ด้านนอกรถไฟ ณ โรงแรมรูหนูแห่งหนึ่งในเมืองบี
ปัง!
เด็กวัยรุ่นชื่อแอลถีบประตูตรงหน้าออกด้วยดวงตาวาววับ
“เฮ้ย พวกแกเป็นใครวะ! กล้าบุกเข้ามาแบบนี้ได้ยังไง! ถ้าพวกแกไม่ออกไปตั้งแต่ตอนนี้ ฉันจะโทรเรียกตำรวจ! ได้ยินไหม!”
เฮ่อเหลียนเวยเวยเหลือบมองเจ้าของโรงแรมรูหนูแห่งนี้แล้วหัวเราะออกมาเล็กน้อยขณะกล่าวว่า ”คุณปล่อยให้คนเข้ามาพักในโรงแรมโดยไม่ต้องยืนยันบัตรประชาชน คุณคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นหรือถ้าตำรวจรู้เรื่องนี้”
สีหน้าของเจ้าของโรงแรมหม่นหมองลงทันที จากนั้นเขาจึงเงียบไป
เฮ่อเหลียนเวยเวยผลักเขาออก แล้วสาวเท้าเดินเข้าไปในห้อง เธอปัดนิ้วผ่านถ้วยชาที่อยู่บนโต๊ะกาแฟ แล้วเดินเข้าไปในห้องน้ำ เธอก็ยังไม่เจออะไร แต่ทันทีที่เธอออกมาจากห้องน้ำ เธอก็สังเกตเห็นเตียงขนาดใหญ่ในห้องนั้นได้
เตียงนี้ต่างไปจากเตียงปกติในโรงแรม ดูเหมือนว่าด้านล่างของเตียงจะเป็นพื้นที่ว่าง
พูดให้ชัดเจนก็คือ ผู้ต้องสงสัยไม่ว่าจะรีบออกไปเร็วขนาดนี้ ตั๋วรถไฟที่พวกเธอแกะรอยได้บอกเอาไว้อย่างชัดเจนว่ารถไฟจะออกในอีกสามชั่วโมง
เฮ่อเหลียนเวยเวยหรี่ตาลงพร้อมกับเดินเข้าไปที่เตียง จมูกของนางขยับเล็กน้อยทันทีที่ได้กลิ่นกลิ่นหนึ่ง เดี๋ยวสิ นี่มันกลิ่นอะไร
กลิ่นเนื้อมนุษย์หรือ
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ลังเล เธอย่อตัวลงแล้วเลิกผ้าปูเตียงขึ้นส่องเข้าไปในนั้นทันที!
ยังไม่ทันที่เธอจะได้พูดอะไรออกมา เจ้าของโรงแรมรูหนูแห่งนี้ก็หวีดร้องออกมาด้วยความตกใจ เสียงของเขาสั่นระริก ”น.. นั่นมันอะไรกัน!”
“มองไม่เห็นหรือ ก็ศพน่ะสิ และยังมีถึงสองศพอีกด้วย จากที่เห็น ดูเหมือนพวกเขาคงเพิ่งตายได้ไม่นาน” เฮ่อเหลียนเวยเวยเปิดเปลือกตาของพวกเขาดู ตอนแรกเธอตั้งใจว่าจะอัญเชิญวิญญาณของพวกเขามาเพื่อสอบถาม แต่น่าแปลกที่ในร่างของศพพวกนั้นกลับไม่มีวิญญาณเหลือเลยแม้แต่เสี้ยวเดียว
ความจริงแล้ว นอกจากวิญญาณของศพนี้ โรงแรมรูหนูแห่งนี้ก็ยังจัดว่าสะอาดและไม่มีวิญญาณเร่ร่อนอยู่
สถานการณ์นี้ไม่ปกติ
แม้กระทั่งสถานีรถไฟที่เต็มไปด้วยผู้คนก็ยังเป็นสถานที่ที่มีปราณหยางอุดมสมบูรณ์ที่สุด
แต่ปกติแล้ว สถานีรถไฟมักจะสร้างขึ้นในตำแหน่งที่มีลมถ่ายเทสะดวก ดังนั้นย่อมหมายความว่ารอบสถานีจะมีปราณหยินสะสมอยู่มากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโรงแรมรูหนูสภาพทรุดโทรมพวกนี้ ลูกค้าที่เข้าพักที่นี่มักจะเป็นคนน่าสงสัยมีความคิดผิดศีลธรรม ดังนั้นมันจึงกลายเป็นแหล่งโปรดปรานสำหรับให้บรรดาวิญญาณเร่ร่อนดูดกลืนปราณแห่งความเคียดแค้น
แต่ทำไมที่นี่ถึงไม่มีวิญญาณคนตายอยู่เลยแม้แต่ดวงเดียวล่ะ
เฮ่อเหลียนเวยเวยขมวดคิ้วพลางปัดหน้าจอโทรศัพท์ขึ้นโทรออก ”วานร เจาะเข้าระบบการรถไฟของเมืองบี แล้วใส่ชื่อของสี่คนนี้เข้าไป ตรวจดูสิว่ามีใครในจำนวนนั้นเปลี่ยนตั๋วตัวเองในวินาทีสุดท้ายก่อนรถออกหรือเปล่า”
แตกต่างจากเธอ สีหน้าของเจ้าของโรงแรมรูหนูแห่งนี้ดูหวาดกลัวอย่างสุดแสน หน้าผากของเขาชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อเย็นๆ พร้อมกับพึมพำว่า ”ทำยังไงดี พวกเขามาตายที่นี่ได้ยังไง เป็นเพราะกินของที่ไม่ควรกินหรือ หรือเป็นเพราะเสพยา”
“ไม่ใช่ทั้งสองอย่าง พวกเขาตายด้วยเหตุผิดธรรมชาติ ถ้าฉันเป็นคุณ ฉันคงไม่เอาแต่ยืนอยู่ตรงนี้ แต่ไปโทรหาตำรวจทันทีแล้ว” เฮ่อเหลียนเวยเวยพูดขณะเดินออกมา ในเมื่อพวกเขาตายไปแล้ว พวกเขาย่อมไม่มีเบาะแสที่เป็นประโยชน์อะไรสำหรับพวกเธอ
ดวงตาของเจ้าของโรงแรมรูหนูเบิกกว้าง เขาพูดตะกุกตะกักว่า ”คุณ พวกคุณเป็นใครกันแน่!”
หลังจากคนพวกนี้บุกเข้ามา ก็มีศพถูกพบในห้องทันที!
ไม่เคยมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นในโรงแรมของฉันมาก่อน!
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่สนใจจะตอบคำถามนั้นอีกต่อไป เด็กหนุ่มวัยรุ่นยิ่งหน้านิ่งกว่าเธอเสียอีก เขาเดินออกจากโรงแรมรูหนูพร้อมกับรองเท้าบูทสูง เด็กหนุ่มอยู่ในชุดสีดำสนิท และชุดนั้นทำให้เขาดูเหมือนทหารของกองกำลังพิเศษจากหนังสักเรื่องไม่มีผิด
“ลูกพี่ เจอตัวพวกเขาแล้วครับ” เฮ่อเหลียนเวยเวยยังไม่ได้วางสายเมื่อครู่ มือของวานรวางอยู่บนเมาส์คอมพิวเตอร์ ดวงตาของเขาเป็นประกาย เขามองเฮ่อเหลียนเวยเวยแล้วบอกว่า ”มีผู้โดยสารสองคนเพิ่งเปลี่ยนกำหนดการณ์การเดินทางในวินาทีสุดท้ายครับ ผมจะส่งรายละเอียดไปในข้อความ คนจากองค์กรอื่นๆ ให้ข้อมูลกับเรามาด้วยว่าก่อนหน้านี้หัวหน้ากลุ่มค้ามนุษย์ในแผ่นดินใหญ่มักจะรวมตัวกันที่เมืองอวิ๋นกุย แต่พวกเขาเพิ่งเปลี่ยนสถานที่นัดหมายเมื่อเร็วๆ นี้เองครับ พวกเขาจะทำการซื้อขายกันบนรถไฟแทน เดี๋ยวผมจะส่งรายละเอียดของรถไฟขบวนนี้ไปให้ลูกพี่ด้วยก็แล้วกันนะครับ”
“ดีมาก” เฮ่อเหลียนเวยเวยพูดก่อนวางหูโทรศัพท์ จากนั้นจึงวาดขาเพรียวยาวขึ้นคร่อมรถโทมาฮอว์ก ตอนนี้เธอค่อนข้างมั่นใจทีเดียวว่าคนที่เปลี่ยนตั๋วตัวเองในนาทีสุดท้ายพวกนั้นคือนักค้ามนุษย์ที่พวกเธอกำลังตามหาอยู่ ”แอล นายไม่ต้องมากับฉันแล้ว ส่งข้อความไปบอกพี่น้องของเราว่าให้พวกเขามุ่งหน้าไปที่รถไฟขบวนที่วานรบอก จำไว้ให้ดีล่ะว่าพวกเรายังอยู่ในแผ่นดินใหญ่ ดังนั้นอย่าลืมแยกส่วนอุปกรณ์ของเราก่อนเอาขึ้นรถด้วยล่ะ” เฮ่อเหลียนพูดพลางสวมหมวกกันน็อก แล้วพูดต่อด้วยรอยยิ้มว่า ”ตอนนี้พวกนายต้องอยู่เงียบๆ ไม่แหวกหญ้าให้งูตื่น ฉันกับเสี่ยวชิงเฉิงจะไปถึงในอีกไม่ช้า”
แอลรู้ว่าครั้งนี้ลูกพี่กำลังจะเอาจริง เธอถึงกับพูดถึงอุปกรณ์พวกนั้นขึ้นมาเลยทีเดียว เห็นได้ชัดว่าลูกพี่คงไม่คิดที่จะปล่อยพวกมันไปอย่างแน่นอน
“เอส จิน เหล่าเอ ได้ยินที่ลูกพี่บอกหรือเปล่า” เด็กวัยรุ่นที่ชื่อแอล ถามขึ้นพลางแตะบลูทูธที่หู
รถสปอร์ตห้าคันบนทางด่วนเปลี่ยนเส้นทางโดยพร้อมเพรียงกัน หน้าจอแบ่งออกเป็นห้าส่วน คนที่อยู่ในแต่ละจอดูเท่อย่างมากตอนที่พวกเขาตอบว่า ”รับทราบ จุดนัดพบคือที่ยูนนานสินะ”
เสียงสายลมพัดหวือผ่านอากาศดังขึ้นในทันใด
ตัวถังของรถบีเอ็มดับเบิลยูรุ่น S1000R กลายเป็นลำแสงสว่างไสวขณะที่มันพุ่งตัวเข้าสู่ความมืด
ชายสวมเสื้อเชิ้ตสีฟ้าที่อยู่บนรถไฟยังพิงตัวเข้ากับผนังของตู้โดยสารจนกระทั่งเขาได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น
เขาก้มหน้าลงรับโทรศัพท์สายนั้นอย่างรวดเร็ว ”หัวหน้าหรือครับ?”
“ตั้งใจฟังให้ดี ตอนนี้มีหลายองค์กรกำลังตามหาตัวพวกเราอยู่ ระวังตัวให้มากเวลาจะเคลื่อนไหวทำอะไร อย่าเปิดเผยเส้นทางของตัวเองให้พวกเขารู้เด็ดขาด” คนที่อยู่ปลายสายไม่ใช่หัวหน้า แต่เป็นพี่ใหญ่คนหนึ่งที่เขาเคยติดตามมาก่อน
ทันทีที่นักค้ามนุษย์ได้ยินว่ามีคนจากหลายองค์กรตามจี้หลังเขามาติดๆ เขาก็รู้สึกชาวาบไปทั้งหนังศีรษะ ”พี่ใหญ่ มันกลายเป็นแบบนี้ได้ยังไงกันครับ พวกเราไม่เคยข้องแวะกับพวกคนกลุ่มนั้นเลยนี่ครับ”
“ฉันจะไปรู้ได้ยังไงวะ!” เสียงของพี่ใหญ่ติดจะสั่นเล็กน้อย น้ำเสียงของเขาดูจนใจ ”ไม่ใช่แค่ในแผ่นดินใหญ่เท่านั้น แต่องค์กรทั่วทั้งทวีปเอเชียต่างก็เคลื่อนไหวพร้อมกัน มันเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แต่นายไม่ต้องห่วง ยังไงตอนนี้คนพวกนั้นก็อยู่ในถิ่นของเรา ยิ่งกว่านั้น อย่าลืมว่าต่อให้องค์กรพวกนั้นจะมีฝีมือ แต่พวกมันส่วนใหญ่ก็ยังไม่กล้าก่อเรื่องในจีนแผ่นดินใหญ่ ที่นี่อยู่ใต้การคุ้มครองของสำนักถัง ดังนั้นพวกมันต้องคิดให้มากก่อนลงมือ”
นักค้ามนุษย์ยังรู้สึกไม่สบายใจแม้จะได้ยินประโยคนั้น เขาจึงตอบกลับไปว่า ”แต่พี่ใหญ่ พี่เคยบอกว่าพวกเราไม่ควรให้สำนักถังรู้ถึงงานของเรานี่ครับ ถ้าสำนักถังรู้เข้า พวกเขาจะต้องตามล่าพวกเราแน่”
“ไม่ต้องกังวล สำนักถังคงไม่ลงมือกับเรื่องเล็กน้อยแค่นี้หรอก ยิ่งกว่านั้นเราก็มีหัวหน้าอยู่ทั้งคน ไม่ว่าเรื่องอะไรเราก็สามารถซ่อนมันไว้ใต้พรมได้ทั้งนั้น ตราบใดที่เราติดตามหัวหน้า เราก็จะปลอดภัย” คำพูดของพี่ใหญ่ฟังดูเหมือนกำลังปลอบใจตัวเองมากกว่าปลอบใจนักค้ามนุษย์คนนั้น
แต่คำอธิบายนั้นดูเหมือนจะได้ผลกับนักค้ามนุษย์คนนั้น เขารู้สึกว่าตราบใดที่เขามียันต์ของหัวหน้าอยู่ด้วย เขาย่อมไม่มีวันถูกเปิดโปง หัวหน้าให้การคุ้มครองเขาอยู่ ดังนั้นต่อให้คนพวกนั้นต้องการหาตัวเขา มันก็คงไม่ใช่งานที่ง่ายนัก
แต่เขายังไม่รู้ตัวเลยแม้แต่นิดเดียวว่าในขณะที่เขากำลังคุยโทรศัพท์อยู่นั้น เด็กน้อยสองคนที่อยู่ในตู้โดยสารไม่ไกลกันนักกลับจับตาดูเขามาได้ระยะหนึ่งแล้ว
เสี่ยวชิงเฉิงมองโทรศัพท์มือถือของเขา ด้านนอกรถไฟ ณ โรงแรมรูหนูแห่งหนึ่งในเมืองบี
ปัง!
เด็กวัยรุ่นชื่อแอลถีบประตูตรงหน้าออกด้วยดวงตาวาววับ
“เฮ้ย พวกแกเป็นใครวะ! กล้าบุกเข้ามาแบบนี้ได้ยังไง! ถ้าพวกแกไม่ออกไปตั้งแต่ตอนนี้ ฉันจะโทรเรียกตำรวจ! ได้ยินไหม!”
เฮ่อเหลียนเวยเวยเหลือบมองเจ้าของโรงแรมรูหนูแห่งนี้แล้วหัวเราะออกมาเล็กน้อยขณะกล่าวว่า ”คุณปล่อยให้คนเข้ามาพักในโรงแรมโดยไม่ต้องยืนยันบัตรประชาชน คุณคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นหรือถ้าตำรวจรู้เรื่องนี้”
สีหน้าของเจ้าของโรงแรมหม่นหมองลงทันที จากนั้นเขาจึงเงียบไป
เฮ่อเหลียนเวยเวยผลักเขาออก แล้วสาวเท้าเดินเข้าไปในห้อง เธอปัดนิ้วผ่านถ้วยชาที่อยู่บนโต๊ะกาแฟ แล้วเดินเข้าไปในห้องน้ำ เธอก็ยังไม่เจออะไร แต่ทันทีที่เธอออกมาจากห้องน้ำ เธอก็สังเกตเห็นเตียงขนาดใหญ่ในห้องนั้นได้
เตียงนี้ต่างไปจากเตียงปกติในโรงแรม ดูเหมือนว่าด้านล่างของเตียงจะเป็นพื้นที่ว่าง
พูดให้ชัดเจนก็คือ ผู้ต้องสงสัยไม่ว่าจะรีบออกไปเร็วขนาดนี้ ตั๋วรถไฟที่พวกเธอแกะรอยได้บอกเอาไว้อย่างชัดเจนว่ารถไฟจะออกในอีกสามชั่วโมง
เฮ่อเหลียนเวยเวยหรี่ตาลงพร้อมกับเดินเข้าไปที่เตียง จมูกของนางขยับเล็กน้อยทันทีที่ได้กลิ่นกลิ่นหนึ่ง เดี๋ยวสิ นี่มันกลิ่นอะไร
กลิ่นเนื้อมนุษย์หรือ
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ลังเล เธอย่อตัวลงแล้วเลิกผ้าปูเตียงขึ้นส่องเข้าไปในนั้นทันที!
ยังไม่ทันที่เธอจะได้พูดอะไรออกมา เจ้าของโรงแรมรูหนูแห่งนี้ก็หวีดร้องออกมาด้วยความตกใจ เสียงของเขาสั่นระริก ”น.. นั่นมันอะไรกัน!”
“มองไม่เห็นหรือ ก็ศพน่ะสิ และยังมีถึงสองศพอีกด้วย จากที่เห็น ดูเหมือนพวกเขาคงเพิ่งตายได้ไม่นาน” เฮ่อเหลียนเวยเวยเปิดเปลือกตาของพวกเขาดู ตอนแรกเธอตั้งใจว่าจะอัญเชิญวิญญาณของพวกเขามาเพื่อสอบถาม แต่น่าแปลกที่ในร่างของศพพวกนั้นกลับไม่มีวิญญาณเหลือเลยแม้แต่เสี้ยวเดียว
ความจริงแล้ว นอกจากวิญญาณของศพนี้ โรงแรมรูหนูแห่งนี้ก็ยังจัดว่าสะอาดและไม่มีวิญญาณเร่ร่อนอยู่
สถานการณ์นี้ไม่ปกติ
แม้กระทั่งสถานีรถไฟที่เต็มไปด้วยผู้คนก็ยังเป็นสถานที่ที่มีปราณหยางอุดมสมบูรณ์ที่สุด
แต่ปกติแล้ว สถานีรถไฟมักจะสร้างขึ้นในตำแหน่งที่มีลมถ่ายเทสะดวก ดังนั้นย่อมหมายความว่ารอบสถานีจะมีปราณหยินสะสมอยู่มากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโรงแรมรูหนูสภาพทรุดโทรมพวกนี้ ลูกค้าที่เข้าพักที่นี่มักจะเป็นคนน่าสงสัยมีความคิดผิดศีลธรรม ดังนั้นมันจึงกลายเป็นแหล่งโปรดปรานสำหรับให้บรรดาวิญญาณเร่ร่อนดูดกลืนปราณแห่งความเคียดแค้น
แต่ทำไมที่นี่ถึงไม่มีวิญญาณคนตายอยู่เลยแม้แต่ดวงเดียวล่ะ
เฮ่อเหลียนเวยเวยขมวดคิ้วพลางปัดหน้าจอโทรศัพท์ขึ้นโทรออก ”วานร เจาะเข้าระบบการรถไฟของเมืองบี แล้วใส่ชื่อของสี่คนนี้เข้าไป ตรวจดูสิว่ามีใครในจำนวนนั้นเปลี่ยนตั๋วตัวเองในวินาทีสุดท้ายก่อนรถออกหรือเปล่า”
แตกต่างจากเธอ สีหน้าของเจ้าของโรงแรมรูหนูแห่งนี้ดูหวาดกลัวอย่างสุดแสน หน้าผากของเขาชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อเย็นๆ พร้อมกับพึมพำว่า ”ทำยังไงดี พวกเขามาตายที่นี่ได้ยังไง เป็นเพราะกินของที่ไม่ควรกินหรือ หรือเป็นเพราะเสพยา”
“ไม่ใช่ทั้งสองอย่าง พวกเขาตายด้วยเหตุผิดธรรมชาติ ถ้าฉันเป็นคุณ ฉันคงไม่เอาแต่ยืนอยู่ตรงนี้ แต่ไปโทรหาตำรวจทันทีแล้ว” เฮ่อเหลียนเวยเวยพูดขณะเดินออกมา ในเมื่อพวกเขาตายไปแล้ว พวกเขาย่อมไม่มีเบาะแสที่เป็นประโยชน์อะไรสำหรับพวกเธอ
ดวงตาของเจ้าของโรงแรมรูหนูเบิกกว้าง เขาพูดตะกุกตะกักว่า ”คุณ พวกคุณเป็นใครกันแน่!”
หลังจากคนพวกนี้บุกเข้ามา ก็มีศพถูกพบในห้องทันที!
ไม่เคยมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นในโรงแรมของฉันมาก่อน!
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่สนใจจะตอบคำถามนั้นอีกต่อไป เด็กหนุ่มวัยรุ่นยิ่งหน้านิ่งกว่าเธอเสียอีก เขาเดินออกจากโรงแรมรูหนูพร้อมกับรองเท้าบูทสูง เด็กหนุ่มอยู่ในชุดสีดำสนิท และชุดนั้นทำให้เขาดูเหมือนทหารของกองกำลังพิเศษจากหนังสักเรื่องไม่มีผิด
“ลูกพี่ เจอตัวพวกเขาแล้วครับ” เฮ่อเหลียนเวยเวยยังไม่ได้วางสายเมื่อครู่ มือของวานรวางอยู่บนเมาส์คอมพิวเตอร์ ดวงตาของเขาเป็นประกาย เขามองเฮ่อเหลียนเวยเวยแล้วบอกว่า ”มีผู้โดยสารสองคนเพิ่งเปลี่ยนกำหนดการณ์การเดินทางในวินาทีสุดท้ายครับ ผมจะส่งรายละเอียดไปในข้อความ คนจากองค์กรอื่นๆ ให้ข้อมูลกับเรามาด้วยว่าก่อนหน้านี้หัวหน้ากลุ่มค้ามนุษย์ในแผ่นดินใหญ่มักจะรวมตัวกันที่เมืองอวิ๋นกุย แต่พวกเขาเพิ่งเปลี่ยนสถานที่นัดหมายเมื่อเร็วๆ นี้เองครับ พวกเขาจะทำการซื้อขายกันบนรถไฟแทน เดี๋ยวผมจะส่งรายละเอียดของรถไฟขบวนนี้ไปให้ลูกพี่ด้วยก็แล้วกันนะครับ”
“ดีมาก” เฮ่อเหลียนเวยเวยพูดก่อนวางหูโทรศัพท์ จากนั้นจึงวาดขาเพรียวยาวขึ้นคร่อมรถโทมาฮอว์ก ตอนนี้เธอค่อนข้างมั่นใจทีเดียวว่าคนที่เปลี่ยนตั๋วตัวเองในนาทีสุดท้ายพวกนั้นคือนักค้ามนุษย์ที่พวกเธอกำลังตามหาอยู่ ”แอล นายไม่ต้องมากับฉันแล้ว ส่งข้อความไปบอกพี่น้องของเราว่าให้พวกเขามุ่งหน้าไปที่รถไฟขบวนที่วานรบอก จำไว้ให้ดีล่ะว่าพวกเรายังอยู่ในแผ่นดินใหญ่ ดังนั้นอย่าลืมแยกส่วนอุปกรณ์ของเราก่อนเอาขึ้นรถด้วยล่ะ” เฮ่อเหลียนพูดพลางสวมหมวกกันน็อก แล้วพูดต่อด้วยรอยยิ้มว่า ”ตอนนี้พวกนายต้องอยู่เงียบๆ ไม่แหวกหญ้าให้งูตื่น ฉันกับเสี่ยวชิงเฉิงจะไปถึงในอีกไม่ช้า”
แอลรู้ว่าครั้งนี้ลูกพี่กำลังจะเอาจริง เธอถึงกับพูดถึงอุปกรณ์พวกนั้นขึ้นมาเลยทีเดียว เห็นได้ชัดว่าลูกพี่คงไม่คิดที่จะปล่อยพวกมันไปอย่างแน่นอน
“เอส จิน เหล่าเอ ได้ยินที่ลูกพี่บอกหรือเปล่า” เด็กวัยรุ่นที่ชื่อแอล ถามขึ้นพลางแตะบลูทูธที่หู
รถสปอร์ตห้าคันบนทางด่วนเปลี่ยนเส้นทางโดยพร้อมเพรียงกัน หน้าจอแบ่งออกเป็นห้าส่วน คนที่อยู่ในแต่ละจอดูเท่อย่างมากตอนที่พวกเขาตอบว่า ”รับทราบ จุดนัดพบคือที่ยูนนานสินะ”
เสียงสายลมพัดหวือผ่านอากาศดังขึ้นในทันใด
ตัวถังของรถบีเอ็มดับเบิลยูรุ่น S1000R กลายเป็นลำแสงสว่างไสวขณะที่มันพุ่งตัวเข้าสู่ความมืด
ชายสวมเสื้อเชิ้ตสีฟ้าที่อยู่บนรถไฟยังพิงตัวเข้ากับผนังของตู้โดยสารจนกระทั่งเขาได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น
เขาก้มหน้าลงรับโทรศัพท์สายนั้นอย่างรวดเร็ว ”หัวหน้าหรือครับ?”
“ตั้งใจฟังให้ดี ตอนนี้มีหลายองค์กรกำลังตามหาตัวพวกเราอยู่ ระวังตัวให้มากเวลาจะเคลื่อนไหวทำอะไร อย่าเปิดเผยเส้นทางของตัวเองให้พวกเขารู้เด็ดขาด” คนที่อยู่ปลายสายไม่ใช่หัวหน้า แต่เป็นพี่ใหญ่คนหนึ่งที่เขาเคยติดตามมาก่อน
ทันทีที่นักค้ามนุษย์ได้ยินว่ามีคนจากหลายองค์กรตามจี้หลังเขามาติดๆ เขาก็รู้สึกชาวาบไปทั้งหนังศีรษะ ”พี่ใหญ่ มันกลายเป็นแบบนี้ได้ยังไงกันครับ พวกเราไม่เคยข้องแวะกับพวกคนกลุ่มนั้นเลยนี่ครับ”
“ฉันจะไปรู้ได้ยังไงวะ!” เสียงของพี่ใหญ่ติดจะสั่นเล็กน้อย น้ำเสียงของเขาดูจนใจ ”ไม่ใช่แค่ในแผ่นดินใหญ่เท่านั้น แต่องค์กรทั่วทั้งทวีปเอเชียต่างก็เคลื่อนไหวพร้อมกัน มันเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แต่นายไม่ต้องห่วง ยังไงตอนนี้คนพวกนั้นก็อยู่ในถิ่นของเรา ยิ่งกว่านั้น อย่าลืมว่าต่อให้องค์กรพวกนั้นจะมีฝีมือ แต่พวกมันส่วนใหญ่ก็ยังไม่กล้าก่อเรื่องในจีนแผ่นดินใหญ่ ที่นี่อยู่ใต้การคุ้มครองของสำนักถัง ดังนั้นพวกมันต้องคิดให้มากก่อนลงมือ”
นักค้ามนุษย์ยังรู้สึกไม่สบายใจแม้จะได้ยินประโยคนั้น เขาจึงตอบกลับไปว่า ”แต่พี่ใหญ่ พี่เคยบอกว่าพวกเราไม่ควรให้สำนักถังรู้ถึงงานของเรานี่ครับ ถ้าสำนักถังรู้เข้า พวกเขาจะต้องตามล่าพวกเราแน่”
“ไม่ต้องกังวล สำนักถังคงไม่ลงมือกับเรื่องเล็กน้อยแค่นี้หรอก ยิ่งกว่านั้นเราก็มีหัวหน้าอยู่ทั้งคน ไม่ว่าเรื่องอะไรเราก็สามารถซ่อนมันไว้ใต้พรมได้ทั้งนั้น ตราบใดที่เราติดตามหัวหน้า เราก็จะปลอดภัย” คำพูดของพี่ใหญ่ฟังดูเหมือนกำลังปลอบใจตัวเองมากกว่าปลอบใจนักค้ามนุษย์คนนั้น
แต่คำอธิบายนั้นดูเหมือนจะได้ผลกับนักค้ามนุษย์คนนั้น เขารู้สึกว่าตราบใดที่เขามียันต์ของหัวหน้าอยู่ด้วย เขาย่อมไม่มีวันถูกเปิดโปง หัวหน้าให้การคุ้มครองเขาอยู่ ดังนั้นต่อให้คนพวกนั้นต้องการหาตัวเขา มันก็คงไม่ใช่งานที่ง่ายนัก
แต่เขายังไม่รู้ตัวเลยแม้แต่นิดเดียวว่าในขณะที่เขากำลังคุยโทรศัพท์อยู่นั้น เด็กน้อยสองคนที่อยู่ในตู้โดยสารไม่ไกลกันนักกลับจับตาดูเขามาได้ระยะหนึ่งแล้ว
เสี่ยวชิงเฉิงมองโทรศัพท์มือถือของเขา