แทนมากกว่า อย่างไรพวกเราก็ยังอยู่บนรถไฟ”
“ทุกคนไม่มั่นใจในวิธีการแก้ปัญหาของผมหรือครับ” เหล่าลิ่วปรายตามองไปทางพวกเขาพร้อมกับยื่นมือออกมา แล้วยกรีโมตขึ้น จากนั้นจึงกล่าวว่า ”นังหนู แกรู้หรือเปล่าว่าเจ้าสิ่งนี้คืออะไร มันคือเครื่องจุดระเบิด เด็กที่มากับแกคงอยู่ในตู้โดยสารตู้อื่นใช่หรือเปล่า นอกจากตู้เสบียงตู้นี้แล้ว ตู้โดยสารที่เหลือจะถูกระเบิดจนไม่เหลือ แต่ฉันสามารถเลือกได้ว่าจะฆ่าใครและจะระเบิดตู้ไหนได้ก่อน ชะตากรรมของพวกมันอยู่ในมือฉันแล้ว แน่อยู่แล้วว่าความเป็นความตายของชาวนากับกรรมกรสกปรกโสโครกพวกนั้นคงไม่สำคัญสำหรับแก แต่ลูกสองคนของแกล่ะ หึๆ แต่ฉันเป็นคนใจกว้างมาแต่ไหนแต่ไร วางปืนของแกลงก่อนสิ แล้วฉันอาจจะยอมคิดเรื่องไว้ชีวิตเด็กๆ พวกนั้นให้ นังหนู ตอนนี้มีเราสองคนกับผู้โดยสารทั้งขบวน แน่จริงก็เหนี่ยวไกมาได้เลย แล้วเราจะได้เห็นกันว่าฝ่ายไหนกันแน่ที่จะต้องสูญเสียมากกว่านั้น”
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ตอบอะไร
รอยยิ้มชั่วร้ายปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเหล่าลิ่วในขณะที่เขาเอ่ยต่อว่า ”พวกแกคิดว่าจะสู้กับฉันได้หรือ ไม่เห็นหรือไงว่าตอนนี้ใครเป็นคนคุมเขตอวิ๋นกุย พวกเรา ยึดปืนพวกมันซะ!”
“ใครกล้าเข้ามาฉันจะยิงให้ร่วง!” เมื่อเทียบกับการแสดงอำนาจบาทใหญ่ของเหล่าลิ่วแล้ว น้ำเสียงของเฮ่อเหลียนเวยเวยนั้นกลับฟังดูน่าเชื่อเป็นอย่างยิ่ง เสียงนั้นทำให้ทุกคนหวาดกลัวจนไม่มีใครกล้าก้าวเท้าออกมาแม้แต่ก้าวเดียว
เหล่าลิ่วหัวเราะเยาะ ”อย่างนั้นก็ดี ดูเหมือนแกคงอยากเห็นเจ้าปีศาจน้อยสองคนนั้นระเบิดเป็นชิ้นๆ สินะ!”
“ใครจะระเบิดเป็นชิ้นๆ หรือครับ” น้ำเสียงอ่อนโยนฟังสบายดังขึ้นจากด้านหลังของผู้ใหญ่กลุ่มนั้น ใบหน้าเล็กๆ ของเสี่ยวชิงเฉิงยังคงดูไม่ทุกข์ร้อนต่อสิ่งใดขณะก้าวไปข้างหน้าด้วยเท้าเล็กๆ ของตัวเอง
ไป๋หลี่ซ่างเสียดูเหมือนหัวหน้าแก็งมาเฟียจากอิตาลี ดวงตาสีแดงเลือดของเขายิ่งทำให้ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความอันตราย
เฮ่อเหลียนชิงเฉิงยกลวดที่ถูกม้วนจนกลายเป็นก้อนกลมในมือขึ้น และพูดว่า ”ถ้าคุณกำลังพูดถึงของเล่นพวกนี้อยู่ละก็ ผมปลดชนวนพวกมันหมดแล้วครับ” หลังจากพูดจบ เขาก็ก้มหน้าลงแล้วบ่นพึมพำว่า ”คราวหน้าคราวหลังก็ช่วยออกแบบระเบิดมาให้มันซับซ้อนกว่านี้หน่อยนะครับ ระเบิดอันนี้มันเหมือนของเล่นสำหรับเด็กสามขวบชัดๆ”
เพียงชั่วพริบตา ใบหน้าของเหล่าลิ่วก็กลายเป็นสีเขียวคล้ำไปทั้งหน้า
เขากำมือซ้ายแน่น เพราะรู้สึกไม่พอใจอย่างมากกับคำพูดของเด็กชาย
คำพูดเป็นกันเองประโยคนี้ฟังดูแล้วให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าเขาไม่ใช่คู่มือของเด็กสามขวบ
แต่เรื่องที่เขาทำใจรับไม่ได้และไม่อยากเชื่อที่สุดก็คือ ระเบิดที่เขาวางไว้จะถูกเจ้าปีศาจน้อยนี่ปลดชนวนได้ในเวลาสั้นๆ
แม้แต่ตำรวจก็ยังไม่สามารถจัดการกับมันได้เร็วถึงขนาดนี้ นอกเสียจากว่าพวกเขาจะมาจากกองกำลังพิเศษ
เหล่าลิ่วไม่เชื่อที่เขาพูดสักนิดเดียว ดังนั้นเขาจึงกดเครื่องจุดระเบิดที่อยู่ในมือทันที!
แต่ทว่า!
มันกลับไม่มีเสียงระเบิดเกิดขึ้น!
ไม่มีแม้กระทั่งเสียงตอบรับ!
จากนั้นเขาก็กดเครื่องจุดระเบิดตัวที่สอง สาม และสี่ต่อ…
แต่มันไม่มีปฏิกิริยาเลยสักตัวเดียว!
ริมฝีปากของเหล่าลิ่วซีดลง แผนรับมือเรื่องไม่คาดฝันที่เขาใช้มาตลอดหลายปีพังไม่เป็นท่าด้วยฝีมือของเจ้าปีศาจตัวน้อยสองคนนี้
เศรษฐีพวกนั้นรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ พวกเขาจึงมองหน้ากันด้วยความหวาดกลัว และพยายามหาทางหนี
แต่ทันใดนั้น จู่ๆ เหล่าลิ่วก็หัวเราะขึ้นพร้อมกับประกาศว่า ”แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ในเมื่อพวกแกทุกคนอยู่ที่นี่แล้ว พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องพึ่งระเบิดพวกนั้นเพื่อแก้ปัญหาอีกต่อไป หึ ไม่ว่าจะเป็นปีศาจหรือหมอผี หรือต่อให้พวกแกจะเป็นวิญญาณร้ายที่คลานออกมาจากก้นบึ้งนรก แต่ฉันก็ยังมีวิธีอัญเชิญอย่างอื่นออกมาจัดการพวกแกจนวิญญาณกลายเป็นผุยผงได้อยู่ดี!”
ทันทีที่สิ้นเสียงนั้น ยันต์จำนวนนับไม่ถ้วนก็ปรากฏขึ้นจากส่วนที่ลึกที่สุดของตู้เสบียง ยันต์พวกนั้นเหมือนจะเรียงตัวกันตามทิศเหนือ ใต้ ออก ตก และขังเฮ่อเหลียนเวยเวยกับพวกเด็กๆ เอาไว้ตรงกลาง!
จากนั้นหุ่นเชิดขนาดเท่าหัวแม่มือก็ปรากฏขึ้นจากหมอกสีดำหนาทึบ หุ่นตัวนั้นนั่งอยู่บนพื้นแต่ส่วนหัวของมันกลับขยับไปข้างหน้าทีข้างหลังทีเหมือนกับมีวิญญาณอยู่ข้างในจริงๆ
ร่างเพรียวสวมจีวรเดินออกมาจากส่วนที่ลึกที่สุดของตู้เสบียงนั้น สีหน้าของเธอเรียบเฉย ดวงตาของเธอจับจ้องอยู่ที่เฮ่อเหลียนเวยเวย จากนั้นเธอจึงเคลื่อนสายตาไปที่ไป๋หลี่ซ่างเสีย และสุดท้ายจึงมาหยุดอยู่ที่เฮ่อเหลียนชิงเฉิง ทันใดนั้นดวงตาทั้งสองข้างของเธอก็เป็นประกาย เธอยื่นแขนออกไปหมายจะแตะแก้มของเสี่ยวชิงเฉิง ”นานเหลือเกิน นานแสนนานเหลือเกินนับจากครั้งสุดท้ายที่ฉันได้เห็นเด็กที่มีพรสวรรค์เช่นนี้ หนูน้อย มากับฉันสิ ทำไมไม่มาเป็นลูกชายของฉันแทนล่ะ ไม่ว่าเธออยากได้อะไร ฉันก็สามารถหามาให้เธอได้ทุกอย่าง”
ปัง!
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่คิดที่จะเจรจาเมื่อเห็นคนพยายามขโมยลูกชายไปจากเธอ มุมปากของเธอกระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้มพร้อมกับเหนี่ยวไกยิงใส่ผู้หญิงคนนั้นทันที!
หารีติชะงักไป หลังจากหลบกระสุนนัดนั้นได้ เธอก็มองตรงไปที่เฮ่อเหลียนเวยเวย ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความหงุดหงิดและความชั่วร้ายอย่างมากจนทำให้ทุกคนเย็นยะเยือกไปถึงสันหลัง
แต่สายตานั้นไม่มีความหมายสำหรับเฮ่อเหลียนเวยเวย รอยยิ้มของเธอไม่ได้รับผลกระทบจากสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป ”หารีติ เจ้าชอบขโมยลูกของคนอื่นเป็นที่สุด ดูเหมือนว่าเสียงลือเสียงเล่าอ้างนั่นจะเป็นความจริง ผ่านมาก็หลายปี แต่เจ้าไม่ได้เปลี่ยนไปเลยแม้แต่นิดเดียว”
“ในเมื่อแกรู้ว่าฉันเป็นใคร ทำไมถึงไม่รีบหนีไปซะล่ะ” หารีติเยาะ ”ฉันไม่ชอบฆ่าคนจากตระกูลเพ่ย แต่ถ้าแกเข้ามาขวาง ฉันจะทำให้ผู้โดยสารทุกคนต้องเสียใจที่ก้าวเท้าขึ้นมาบนรถไฟขบวนนี้เดี๋ยวนี้”
รอยยิ้มของเฮ่อเหลียนเวยเวยกลับยิ่งกว้างขึ้นในขณะที่บอกว่า ”ใครบอกเจ้าหรือว่าฉันเป็นคนของตระกูลเพ่ย”
“ในเมื่อแกไม่ใช่คนของตระกูลเพ่ย ถ้าอย่างนั้นงานนี้ก็ยิ่งง่ายขึ้น” สำหรับหารีติ คนที่ควรค่าแก่การกล่าวถึงนั้นมีแต่เพียงคนของตระกูลเพ่ยเท่านั้น คนอื่นๆ นอกนั้นล้วนแต่เป็นมนุษย์ธรรมดาแสนโง่เขลา มนุษย์ธรรมดาจะมาสู้กับเทพได้อย่างไร หารีติไม่รอให้เสียเวลาอีกต่อไป เธอเยาะยิ้มและจิกปลายนิ้วชี้ให้เลือดของตัวเองหยดลงที่ส่วนหัวของหุ่นตัวนั้น
สายลมมืดมิดก่อตัวขึ้นจากแกนกลางของหุ่นตัวนั้นในทันใด ลมพวกนั้นหมุนเข้าหากันที่ด้านหน้าราวกับเป็นจุดศูนย์กลางของเขตอาคมบางอย่าง
เฮ่อเหลียนเวยเวยขมวดคิ้ว เธอเคยได้ยินเรื่องคุณไสยมนตร์ดำที่ใช้พิธีกรรมและคาถาแบบนี้มาอยู่บ้าง
พวกเขาจะแกะสลักหุ่นขึ้นมาตัวหนึ่ง และใช้ดวงไฟวิญญาณดึงวิญญาณของเด็กออกมา แล้วพันธนาการวิญญาณดวงนั้นไว้กับหุ่นเพื่อใช้งานในภายหลัง
วิญญาณที่จะสามารถนำมาใช้ได้นี้มีแต่เพียงวิญญาณของเด็กที่ป่วยและอ่อนแอเท่านั้น และจะยิ่งดีที่สุดถ้าเด็กคนนั้นเคยถูกทรมานมาก่อนในตอนที่ยังมีชีวิตจนตายอย่างทุกข์ทรมาน มีแต่หนทางนี้เพียงหนทางเดียวเท่านั้นที่คนเราจะสามารถสร้างเขตอาคมอันแข็งแกร่งจนสามารถส่งผลกระทบต่อเด็กๆ ที่ยังมีชีวิตอยู่บนโลกได้
แม้จะแผ่วเบา แต่ทันใดนั้นพวกเขาก็ได้ยินเสียงเด็กหัวเราะลอยแว่วมาจากทั่วทุกทิศทาง
เสียงหัวเราะนั้นดูเหมือนจะดังมาจากทั่วทุกซอกทุกมุม แต่ก็ยังดูเหมือนจะดังมาจากหุ่นตัวนั้นด้วย มันน่าขนลุกเสียไม่มี!
“อย่างนั้นหรือ” นิ้วของเฮ่อเหลียนเวยเวยยังคงกำอยู่รอบกระบอกปืนอย่างไร้กังวล จากนั้นจึงเอ่ยต่อ ”เหล่าลิ่วคิดว่าฉันจะไม่เหนี่ยวไกหรือ อยากลองดูไหมล่ะ หืม”
กล้ามเนื้อบนใบหน้าของเหล่าลิ่วกระตุก และดวงตาดำทะมึนของเขาก็ดูค่อนข้างน่ากลัวเล็กน้อย นับตั้งแต่วันที่เขาได้คุมเขตอวิ๋นกุย ก็ไม่เคยมีใครหน้าไหนกล้าข่มขู่เขาเช่นนี้มาก่อน!
เศรษฐีคนนั้นไม่กล้าขยับแม้แต่นิ้วเดียวเพราะเฮ่อเหลียนเวยเวยยังจ่อปืนมาที่เขาอยู่ ดังนั้นเขาจึงคำรามขึ้นเสียงดังว่า ”เหล่าลิ่ว ถามเธอว่าเธอต้องการอะไร แล้วเราจะให้ในสิ่งที่เธอต้องการ!”
คนที่เหลือก็ไม่อยากมีปัญหามากไปกว่านี้เช่นกัน ”เหล่าลิ่ว พวกเราทุกคนล้วนแต่มาที่นี่เพื่อเจรจาธุรกิจ อย่าทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่โตไปเลย พวกเราควรหาทางคลี่คลายความขัดแย้งนี้แทนมากกว่า อย่างไรพวกเราก็ยังอยู่บนรถไฟ”
“ทุกคนไม่มั่นใจในวิธีการแก้ปัญหาของผมหรือครับ” เหล่าลิ่วปรายตามองไปทางพวกเขาพร้อมกับยื่นมือออกมา แล้วยกรีโมตขึ้น จากนั้นจึงกล่าวว่า ”นังหนู แกรู้หรือเปล่าว่าเจ้าสิ่งนี้คืออะไร มันคือเครื่องจุดระเบิด เด็กที่มากับแกคงอยู่ในตู้โดยสารตู้อื่นใช่หรือเปล่า นอกจากตู้เสบียงตู้นี้แล้ว ตู้โดยสารที่เหลือจะถูกระเบิดจนไม่เหลือ แต่ฉันสามารถเลือกได้ว่าจะฆ่าใครและจะระเบิดตู้ไหนได้ก่อน ชะตากรรมของพวกมันอยู่ในมือฉันแล้ว แน่อยู่แล้วว่าความเป็นความตายของชาวนากับกรรมกรสกปรกโสโครกพวกนั้นคงไม่สำคัญสำหรับแก แต่ลูกสองคนของแกล่ะ หึๆ แต่ฉันเป็นคนใจกว้างมาแต่ไหนแต่ไร วางปืนของแกลงก่อนสิ แล้วฉันอาจจะยอมคิดเรื่องไว้ชีวิตเด็กๆ พวกนั้นให้ นังหนู ตอนนี้มีเราสองคนกับผู้โดยสารทั้งขบวน แน่จริงก็เหนี่ยวไกมาได้เลย แล้วเราจะได้เห็นกันว่าฝ่ายไหนกันแน่ที่จะต้องสูญเสียมากกว่านั้น”
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ตอบอะไร
รอยยิ้มชั่วร้ายปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเหล่าลิ่วในขณะที่เขาเอ่ยต่อว่า ”พวกแกคิดว่าจะสู้กับฉันได้หรือ ไม่เห็นหรือไงว่าตอนนี้ใครเป็นคนคุมเขตอวิ๋นกุย พวกเรา ยึดปืนพวกมันซะ!”
“ใครกล้าเข้ามาฉันจะยิงให้ร่วง!” เมื่อเทียบกับการแสดงอำนาจบาทใหญ่ของเหล่าลิ่วแล้ว น้ำเสียงของเฮ่อเหลียนเวยเวยนั้นกลับฟังดูน่าเชื่อเป็นอย่างยิ่ง เสียงนั้นทำให้ทุกคนหวาดกลัวจนไม่มีใครกล้าก้าวเท้าออกมาแม้แต่ก้าวเดียว
เหล่าลิ่วหัวเราะเยาะ ”อย่างนั้นก็ดี ดูเหมือนแกคงอยากเห็นเจ้าปีศาจน้อยสองคนนั้นระเบิดเป็นชิ้นๆ สินะ!”
“ใครจะระเบิดเป็นชิ้นๆ หรือครับ” น้ำเสียงอ่อนโยนฟังสบายดังขึ้นจากด้านหลังของผู้ใหญ่กลุ่มนั้น ใบหน้าเล็กๆ ของเสี่ยวชิงเฉิงยังคงดูไม่ทุกข์ร้อนต่อสิ่งใดขณะก้าวไปข้างหน้าด้วยเท้าเล็กๆ ของตัวเอง
ไป๋หลี่ซ่างเสียดูเหมือนหัวหน้าแก็งมาเฟียจากอิตาลี ดวงตาสีแดงเลือดของเขายิ่งทำให้ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความอันตราย
เฮ่อเหลียนชิงเฉิงยกลวดที่ถูกม้วนจนกลายเป็นก้อนกลมในมือขึ้น และพูดว่า ”ถ้าคุณกำลังพูดถึงของเล่นพวกนี้อยู่ละก็ ผมปลดชนวนพวกมันหมดแล้วครับ” หลังจากพูดจบ เขาก็ก้มหน้าลงแล้วบ่นพึมพำว่า ”คราวหน้าคราวหลังก็ช่วยออกแบบระเบิดมาให้มันซับซ้อนกว่านี้หน่อยนะครับ ระเบิดอันนี้มันเหมือนของเล่นสำหรับเด็กสามขวบชัดๆ”
เพียงชั่วพริบตา ใบหน้าของเหล่าลิ่วก็กลายเป็นสีเขียวคล้ำไปทั้งหน้า
เขากำมือซ้ายแน่น เพราะรู้สึกไม่พอใจอย่างมากกับคำพูดของเด็กชาย
คำพูดเป็นกันเองประโยคนี้ฟังดูแล้วให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าเขาไม่ใช่คู่มือของเด็กสามขวบ
แต่เรื่องที่เขาทำใจรับไม่ได้และไม่อยากเชื่อที่สุดก็คือ ระเบิดที่เขาวางไว้จะถูกเจ้าปีศาจน้อยนี่ปลดชนวนได้ในเวลาสั้นๆ
แม้แต่ตำรวจก็ยังไม่สามารถจัดการกับมันได้เร็วถึงขนาดนี้ นอกเสียจากว่าพวกเขาจะมาจากกองกำลังพิเศษ
เหล่าลิ่วไม่เชื่อที่เขาพูดสักนิดเดียว ดังนั้นเขาจึงกดเครื่องจุดระเบิดที่อยู่ในมือทันที!
แต่ทว่า!
มันกลับไม่มีเสียงระเบิดเกิดขึ้น!
ไม่มีแม้กระทั่งเสียงตอบรับ!
จากนั้นเขาก็กดเครื่องจุดระเบิดตัวที่สอง สาม และสี่ต่อ…
แต่มันไม่มีปฏิกิริยาเลยสักตัวเดียว!
ริมฝีปากของเหล่าลิ่วซีดลง แผนรับมือเรื่องไม่คาดฝันที่เขาใช้มาตลอดหลายปีพังไม่เป็นท่าด้วยฝีมือของเจ้าปีศาจตัวน้อยสองคนนี้
เศรษฐีพวกนั้นรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ พวกเขาจึงมองหน้ากันด้วยความหวาดกลัว และพยายามหาทางหนี
แต่ทันใดนั้น จู่ๆ เหล่าลิ่วก็หัวเราะขึ้นพร้อมกับประกาศว่า ”แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ในเมื่อพวกแกทุกคนอยู่ที่นี่แล้ว พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องพึ่งระเบิดพวกนั้นเพื่อแก้ปัญหาอีกต่อไป หึ ไม่ว่าจะเป็นปีศาจหรือหมอผี หรือต่อให้พวกแกจะเป็นวิญญาณร้ายที่คลานออกมาจากก้นบึ้งนรก แต่ฉันก็ยังมีวิธีอัญเชิญอย่างอื่นออกมาจัดการพวกแกจนวิญญาณกลายเป็นผุยผงได้อยู่ดี!”
ทันทีที่สิ้นเสียงนั้น ยันต์จำนวนนับไม่ถ้วนก็ปรากฏขึ้นจากส่วนที่ลึกที่สุดของตู้เสบียง ยันต์พวกนั้นเหมือนจะเรียงตัวกันตามทิศเหนือ ใต้ ออก ตก และขังเฮ่อเหลียนเวยเวยกับพวกเด็กๆ เอาไว้ตรงกลาง!
จากนั้นหุ่นเชิดขนาดเท่าหัวแม่มือก็ปรากฏขึ้นจากหมอกสีดำหนาทึบ หุ่นตัวนั้นนั่งอยู่บนพื้นแต่ส่วนหัวของมันกลับขยับไปข้างหน้าทีข้างหลังทีเหมือนกับมีวิญญาณอยู่ข้างในจริงๆ
ร่างเพรียวสวมจีวรเดินออกมาจากส่วนที่ลึกที่สุดของตู้เสบียงนั้น สีหน้าของเธอเรียบเฉย ดวงตาของเธอจับจ้องอยู่ที่เฮ่อเหลียนเวยเวย จากนั้นเธอจึงเคลื่อนสายตาไปที่ไป๋หลี่ซ่างเสีย และสุดท้ายจึงมาหยุดอยู่ที่เฮ่อเหลียนชิงเฉิง ทันใดนั้นดวงตาทั้งสองข้างของเธอก็เป็นประกาย เธอยื่นแขนออกไปหมายจะแตะแก้มของเสี่ยวชิงเฉิง ”นานเหลือเกิน นานแสนนานเหลือเกินนับจากครั้งสุดท้ายที่ฉันได้เห็นเด็กที่มีพรสวรรค์เช่นนี้ หนูน้อย มากับฉันสิ ทำไมไม่มาเป็นลูกชายของฉันแทนล่ะ ไม่ว่าเธออยากได้อะไร ฉันก็สามารถหามาให้เธอได้ทุกอย่าง”
ปัง!
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่คิดที่จะเจรจาเมื่อเห็นคนพยายามขโมยลูกชายไปจากเธอ มุมปากของเธอกระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้มพร้อมกับเหนี่ยวไกยิงใส่ผู้หญิงคนนั้นทันที!
หารีติชะงักไป หลังจากหลบกระสุนนัดนั้นได้ เธอก็มองตรงไปที่เฮ่อเหลียนเวยเวย ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความหงุดหงิดและความชั่วร้ายอย่างมากจนทำให้ทุกคนเย็นยะเยือกไปถึงสันหลัง
แต่สายตานั้นไม่มีความหมายสำหรับเฮ่อเหลียนเวยเวย รอยยิ้มของเธอไม่ได้รับผลกระทบจากสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป ”หารีติ เจ้าชอบขโมยลูกของคนอื่นเป็นที่สุด ดูเหมือนว่าเสียงลือเสียงเล่าอ้างนั่นจะเป็นความจริง ผ่านมาก็หลายปี แต่เจ้าไม่ได้เปลี่ยนไปเลยแม้แต่นิดเดียว”
“ในเมื่อแกรู้ว่าฉันเป็นใคร ทำไมถึงไม่รีบหนีไปซะล่ะ” หารีติเยาะ ”ฉันไม่ชอบฆ่าคนจากตระกูลเพ่ย แต่ถ้าแกเข้ามาขวาง ฉันจะทำให้ผู้โดยสารทุกคนต้องเสียใจที่ก้าวเท้าขึ้นมาบนรถไฟขบวนนี้เดี๋ยวนี้”
รอยยิ้มของเฮ่อเหลียนเวยเวยกลับยิ่งกว้างขึ้นในขณะที่บอกว่า ”ใครบอกเจ้าหรือว่าฉันเป็นคนของตระกูลเพ่ย”
“ในเมื่อแกไม่ใช่คนของตระกูลเพ่ย ถ้าอย่างนั้นงานนี้ก็ยิ่งง่ายขึ้น” สำหรับหารีติ คนที่ควรค่าแก่การกล่าวถึงนั้นมีแต่เพียงคนของตระกูลเพ่ยเท่านั้น คนอื่นๆ นอกนั้นล้วนแต่เป็นมนุษย์ธรรมดาแสนโง่เขลา มนุษย์ธรรมดาจะมาสู้กับเทพได้อย่างไร หารีติไม่รอให้เสียเวลาอีกต่อไป เธอเยาะยิ้มและจิกปลายนิ้วชี้ให้เลือดของตัวเองหยดลงที่ส่วนหัวของหุ่นตัวนั้น
สายลมมืดมิดก่อตัวขึ้นจากแกนกลางของหุ่นตัวนั้นในทันใด ลมพวกนั้นหมุนเข้าหากันที่ด้านหน้าราวกับเป็นจุดศูนย์กลางของเขตอาคมบางอย่าง
เฮ่อเหลียนเวยเวยขมวดคิ้ว เธอเคยได้ยินเรื่องคุณไสยมนตร์ดำที่ใช้พิธีกรรมและคาถาแบบนี้มาอยู่บ้าง
พวกเขาจะแกะสลักหุ่นขึ้นมาตัวหนึ่ง และใช้ดวงไฟวิญญาณดึงวิญญาณของเด็กออกมา แล้วพันธนาการวิญญาณดวงนั้นไว้กับหุ่นเพื่อใช้งานในภายหลัง
วิญญาณที่จะสามารถนำมาใช้ได้นี้มีแต่เพียงวิญญาณของเด็กที่ป่วยและอ่อนแอเท่านั้น และจะยิ่งดีที่สุดถ้าเด็กคนนั้นเคยถูกทรมานมาก่อนในตอนที่ยังมีชีวิตจนตายอย่างทุกข์ทรมาน มีแต่หนทางนี้เพียงหนทางเดียวเท่านั้นที่คนเราจะสามารถสร้างเขตอาคมอันแข็งแกร่งจนสามารถส่งผลกระทบต่อเด็กๆ ที่ยังมีชีวิตอยู่บนโลกได้
แม้จะแผ่วเบา แต่ทันใดนั้นพวกเขาก็ได้ยินเสียงเด็กหัวเราะลอยแว่วมาจากทั่วทุกทิศทาง
เสียงหัวเราะนั้นดูเหมือนจะดังมาจากทั่วทุกซอกทุกมุม แต่ก็ยังดูเหมือนจะดังมาจากหุ่นตัวนั้นด้วย มันน่าขนลุกเสียไม่มี!