เวลานี้เมื่อผู้ขับไล่วิญญาณร้ายได้ยินคำพูดของชายชรา พวกเขาก็เริ่มพูดคุยกันในหมู่ตัวเองทันทีว่า ”คนผู้นี้จากตระกูลจูเก่อช่างสุดยอดเสียไม่มี ข้าเคยคิดว่าพวกเขามาถึงที่นี่ได้เป็นกลุ่มแรกก็เพราะโชคช่วย แต่จากที่เห็นตอนนี้ ความสามารถของพวกเขานั้นสูสีกับตระกูลหนีเลยทีเดียว น่าทึ่งจริงๆ!”
“จริงแท้แน่นอนที่สุด แม้กระทั่งผู้เฒ่าหลี่ก็ยังยอมรับพวกเขาเชียวหรือ!” ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายเพิ่มเสียงขึ้น
หนีหู่รู้สึกไม่พอใจทันทีที่ได้ยินบทสนทนาของพวกเขา เมื่อนึกถึงเสียงหัวเราะเยาะที่เขาได้รับเมื่อครู่สลับกับการได้เห็นทุกคนปฏิบัติต่อพวกจูเก่ออวิ๋นอย่างวีรบุรุษ ความรู้สึกเดือดดาลอย่างรุนแรงก็กลืนกินไปทั่วสมองของเขา
“ที่เขาทำทั้งหมดก็มีแค่เปิดประตูสุสานเท่านั้น มันจะวิเศษวิโสถึงเพียงใดกันเชียว” หนีหู่ก้าวเท้าออกไปพร้อมกับข้ารับใช้ที่ยืนอยู่ข้างกาย พร้อมกับเอ่ยว่า ”ศิษย์คนใดในตระกูลหนีก็สามารถทำได้ทั้งนั้น”
“เจ้า…” จูเก่ออวิ๋นไม่พอใจ และกำลังจะเดินเข้าไปหาเขา แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยก็ยื่นแขนออกไปขวางทางเขา
จูเก่ออวิ๋นหันหน้าไปด้วยความงุนงง
เฮ่อเหลียนเวยเวยเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มมีเลศนัย ”ปล่อยเขาไปเถอะ”
“ทำไมล่ะขอรับ” คนที่เปิดประตูสุสานเป็นคนแรกก็คือพวกเขามิใช่หรือ จูเก่ออวิ๋นยิ่งรู้สึกงง เขายกมือขึ้นเกาหลังศีรษะตัวเอง
หนีหู่เดินต่ออย่างวางมาด ศิษย์สองคนจากตระกูลหนีที่ยืนอยู่ทางซ้ายและขวาของเขาคิดว่าคงไม่มีอะไรเกิดขึ้น ดังนั้นพวกเขาจึงผลักประตูอีกครึ่งบานที่เหลือออกอย่างไม่ลังเล
หนีหู่ยิ้มพร้อมกับจ้องมองไปทางพวกเฮ่อเหลียนเวยเวยด้วยสายตาเต็มไปด้วยความดูถูก…
แต่พวกเขากลับไม่คิดว่าศิษย์สองคนของตระกูลหนีจะถูกอาคมบางอย่างทำให้ล้มลงไปข้างหน้าทันที!
มุมปากของพวกเขากระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้มอันน่าขนลุกราวกับว่าพวกเขาได้เห็นบางสิ่งก่อนตาย
สีหน้าของหนีหู่เปลี่ยนไปในทันใด และแม้กระทั่งขาของเขาก็ยังสั่นระริก หากไม่ใช่เพราะศิษย์สองคนนั้นเดินนำออกไปก่อน ป่านนี้เขาก็คงได้ตายไปแล้ว!
มันเป็นความรู้สึกหวาดกลัวที่เขาไม่เคยพบมาก่อน หนีหู่รู้สึกเหมือนมีมือที่มองไม่เห็นกำลังกำรอบหัวใจของเขาเอาไว้แน่นจนทำให้เขายากจะหายใจออกมาได้!
ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายคนอื่นๆ กลัวจนตัวแข็ง ความหวาดกลัวอันท่วมท้นในดวงตาของเขาสะท้อนให้เห็นภาพของผู้ตายสองคนนั้น
หนีเปียวตอบสนองได้ว่องไวเป็นที่สุด เขารีบดึงหนีหู่กลับมาเพราะกลัวว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับบุตรชายของเขา
ความเงียบโรยตัวลงทั่วทั้งบริเวณ
ไม่มีใครคิดว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นเพราะพวกเขาเพิ่งพูดคุยเล่นหัวกันไปเมื่อครู่ แต่ในเวลาต่อมากลับมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นเสียแล้ว
สิ่งที่ทำให้พวกเขารู้สึกไม่สบายใจที่สุดเห็นจะเป็นเพราะว่าเรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้นโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้าแต่อย่างใด!
ไม่ว่าจะเป็นวิญญาณอาฆาตหรือวิญญาณร้าย พวกเขาก็ไม่เห็นพวกมันเลยสักตัวเดียว สิ่งเดียวที่สองคนนั้นทำก็มีเพียงแค่การผลักประตูออก และตายอย่างไม่ทราบสาเหตุเท่านั้น
สีหน้าของผู้ขับไล่วิญญาณร้ายเริ่มแปลกไป บรรยากาศตึงเครียดค่อยๆ แพร่กระจายออกไปในหมู่ฝูงชนทีละน้อย
“พวกเราระวังตัวกันให้มากขึ้นจะดีกว่า” ใครบางคนพยายามเตือนคนอื่นๆ ”สุสานหลวงเป็นสุสานโบราณมีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่าหนึ่งพันปี มันย่อมแตกต่างจากสุสานทั่วไปที่พวกเราเคยเจอ อย่าผลีผลามเดินเข้าไปจะดีกว่า”
เห็นได้ชัดว่าคำพูดพวกนี้ล้วนแต่จงใจพูดถึงคุณชายแห่งตระกูลหนีที่พยายามอวดเก่ง
หนีเปียวโมโหทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น แต่เขาก็ไม่ได้แสดงความโกรธนั้นออกมาทางสีหน้า อย่างไรมันก็เป็นเรื่องจริงที่พวกเขาไม่ควรประมาทในสถานการณ์นี้
“ว่าแต่ พวกเขาตายได้อย่างไร”
คำถามนี้ทำให้ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายทุกคนต่างหวาดกลัวอย่างยิ่ง
พวกเขาไม่ได้กลัวภูตผีหรือปีศาจ เพราะอย่างน้อยพวกเขาก็สามารถมองเห็นพวกมันได้
ที่พวกเขาหวาดกลัวที่สุดก็คือสิ่งที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของพวกเขา
จูเก่ออวิ๋นมองไปที่ใบหน้าด้านข้างของเฮ่อเหลียนเวยเวย ด้วยเหตุผลบางประการที่เขาก็ไม่รู้ว่าอะไร แต่สัญชาตญาณของเขาบอกเขาว่าพี่เว่ยจะต้องรู้คำตอบของมันอย่างแน่นอน
เฮ่อเหลียนเวยเวยส่งยิ้มให้เขา แน่นอนว่านางรู้เรื่องนี้ดี ”ก๊าซไร้สีไร้กลิ่นชนิดนี้เป็นสารพิษชนิดหนึ่ง สุสานไม่ได้เปิดมาเป็นเวลานาน ดังนั้นเมื่ออากาศระเหยออกไปจนหมด สิ่งเดียวที่เหลืออยู่จึงมีแค่ก๊าซไร้สีไร้กลิ่นที่เป็นอันตรายต่อร่างกายมนุษย์เท่านั้น ถ้าเจ้าไม่ระวังตัวให้ดี เจ้าอาจจะพลาดท่าเข้าก็ได้”
คำพูดแค่ไม่กี่คำนั้นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้สายตาของบรรดาผู้ขับไล่วิญญาณร้ายหันมาจับจ้องอยู่ที่นางอีกครั้ง
“ทำไมคนคนนี้ถึงรอบรู้ไปเสียทุกอย่าง!”
“ยอดเยี่ยมยิ่งนัก! เขายังเป็นมือสมัครเล่นอยู่จริงๆ หรือ ดูไม่เหมือนเอาเสียเลย!”
“บนร่างของเขาไม่มีพลังวิญญาณเลยแม้แต่นิดเดียว แต่พวกเจ้าลองคิดให้ดีๆ สิ สิ่งที่เขาพูดมาไม่ได้อยู่ในคู่มือศาสตร์แห่งการขับไล่วิญญาณร้ายด้วยซ้ำ”
“สรุปก็คือ เขาไม่รู้เรื่องการขับไล่วิญญาณร้าย แต่รู้จักสุสานโบราณเป็นอย่างดีหรือ”
“ข้าว่าเขารู้มากกว่านั้นเสียอีก เจ้าไม่ได้ยินที่ผู้เฒ่าหลี่พูดหรือ เขาบอกว่าถ้ามีคนคนนี้อยู่ ก็คงไม่มีความจำเป็นที่เขาจะต้องติดตามพวกเรามาไกลถึงเพียงนี้ พูดเช่นนี้ย่อมหมายความความรู้ของเขาอยู่ในระดับเดียวกันกับผู้เฒ่าหลี่เลยทีเดียว”
“อยู่ในระดับเดียวกับผู้เฒ่าหลี่หรือ” บางคนถึงกับตกใจ!
จากการมองข้ามพวกเขาในตอนแรก จนกระทั่งถึงความประหลาดใจที่รู้สึกได้ในเวลานี้ ทำเอาผู้ขับไล่วิญญาณร้ายถึงกับไม่สามารถบรรยายความรู้สึกของตัวเองออกมาได้อีกต่อไป
ในที่สุดพวกเขาก็ตระหนักได้แล้วว่าตระกูลจูเก่อในเวลานี้แข็งแกร่งเพียงใด!
หนีเปียวหรี่ตาลงอย่างมีเลศนัยทันทีที่ไม่มีใครเห็น ดูเหมือนเขาคงต้องกำจัดเจ้าพวกหนามตำตาทั้งสามคนนี้ให้ได้เสียแล้ว!
ทั้งหมดที่พวกเขารู้เกี่ยวกับสุสานหลวงก็มีเพียงแค่ศาสตร์เรื่องยันต์แปดทิศเท่านั้น แต่พวกเขากลับกล้าทำให้ตระกูลหนีต้องอับอายขายหน้าหลายต่อหลายครั้ง ถ้าเขาไม่รีบกำจัดคนพวกนี้ พวกเขาจะต้องกลายเป็นตัวปัญหาสำหรับตระกูลหนีต่อไปอย่างแน่นอน!
เขาจะปล่อยให้มีอุปสรรคขวางทางเขาเอาไว้ไม่ได้เด็ดขาด
ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมในการลงมือ รอจนกว่าพวกเราจะเข้าไปในสุสานแล้วดีกว่า ทันทีที่แต่ละกลุ่มเริ่มแยกกัน ข้าจะให้เจ้าสามคนนี้ได้ลิ้มรสกับเล่ห์เหลี่ยมของตระกูลหนี!
จนกระทั่งถึงตอนนี้ หนีเปียวก็ยังไม่คิดว่าคนพวกนี้เป็นภัยต่อเขา แน่นอนว่าความรู้เรื่องสุสานย่อมเป็นประโยชน์ต่อพวกเขาอย่างมาก แต่ในการไปให้ถึงจุดหมายปลายทางของการเดินทางครั้งนี้จำเป็นต้องพึ่งพาพลังวิญญาณและศาสตร์แห่งการขับไล่วิญญาณร้าย แต่สองในสามของพวกเขากลับไม่รู้จักกระทั่งการบำเพ็ญพลังวิญญาณเลยด้วยซ้ำ
คนกลุ่มนี้จะได้ลิ้มรสชาติแห่งชัยชนะก็เพียงแค่ในตอนแรกเท่านั้น
ในไม่ช้า พวกเขาจะต้องร้องไห้อย่างน่าสมเพชแน่!
ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายบางส่วนคิดเช่นเดียวกันกับหนีเปียว แม้พวกเขาจะแสดงความชื่นชมออกมา แต่พวกเขาก็รู้ดีว่าตัวเองต้องรู้จักมองภาพให้กว้างกว่านี้ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้ร่วมบทสนทนากับคนอื่นๆ แต่กลับเบนสายตาไปจับจ้องอยู่ที่โจรปล้นสุสานชราที่ยังดูเหม่อลอยอยู่ ”ผู้เฒ่าหลี่ พวกเราไปต่อกันได้หรือยัง”
ผู้เฒ่าหลี่เพิ่งตั้งสติกลับมาได้ก็ในตอนนั้นนั่นเอง ”ได้ ไปกันเถอะ เดินระวังๆ กันด้วย”
“เข้าใจแล้ว” แม้จะไม่มีคำเตือนจากผู้เฒ่าหลี่ แต่ทุกคนก็ระวังตัวกันมากขึ้นทีเดียว พวกเขาไม่ประมาทเลยแม้แต่น้อย ทุกคนค่อยๆ เดินเข้าไปในสุสานอย่างช้าๆ แต่มั่นคงพร้อมทั้งจงใจเลี่ยงศพที่อยู่บนพื้นไปด้วย
ในสุสานหลวงจัดว่ากว้างขวาง สถานที่แห่งนี้ยิ่งใหญ่อลังการราวกับพระราชวังใต้ดิน แม้กระทั่งพื้นดินที่พวกเขาย่ำลงไปก็ยังทำมาจากหิน อีกทั้งยังมีรูปปั้นอยู่อีกเป็นจำนวนมาก
“เจ้าพวกนี้มันอะไรกัน” ศิษย์คนหนึ่งของตระกูลหนียื่นมือออกไปด้วยความสงสัย แล้วชี้ไปยังสิ่งที่หน้าตาเหมือนเหล็กสีดำสนิทซึ่งคลุมทับรูปปั้นพวกนั้นเอาไว้ แม้จะจ้องมองอยู่นาน แต่เขาก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไรกันแน่ สิ่งเดียวที่เขามองเห็นก็คือแสงเรืองรองที่มันแผ่ออกมาเท่านั้น
ผู้เฒ่าหลี่ตะโกนขึ้นทันทีที่เขาเห็นเช่นนั้น ”อย่าจับ!”
ศิษย์ของตระกูลหนีตัวสั่นด้วยความกลัวแล้วรีบชักมือกลับทันที!