บรรดาอีกาดำ : …
อันดับแรกนั้นต้องบอกว่าการที่เด็กสักคนจะถูกโรงเรียนอนุบาลกว่าสิบสองแห่งไล่ออกติดต่อกันภายในเวลาเพียงเดือนเดียวนั้นนับว่าหายากนัก
จริงอยู่ที่ทุกปัญหาสามารถคลี่คลายได้ด้วยชื่อขององค์ราชา แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าท่านจะสามารถจับมนุษย์ที่โรงเรียนกินได้นะขอรับ!
องค์ชายน้อย ที่นั่นคือโรงเรียนอนุบาลขอรับ ไม่ใช่ฟาร์มปศุสัตว์!
อีกอย่าง ท่านเคยเชื่อฟังคำสั่งขององค์ราชาด้วยหรือ
ต่อให้ท่านจะโกหก แต่ท่านก็ควรจะมีจิตสำนึกบ้างสิขอรับ!
ไป๋หลี่ซ่างเสียมัวแต่ทุ่มความสนใจให้กับสถานการณ์ปัจจุบันจนแทบไม่ได้สนใจอีกาดำพวกนั้นแม้แต่นิดเดียว เขาอุ้มเด็กชายตัวน้อยน่ารักเอาไว้ในอ้อมแขน ส่วนอีกคนก็ช่วยป้อนช็อกโกแลตให้กับเขา ยิ่งกว่านั้นเขาก็ยังเป็นห่วงเสี่ยวชิงเฉิงที่ดูเหมือนจะเดินเซทุกครั้งที่ก้าวขาอีกด้วย ไป๋หลี่ซ่างเสียจำเป็นต้องหาเหตุผลที่เหมาะสมเพื่อทำให้ตัวเองได้อยู่ที่นี่ต่อ
อีกาดำพวกนั้น : …ท่านจะห่วงการเดินของเด็กคนอื่นไปทำไม! อีกอย่าง ท่านรู้หรือเปล่าว่าเมื่อก่อนตอนที่ท่านเห็นมนุษย์ ท่านจะมีปฏิกิริยาเช่นใด ท่านมีแต่อยากจะจับพวกเขากินท่าเดียว!
ทำไมท่านต้องเป็นห่วงด้วยว่าเด็กคนนี้จะเดินมั่นคงหรือไม่ เลิกเล่นละครเป็นพระเอกผู้แสนดีได้แล้ว!
ไป๋หลี่ซ่างเสียเหลือบมองอีกาดำหลายตัวที่บินผ่านเขาไปอย่างดุร้าย เขาเอียงศีรษะไปทางซ้ายเล็กน้อย เพราะเคยได้ยินมาว่าการทำท่าทางแบบนี้จะทำให้เขายิ่งดูน่าสงสาร ไป๋หลี่ซ่างเสียเปลี่ยนท่าทางก่อนจะพูดต่อ ”แล้วในเร็วๆ นี้ก็ยังตัดสินใจแต่งงานเอาผู้หญิงที่ผมไม่รู้จักมาเป็นแม่เลี้ยง ผมไม่ชอบครับ”
อีกาดำพวกนั้นคิดในใจว่า ท่านกำลังทำให้องค์ราชาเสื่อมเสียชื่อเสียงอย่างหน้าไม่อายเพื่อให้ได้อยู่ที่นี่ต่อต่างหากล่ะขอรับ องค์ชายน้อย!
พวกเขาจะคิดว่าคำพูดของท่านเป็นเรื่องจริงเอาได้นะขอรับ!
เป็นอย่างที่คิด เฮ่อเหลียนเวยเวยยื่นมือออกไปลูบผมของเขา ”ในเมื่อหนูไม่อยากกลับบ้าน อย่างนั้นก็นอนค้างกับเสี่ยวชิงเฉิงสักสองสามคืนก็ได้ถ้าไม่รังเกียจ”
“ครับ” แน่นอนว่าไป๋หลี่ซ่างเสียย่อมไม่รังเกียจแม้แต่น้อยเพราะเขากำลังรอข้อเสนอนี้อยู่
เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้ม เธอสงสัยเหลือเกินว่าผู้ชายสารเลวที่ทอดทิ้งลูกชายตัวเองเพื่อผู้หญิงคนเดียวเป็นใครกันแน่
เวลานี้ องค์ชายที่ถูกเข้าใจผิดว่าเป็นผู้ชายสารเลวกำลังนั่งเครื่องบินสำหรับผู้โดยสารชั้นหนึ่งมายังอวิ๋นกุย[1] เขายกขาขึ้นไขว่ห้างด้วยท่าทางสง่างามพร้อมกับถือแก้วไวน์ไว้ในมือ
ใบหน้าของเขาสะท้อนอยู่ในกระจกเครื่องบิน ชุดสูทสีดำสนิททำให้เขาดูเหมือนราชาแห่งรัตติกาล
แอร์โฮสเตสแอบชำเลืองมองเขาอยู่หลายครั้ง ใบหน้าราวกับประติมากรรมแกะสลักที่หันออกจากแสงไฟของเขาดูหล่อเหลาอย่างมาก เครื่องหน้าโดดเด่นมีเอกลักษณ์บนใบหน้านั้นทำให้ทุกคนหัวใจเต้นแรงขึ้นทุกครั้งที่ได้เห็น
แอร์โฮสเตสพวกนี้เคยเห็นผู้ทรงอิทธิพล รวมถึงดาราชื่อดัง อภิมหาเศรษฐี และนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จมาแล้วมากมาย แต่ไม่มีใครหล่อเหลาจนชวนให้ตกตะลึงเท่าผู้ชายคนนี้มาก่อน
ผิวพรรณของเขาขาวผ่องราวกับทำมาจากกระเบื้องเคลือบชั้นยอด ทั้งยังมีบรรยากาศเหมือนกับขุนนางยุโรปที่อยู่ในหนัง ชายหนุ่มทำราวกับว่าสิ่งมีชีวิตทั้งหมดบนโลกใบนี้ต่ำต้อยกว่าเขา
ผมสีเงินตัดสั้นของเขาทำให้แอร์โฮสเตสเหล่านั้นอยากเข้าไปคุยกับเขา หนึ่งในนั้นทนไม่ไหวอีกต่อไป เธอเข็นรถเข็นเข้าไปหาเขาพร้อมกับถามว่า ”อยากได้ไวน์เพิ่มไหมคะ”
“ไม่ล่ะ” เขาตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา น้ำเสียงนั้นราวกับจะสามารถทำให้อุณหภูมิในอากาศเกิดการเปลี่ยนแปลงได้เลยทีเดียว
แอร์โฮสเตสยิ้ม เธอไม่ได้ดูโกรธเคืองกับคำปฏิเสธนั้น เพราะเธอรู้อยู่แล้วว่าผู้ชายที่ใครๆ ต่างก็หมายปองย่อมทำตัวหยิ่งเป็นธรรมดา และเธอก็ชอบท้าทายเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ”ถ้าอย่างนั้น เดี๋ยวฉันจะไปเอาผ้าห่มมาให้นะคะ ยังเหลือเวลาอยู่อีกยี่สิบนาทีก่อนเครื่องจะลงจอด”
แอร์โฮสเตสพูดพร้อมกับโน้มตัวลงแตะไป๋หลี่เจียเจวี๋ย
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่ได้พูดอะไร เขาชำเลืองมองเธอด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยเส้นเลือดสีแดงก่ำ ความเย็นชาในสายตาของเขาทำให้แอร์โฮสเตสชะงักและรู้สึกกลัวขึ้นมาทันที
ชิงหลงที่นั่งอยู่ข้างเขาตอบสนองได้อย่างว่องไว้ มันขวางแอร์โฮสเตสคนนั้นเอาไว้แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า ”พวกเราไม่จำเป็นต้องใช้ผ้าห่ม คุณไปทำงานต่อได้แล้วครับ”
แอร์โฮสเตสคนนั้นรู้สึกอับอายอย่างมาก เธอไม่ได้พูดอะไรอีก แต่ทำเพียงแค่เข็นรถจากไป เธอไม่เคยถูกปฏิเสธแบบนี้มาก่อน
หลังจากรอบตัวเงียบลง ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจึงถอดเสื้อคลุมของตัวเองออกแล้วโยนมันทิ้งไว้ข้างๆ อย่างไม่ลังเล
ชิงหลงกับกิเลนอัคคีลอบมองเจ้านาย และสรุปได้ว่าเจ้านายของพวกมันยังคงเป็นชายคนเดิมเหมือนกับก่อนหน้านี้ นอกจากพระชายาแล้ว ใครก็ตามที่เข้าใกล้เขาล้วนแต่ต้องพบจุดจบเลวร้ายด้วยกันทั้งสิ้น
ถ้าแอร์โฮสเตสคนเมื่อครู่รุกใส่เขามากไปกว่านี้ละก็ เธอคงได้ตายอย่างน่าอนาถแน่
นิสัยของนายท่านไม่เคยเปลี่ยนไปเลยแม้แต่นิดเดียวตลอดระยะเวลาสามปีแห่งความโดดเดี่ยวที่ผ่านมา
แทนที่จะเป็นอย่างนั้น อารมณ์ของเขากลับถูกปกปิดเอาไว้ใต้ความเย็นชาไม่แยแสหลายต่อหลายชั้น ราวกับว่าการหายตัวไปของพระชายาได้พรากเอาความอบอุ่นอันน้อยนิดที่เหลืออยู่ในตัวเขาออกไปด้วย
ไม่รู้ว่าคราวนี้พวกเขาจะหาตัวพระชายาเจอหรือเปล่า…
ในขณะที่ชิงหลงและกิเลนอัคคีกำลังจมอยู่ในภวังค์ของตัวเอง จู่ๆ อีกาฝูงหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นรอบเครื่องบิน
โดยปกติแล้วอีกาดำไม่น่าจะปรากฏตัวขึ้นที่ความสูงระดับนี้ได้ ดังนั้นเมื่อระบบตรวจจับบนเครื่องบินแจ้งเตือนว่ามีวัตถุที่ไม่สามารถระบุได้กำลังตรงเข้ามาหาพวกเขา กัปตันจึงหัวใจหล่นวูบในทันที เขารีบออกคำสั่งให้ตรวจสอบเรื่องนี้อย่างรวดเร็ว
“ฝูงอีกาดำหรือ ล้อกันเล่นหรือเปล่า จะมีอีกาอยู่บนนี้ได้ยังไง” กัปตันคนนี้มีประสบการณ์บินมาหลายปี แต่เขาก็ไม่เคยเจอสถานการณ์แบบนี้มาก่อน
ผู้ช่วยกัปตันก็ขมวดคิ้วอยู่เหมือนกัน ”ตอนเอาเครื่องขึ้น ผมเพิ่งอ่านเจอข่าวว่ามีรถไฟขบวนหนึ่งถูกฝูงอีกาล้อมเอาไว้หลังจากลอดออกมาจากอุโมงค์ หรือว่าเราจะเจอสถานการณ์เดียวกันครับ”
“อีกาดำบินล้อมรถไฟหรือ” กัปตันรู้สึกเหมือนกับว่าโลกทั้งใบกำลังจะถึงกาลอวสาน
นักบินผู้ช่วยพยักหน้า ”ดูเหมือนแสงกับคลื่นเสียงจะส่งผลกระทบอะไรสักอย่างกับพวกมันน่ะครับ”
“แล้วสุดท้ายเกิดอะไรขึ้นกับรถไฟขบวนนั้นหรือ” กัปตันอยากรู้แค่ว่าพวกเขาตกอยู่ในอันตรายหรือไม่
นักบินผู้ช่วยคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบว่า ”ก็ไม่มีอะไรมากครับ ทุกอย่างปกติดีเพราะอีกาพวกนี้แค่บินตามรถไฟเท่านั้น”
“งั้นก็ช่างมัน หาทางเลี่ยงพวกมันแทนก็แล้วกัน” นี่เป็นการตัดสินใจสุดท้ายของกัปตัน อย่างไรพวกเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องปกป้องไม่ให้เครื่องบินได้รับผลกระทบใดๆ จากเรื่องนั้น การดูแลผู้โดยสารให้ปลอดภัยคือสิ่งสำคัญที่สุด
เครื่องบินไม่เหมือนกับรถไฟ บางครั้งหากเครื่องมีอะไรผิดพลาด นกเพียงตัวเดียวก็สามารถนำไปสู่อุบัติเหตุร้ายแรงได้
โชคดีที่ทุกอย่างดูปกติ
แต่อีกด้านหนึ่งนั้น นักสัตววิทยาที่ได้รับข่าวนี้กลับเริ่มโต้เถียงกันอย่างดุเดือดว่าปรากฏการณ์นี้เป็นสัญญาณเตือนถึงภัยพิบัติอะไรหรือไม่ บางส่วนคิดว่าอีกาดำพวกนี้เพียงแค่บินย้ายถิ่นไปทางตะวันออกเท่านั้น มิหนำซ้ำยังนำการปรากฏตัวของอีกาดำฝูงนี้ไปเชื่อมโยงเข้ากับปรากฏการณ์น้ำแข็งขั้วโลกละลายอีกด้วย
นักสัตววิทยาที่ศึกษาสัตว์มามากมายหลายชนิดย่อมไม่มีวันเดาออกว่าอีกาดำพวกนี้ปรากฏตัวขึ้นเพียงเพราะว่าผู้เป็นนายของมันอยู่บนเครื่องบินลำนี้
ตอนที่อีกาดำพวกนี้ตกอยู่ในอาการผิดปกติ ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยย่อมเป็นคนแรกที่รู้สึกถึงเรื่องนี้ได้ ด้วยเหตุนี้เขาจึงรู้ว่ามีใครบางคนใช้อาคมบางอย่างกับพวกมัน และตัดสินใจเดินทางมาที่อวิ๋นกุย
แต่นักค้ามนุษย์ที่เป็นคนสร้างเขตอาคมนั้นกลับยังไม่รู้ตัวว่าเขากำลังเผชิญหน้าอยู่กับใคร เขายังวางแผนที่จะไปพบกับหัวหน้า และจับตัวเด็กน้อยทั้งสองกลับไปแล้วทำให้พวกเขากลายเป็นผีตัวน้อยๆ แทน!
[1] เป็นพื้นที่รอยต่อระหว่างยูนนานและกุ้ยโจว บรรดาอีกาดำ : …
อันดับแรกนั้นต้องบอกว่าการที่เด็กสักคนจะถูกโรงเรียนอนุบาลกว่าสิบสองแห่งไล่ออกติดต่อกันภายในเวลาเพียงเดือนเดียวนั้นนับว่าหายากนัก
จริงอยู่ที่ทุกปัญหาสามารถคลี่คลายได้ด้วยชื่อขององค์ราชา แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าท่านจะสามารถจับมนุษย์ที่โรงเรียนกินได้นะขอรับ!
องค์ชายน้อย ที่นั่นคือโรงเรียนอนุบาลขอรับ ไม่ใช่ฟาร์มปศุสัตว์!
อีกอย่าง ท่านเคยเชื่อฟังคำสั่งขององค์ราชาด้วยหรือ
ต่อให้ท่านจะโกหก แต่ท่านก็ควรจะมีจิตสำนึกบ้างสิขอรับ!
ไป๋หลี่ซ่างเสียมัวแต่ทุ่มความสนใจให้กับสถานการณ์ปัจจุบันจนแทบไม่ได้สนใจอีกาดำพวกนั้นแม้แต่นิดเดียว เขาอุ้มเด็กชายตัวน้อยน่ารักเอาไว้ในอ้อมแขน ส่วนอีกคนก็ช่วยป้อนช็อกโกแลตให้กับเขา ยิ่งกว่านั้นเขาก็ยังเป็นห่วงเสี่ยวชิงเฉิงที่ดูเหมือนจะเดินเซทุกครั้งที่ก้าวขาอีกด้วย ไป๋หลี่ซ่างเสียจำเป็นต้องหาเหตุผลที่เหมาะสมเพื่อทำให้ตัวเองได้อยู่ที่นี่ต่อ
อีกาดำพวกนั้น : …ท่านจะห่วงการเดินของเด็กคนอื่นไปทำไม! อีกอย่าง ท่านรู้หรือเปล่าว่าเมื่อก่อนตอนที่ท่านเห็นมนุษย์ ท่านจะมีปฏิกิริยาเช่นใด ท่านมีแต่อยากจะจับพวกเขากินท่าเดียว!
ทำไมท่านต้องเป็นห่วงด้วยว่าเด็กคนนี้จะเดินมั่นคงหรือไม่ เลิกเล่นละครเป็นพระเอกผู้แสนดีได้แล้ว!
ไป๋หลี่ซ่างเสียเหลือบมองอีกาดำหลายตัวที่บินผ่านเขาไปอย่างดุร้าย เขาเอียงศีรษะไปทางซ้ายเล็กน้อย เพราะเคยได้ยินมาว่าการทำท่าทางแบบนี้จะทำให้เขายิ่งดูน่าสงสาร ไป๋หลี่ซ่างเสียเปลี่ยนท่าทางก่อนจะพูดต่อ ”แล้วในเร็วๆ นี้ก็ยังตัดสินใจแต่งงานเอาผู้หญิงที่ผมไม่รู้จักมาเป็นแม่เลี้ยง ผมไม่ชอบครับ”
อีกาดำพวกนั้นคิดในใจว่า ท่านกำลังทำให้องค์ราชาเสื่อมเสียชื่อเสียงอย่างหน้าไม่อายเพื่อให้ได้อยู่ที่นี่ต่อต่างหากล่ะขอรับ องค์ชายน้อย!
พวกเขาจะคิดว่าคำพูดของท่านเป็นเรื่องจริงเอาได้นะขอรับ!
เป็นอย่างที่คิด เฮ่อเหลียนเวยเวยยื่นมือออกไปลูบผมของเขา ”ในเมื่อหนูไม่อยากกลับบ้าน อย่างนั้นก็นอนค้างกับเสี่ยวชิงเฉิงสักสองสามคืนก็ได้ถ้าไม่รังเกียจ”
“ครับ” แน่นอนว่าไป๋หลี่ซ่างเสียย่อมไม่รังเกียจแม้แต่น้อยเพราะเขากำลังรอข้อเสนอนี้อยู่
เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้ม เธอสงสัยเหลือเกินว่าผู้ชายสารเลวที่ทอดทิ้งลูกชายตัวเองเพื่อผู้หญิงคนเดียวเป็นใครกันแน่
เวลานี้ องค์ชายที่ถูกเข้าใจผิดว่าเป็นผู้ชายสารเลวกำลังนั่งเครื่องบินสำหรับผู้โดยสารชั้นหนึ่งมายังอวิ๋นกุย[1] เขายกขาขึ้นไขว่ห้างด้วยท่าทางสง่างามพร้อมกับถือแก้วไวน์ไว้ในมือ
ใบหน้าของเขาสะท้อนอยู่ในกระจกเครื่องบิน ชุดสูทสีดำสนิททำให้เขาดูเหมือนราชาแห่งรัตติกาล
แอร์โฮสเตสแอบชำเลืองมองเขาอยู่หลายครั้ง ใบหน้าราวกับประติมากรรมแกะสลักที่หันออกจากแสงไฟของเขาดูหล่อเหลาอย่างมาก เครื่องหน้าโดดเด่นมีเอกลักษณ์บนใบหน้านั้นทำให้ทุกคนหัวใจเต้นแรงขึ้นทุกครั้งที่ได้เห็น
แอร์โฮสเตสพวกนี้เคยเห็นผู้ทรงอิทธิพล รวมถึงดาราชื่อดัง อภิมหาเศรษฐี และนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จมาแล้วมากมาย แต่ไม่มีใครหล่อเหลาจนชวนให้ตกตะลึงเท่าผู้ชายคนนี้มาก่อน
ผิวพรรณของเขาขาวผ่องราวกับทำมาจากกระเบื้องเคลือบชั้นยอด ทั้งยังมีบรรยากาศเหมือนกับขุนนางยุโรปที่อยู่ในหนัง ชายหนุ่มทำราวกับว่าสิ่งมีชีวิตทั้งหมดบนโลกใบนี้ต่ำต้อยกว่าเขา
ผมสีเงินตัดสั้นของเขาทำให้แอร์โฮสเตสเหล่านั้นอยากเข้าไปคุยกับเขา หนึ่งในนั้นทนไม่ไหวอีกต่อไป เธอเข็นรถเข็นเข้าไปหาเขาพร้อมกับถามว่า ”อยากได้ไวน์เพิ่มไหมคะ”
“ไม่ล่ะ” เขาตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา น้ำเสียงนั้นราวกับจะสามารถทำให้อุณหภูมิในอากาศเกิดการเปลี่ยนแปลงได้เลยทีเดียว
แอร์โฮสเตสยิ้ม เธอไม่ได้ดูโกรธเคืองกับคำปฏิเสธนั้น เพราะเธอรู้อยู่แล้วว่าผู้ชายที่ใครๆ ต่างก็หมายปองย่อมทำตัวหยิ่งเป็นธรรมดา และเธอก็ชอบท้าทายเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ”ถ้าอย่างนั้น เดี๋ยวฉันจะไปเอาผ้าห่มมาให้นะคะ ยังเหลือเวลาอยู่อีกยี่สิบนาทีก่อนเครื่องจะลงจอด”
แอร์โฮสเตสพูดพร้อมกับโน้มตัวลงแตะไป๋หลี่เจียเจวี๋ย
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่ได้พูดอะไร เขาชำเลืองมองเธอด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยเส้นเลือดสีแดงก่ำ ความเย็นชาในสายตาของเขาทำให้แอร์โฮสเตสชะงักและรู้สึกกลัวขึ้นมาทันที
ชิงหลงที่นั่งอยู่ข้างเขาตอบสนองได้อย่างว่องไว้ มันขวางแอร์โฮสเตสคนนั้นเอาไว้แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า ”พวกเราไม่จำเป็นต้องใช้ผ้าห่ม คุณไปทำงานต่อได้แล้วครับ”
แอร์โฮสเตสคนนั้นรู้สึกอับอายอย่างมาก เธอไม่ได้พูดอะไรอีก แต่ทำเพียงแค่เข็นรถจากไป เธอไม่เคยถูกปฏิเสธแบบนี้มาก่อน
หลังจากรอบตัวเงียบลง ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจึงถอดเสื้อคลุมของตัวเองออกแล้วโยนมันทิ้งไว้ข้างๆ อย่างไม่ลังเล
ชิงหลงกับกิเลนอัคคีลอบมองเจ้านาย และสรุปได้ว่าเจ้านายของพวกมันยังคงเป็นชายคนเดิมเหมือนกับก่อนหน้านี้ นอกจากพระชายาแล้ว ใครก็ตามที่เข้าใกล้เขาล้วนแต่ต้องพบจุดจบเลวร้ายด้วยกันทั้งสิ้น
ถ้าแอร์โฮสเตสคนเมื่อครู่รุกใส่เขามากไปกว่านี้ละก็ เธอคงได้ตายอย่างน่าอนาถแน่
นิสัยของนายท่านไม่เคยเปลี่ยนไปเลยแม้แต่นิดเดียวตลอดระยะเวลาสามปีแห่งความโดดเดี่ยวที่ผ่านมา
แทนที่จะเป็นอย่างนั้น อารมณ์ของเขากลับถูกปกปิดเอาไว้ใต้ความเย็นชาไม่แยแสหลายต่อหลายชั้น ราวกับว่าการหายตัวไปของพระชายาได้พรากเอาความอบอุ่นอันน้อยนิดที่เหลืออยู่ในตัวเขาออกไปด้วย
ไม่รู้ว่าคราวนี้พวกเขาจะหาตัวพระชายาเจอหรือเปล่า…
ในขณะที่ชิงหลงและกิเลนอัคคีกำลังจมอยู่ในภวังค์ของตัวเอง จู่ๆ อีกาฝูงหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นรอบเครื่องบิน
โดยปกติแล้วอีกาดำไม่น่าจะปรากฏตัวขึ้นที่ความสูงระดับนี้ได้ ดังนั้นเมื่อระบบตรวจจับบนเครื่องบินแจ้งเตือนว่ามีวัตถุที่ไม่สามารถระบุได้กำลังตรงเข้ามาหาพวกเขา กัปตันจึงหัวใจหล่นวูบในทันที เขารีบออกคำสั่งให้ตรวจสอบเรื่องนี้อย่างรวดเร็ว
“ฝูงอีกาดำหรือ ล้อกันเล่นหรือเปล่า จะมีอีกาอยู่บนนี้ได้ยังไง” กัปตันคนนี้มีประสบการณ์บินมาหลายปี แต่เขาก็ไม่เคยเจอสถานการณ์แบบนี้มาก่อน
ผู้ช่วยกัปตันก็ขมวดคิ้วอยู่เหมือนกัน ”ตอนเอาเครื่องขึ้น ผมเพิ่งอ่านเจอข่าวว่ามีรถไฟขบวนหนึ่งถูกฝูงอีกาล้อมเอาไว้หลังจากลอดออกมาจากอุโมงค์ หรือว่าเราจะเจอสถานการณ์เดียวกันครับ”
“อีกาดำบินล้อมรถไฟหรือ” กัปตันรู้สึกเหมือนกับว่าโลกทั้งใบกำลังจะถึงกาลอวสาน
นักบินผู้ช่วยพยักหน้า ”ดูเหมือนแสงกับคลื่นเสียงจะส่งผลกระทบอะไรสักอย่างกับพวกมันน่ะครับ”
“แล้วสุดท้ายเกิดอะไรขึ้นกับรถไฟขบวนนั้นหรือ” กัปตันอยากรู้แค่ว่าพวกเขาตกอยู่ในอันตรายหรือไม่
นักบินผู้ช่วยคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบว่า ”ก็ไม่มีอะไรมากครับ ทุกอย่างปกติดีเพราะอีกาพวกนี้แค่บินตามรถไฟเท่านั้น”
“งั้นก็ช่างมัน หาทางเลี่ยงพวกมันแทนก็แล้วกัน” นี่เป็นการตัดสินใจสุดท้ายของกัปตัน อย่างไรพวกเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องปกป้องไม่ให้เครื่องบินได้รับผลกระทบใดๆ จากเรื่องนั้น การดูแลผู้โดยสารให้ปลอดภัยคือสิ่งสำคัญที่สุด
เครื่องบินไม่เหมือนกับรถไฟ บางครั้งหากเครื่องมีอะไรผิดพลาด นกเพียงตัวเดียวก็สามารถนำไปสู่อุบัติเหตุร้ายแรงได้
โชคดีที่ทุกอย่างดูปกติ
แต่อีกด้านหนึ่งนั้น นักสัตววิทยาที่ได้รับข่าวนี้กลับเริ่มโต้เถียงกันอย่างดุเดือดว่าปรากฏการณ์นี้เป็นสัญญาณเตือนถึงภัยพิบัติอะไรหรือไม่ บางส่วนคิดว่าอีกาดำพวกนี้เพียงแค่บินย้ายถิ่นไปทางตะวันออกเท่านั้น มิหนำซ้ำยังนำการปรากฏตัวของอีกาดำฝูงนี้ไปเชื่อมโยงเข้ากับปรากฏการณ์น้ำแข็งขั้วโลกละลายอีกด้วย
นักสัตววิทยาที่ศึกษาสัตว์มามากมายหลายชนิดย่อมไม่มีวันเดาออกว่าอีกาดำพวกนี้ปรากฏตัวขึ้นเพียงเพราะว่าผู้เป็นนายของมันอยู่บนเครื่องบินลำนี้
ตอนที่อีกาดำพวกนี้ตกอยู่ในอาการผิดปกติ ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยย่อมเป็นคนแรกที่รู้สึกถึงเรื่องนี้ได้ ด้วยเหตุนี้เขาจึงรู้ว่ามีใครบางคนใช้อาคมบางอย่างกับพวกมัน และตัดสินใจเดินทางมาที่อวิ๋นกุย
แต่นักค้ามนุษย์ที่เป็นคนสร้างเขตอาคมนั้นกลับยังไม่รู้ตัวว่าเขากำลังเผชิญหน้าอยู่กับใคร เขายังวางแผนที่จะไปพบกับหัวหน้า และจับตัวเด็กน้อยทั้งสองกลับไปแล้วทำให้พวกเขากลายเป็นผีตัวน้อยๆ แทน!
[1] เป็นพื้นที่รอยต่อระหว่างยูนนานและกุ้ยโจว