องครักษ์เสื้อแพร 998 หู่เวย

ตอนที่ 998 หู่เวย

ปืนไฟกองกำลังหมิง ซูเอ่อร์ฮาฉีก็เคยเห็น ตอนรบป้อมเจี้ยฝานไจ้เขาก็บุกแถวหน้าสุดทะลายแนวหน้าป้องกันของกองกำลังหมิง ปืนสามตา[1]หรือปืนฟ้าผ่า[2] ของทหารเหลียวโจวพวกนั้นก็เห็นมา แต่ทว่าก็ยิงแค่เศษเหล็กออกมา เกราะนวมหลายชั้นสามารถเอาอยู่ พอเข้าประชิดด้านหน้า ทหารอีกฝ่ายก็มือสั่น ไม่อาจเล็งแม่นอันใด

เหตุใดปืนไฟกองกำลังหมิงนี้จึงได้ร้ายกาจเพียงนี้ เมื่อครู่ซูเอ่อร์ฮาฉียืนบนอานม้ามองดูครู่หนึ่ง เห็นล้มระเนระนาดเป็นแถบ ต้านทานไม่อยู่ ที่ร้ายกาจสุดของกองกำลังหมิงนี้คือปืนใหญ่ไม่ใช่หรือ? เหตุใดทหารทวนยาวจึงราวกับมารร้ายเช่นนี้ได้ด้วย ซูเอ่อร์ฮาฉีเองคาดเดาว่า หากตนเองนำทหารม้าตนบุกไปถึงตรงหน้าใช่ว่ามีประโยชน์ เหตุใดอีกฝ่ายจึงไม่ถอยแม้ก้าวเดียว ถึงกับยังบุกหน้าสังหารต่ออีก

ทหารไป่หยาหล่า[3] ข้างๆ ซูเอ่อร์ฮาฉีตวัดอาวุธสังหาร  ขับไล่ทหารม้าที่บุกเข้ามาให้ถอยออกห่าง บนสนามรบเช่นนี้ ไม่มีเวลาให้คนได้อึ้งนานนัก

“ท่านแม่ทัพ หนีเถอะ!”

“หนีอะไรกัน ตอนนี้สุนัขหมิงกำลังแตกแถว ให้ทหารราบเราเข้ายันไว้ ข้าจะลงจากม้าไปนำทัพพวกเจ้าเอง…”

ซูเอ่อร์ฮาฉีได้สติหลังอึ้งไป คำรามสบถขึ้น  ทหารไป่หยาหล่าเท่ากับทหารติดตามข้างกาย สถานการณ์ตอนนี้ไม่อาจสนใจอันใดนายบ่าวได้อีก กล่าวอย่างตัดสินใจว่า

“ทหารม้าใกล้จะแตกพ่ายแล้ว รอพวกเขาพ่าย พื้นที่แคบเช่นนี้ ทหารราบเราก็เอาไม่อยู่ ท่านแม่ทัพ หนีเถอะ หนีตอนนี้ ยังพาคนกลับไปได้”

ซูเอ่อร์ฮาฉียกแส้ในมือคิดสะบัดแส้ในมือใส่ ได้ยินวาจานี้ก็วางลง  หน้าตาเคร่งเครียดกล่าวว่า

“กลับไปเช่นนี้ พี่ชายข้า…ข่านปรีชาย่อมไม่ยอมปล่อย…”

“มีทหารเราปกป้อง ข่านปรีชาไม่อาจทำอะไรได้ แต่หากทหารสิ้นที่นี่ทั้งกอง เช่นนั้นแม่ทัพก็คง…”

ทหารติดตามซูเอ่อร์ฮาฉีกล่าวได้ตรงไปตรงมา ซูเอ่อร์ฮาฉีอยู่ๆ คิดได้ เข้าใจได้ทันที มองสถานการณ์รบตรงหน้าอย่างโกรธแค้น กระตุกม้าหันหลังกล่าวว่า

“ไปกันก่อน!!”

พอเขาหันหลังควบออกไป ทหารติดตามก็ตามไปทันที คุ้มกันเขาไปด้วยกัน ทหารราบด้านหลังยังกองขวางอยู่ เห็นแม่ทัพตนนำทัพม้าฝ่าออกไป  แม้ว่าไม่เข้าใจว่าเหตุใด แต่ก็ย่อมหลีกทางให้ในทันที เปิดทางเป็นแนว  ทางที่เปิดกว้างออกเรื่อยๆ ไม่อาจกระชับกลับเข้าได้อีก

แม่ทัพหนี ด้านหน้าก็มีทหารม้าถูกสังหารไม่หยุด ทหารม้าก็ตามหนีไปด้วย พวกเขาอย่างไรก็หนีเร็ว ทหารม้าบุกฝ่าทหารราบ และยังเป็นทหารราบตนเอง แน่นอนง่ายดายมาก หากมีผู้ใดไม่รู้จักดูมาขวางทาง ก็ฟันทิ้งในดาบเดียว

ไม่นานนัก  ทหารม้าที่หันหัวม้าหนีได้ก็หนีกลับกันหมด เหยียบย่ำทหารราบด้านหลังเละเทะ พวกเขาตะลุยฝ่าออกไป พอเห็นสถานการณ์เช่นนี้ กำลังหลักและแม่ทัพฝั่งตนหนีกระเจิง ทหารราบไหนเลยจะยอมสู้ตาย พากันแตกฮือทันที มีคนหันหลัง มีคนวิ่งลงไปตามแนวสันเขาสองข้างทาง

“มารดามันสิ ไหนว่าเผ่าหนี่ว์เจินกล้าหาญสู้ไม่ถอย?”

หวังทงบนหลังม้าสบถด่าดังไม่พอใจ ทหารในสังกัดข้างๆ ได้ยินก็พากันงง แม้แต่ทหารเมืองเหลียวโจวก็ไม่เคยกล่าวเช่นนี้

“หัวหน้าทหารขี่ม้าไล่ล่า สองข้างรักษาความสงบ พลปืนไฟรอให้ขบวนทัพม้าผ่านไปค่อยขึ้นไปเรียงแถวด้านหน้า จากนั้นก็วิ่งเหยาะขึ้นหน้าไล่ล่าสังหาร!!”

หวังทงออกคำสั่งเป็นชุด พลปืนไฟหน้าแถวพลทวนยาวรีบกระจายตัวออก ทหารม้าขี่ม้ากับทหารติดตามหวังทงเริ่มไปรวมตัวหน้ากองทหารราบ เสียงปืนไฟดังเป็นสัญญาณ ทุกคนล้วนทะยานม้าออกไล่ล่า

ทหารม้าเริ่มไล่ล่า พลปืนไฟเริ่มกลับสู่ประสิทธิภาพเดิมก่อนเริ่มรบ เสียงเป่าสัญญาณยังเร่งเร้า พลทวนยาวหยุดนิ่ง พลปืนไฟไปยืนเรียงหน้าแถวตามจังหวะกลองที่ตีกระชั้น  จัดเตรียมชนวนกระสุนไฟ จากนั้นหัวหน้าทหารก็นำวิ่งเข้าไป พลทวนยาวด้านหลังก็เริ่มวิ่งเหยาะตามไป

เสียงเคลื่อนไหวในป่าสองข้างเริ่มเงียบลง เห็นทัพตนแตกกระเจิงเช่นนี้ พวกเขาไหนเลยกล้าอยู่ต่อ ล้วนหันหลังหนี ตอนนี้หากอยู่บนท้องฟ้ามองดูสนามรบก็จะเห็นได้ว่า กองกำลังหู่เวยยังคงรักษาระดับการเดินทัพขึ้นหน้าดังเดิม ด้านหน้ากับซ้ายขวาพวกเขา  ล้วนเต็มไปด้วยกลุ่มคนที่พากันหนี

เห็นกองกำลังหู่เวยใช้รูปแบบไล่ล่าเช่นนี้ พวกทหารราบเผ่าหนี่ว์เจินที่ยังคงมีวินัยทหารอยู่ก็ย่อมต้องแตกกระเจิง กองกำลังหมิงไล่บี้มา ถึงกับยังเป็นรูปทัพไม่กระจัดกระจาย ช่างน่ากลัวยิ่ง

 แม่ทัพอันดับหนึ่งแผ่นดินหมิงชีจี้กวงเคยว่าไว้ในตำรารบว่า ทหารต้องรักษาแถวทัพให้ดีบนสนามรบ  แต่ก็ได้บอกไว้เช่นกันว่า ยามเดินทัพ ทุกสิบก้าวต้องหยุด จัดแถวสักหน่อย  ทัพแม่ทัพชีถือเป็นทหารแกร่งกล้าใต้หล้า แต่ตอนนี้ทหารกองนี้มันอะไรกัน?

ทหารเผ่าหนี่ว์เจินไม่เคยได้อ่าน จี้เสี้ยวซินซู กับ เลี่ยนปิงสือจี้ ตำราพิชัยสงครามสองเล่มของชีจี้กวง  แต่พวกเขาก็เข้าใจได้ดีกว่าสภาพการเดินทัพเช่นนี้หมายถึงสิ่งใด

แม่ทัพกับทหารม้าแตกกระเจิงทำให้ทหารราบถูกชนระเนระนาด เห็นกองกำลังหู่เวยบุกเช่นนี้ก็ยิ่งทำให้พวกเขาขวัญกระเจิง ตอนนี้ทุกคนหันหลัง ด้านหน้าเป็นเพื่อนทหารด้วยกัน  สังหารทิ้งล้วนไม่ทัน เช่นนั้นก็หันขึ้นเขาแทน คนพากันแตกฮือกระจัดกระจาย

ทหารราบไล่บี้มาช้าอยู่สักหน่อย แต่กองกำลังหู่เวยทหารม้าหลายร้อยกลับไล่ตามมาอย่างรวดเร็ว  ปะทะกับฝูงทหาร สังหารทิ้งระลอกใหญ่

สถานการณ์ตอนนี้ ไม่จำเป็นให้เจ้าต้องชำนาญขี้ม้าอันใดมาก ไม่จำเป็นต้องให้เจ้าชำนาญการรบอันใดมาก ที่เจ้าต้องทำก็คือขอเพียงยกอาวุธบนหลังม้าขึ้น จากนั้นมองแผ่นหลังและลำคออีกฝ่าย ไม่มีชาวเผ่าหนี่ว์เจินถืออาวุธหันใส่เจ้า แต่ละคนล้วนหนีกระเจิง เจ้าแค่ฟันสังหารเท่านั้น

อวี๋เฟิงแม้ว่าอยู่บนหลังม้าในที่สูง แต่ใบหน้าล้วนเปื้อนไปด้วยเลือด ตั้งแต่เขาถูกไล่ล่าสังหารบนเขามา อวี๋เฟิงก็เริ่มหวาดกลัวและกังวลในใจลึก ๆ จึงได้ทำให้เร่งฝึกซ้อมตนเองสุดชีวิต พอออกสนามรบจึงองอาจกล้าหาญมาก เขาทำเช่นนี้ก็เพราะรู้สึกว่าชาวเผ่าหนี่ว์เจินแข็งแกร่ง ในป่านั้นพวกตนมีถึงแปดคน เห็นๆ ว่ามากกว่า อาวุธก็ได้เปรียบกว่า แต่กลับถูกอีกฝ่ายล่าสังหารได้

เดิมตอนอยู่เมืองเหลียวโจว พวกทหารติดตามขุนพลทหารในเมืองเหลียวโจวคิดว่าตนเองเก่งกล้าสามารถแล้ว แต่พวกชายเผ่าหนี่ว์เจินเหล่านี้กลับทำให้รู้สึกกลัวมาก อวี๋เฟิงพยายามฝีกซ้อมอย่างสุดชีวิต ก็เพราะกลัวว่าวันหนึ่งออกสนามรบเผชิญทัพใหญ่ศัตรู ตนเองจะได้ป้องกันตนเองได้ อย่างน้อยก็สังหารให้คุ้มทุน

เขาฟันคนแรกล้มลงได้ ได้ยินเสียงร้องไห้และคำรามของทหารเผ่าหนี่ว์เจินทหาร ความกังวลและหวาดกลัวในใจล้วนมลายหายไปสิ้น อวี๋เฟิงสังหารไม่หยุด ในใจที่เก็บกดก็เริ่มปลดปล่อย ปลดปล่อยก็เริ่มเป็นสะใจ

ทหารม้าเข้าปะทะทำให้ทหารราบเผ่าหนี่ว์เจินแตกกระจัดกระจายได้มากก็เพราะเพื่อที่จะทุ่มกำลังทหารกล้าประลองกันในที่แคบ ซูเอ่อร์ฮาฉีทุ่มกำลังลงไปมากเพียงพอ หลังทหารม้าส่วนใหญ่มีทหารราบมากพอตั้งแถวอยู่ เรียงเป็นรูปแถวตอนยาว แต่ตอนนี้สถานการณ์เช่นนี้กลับเป็นดังหายนะ

ด้านหน้าแตกกระเจิงส่งผลต่อด้านหลังทันที แต่กองกำลังด้านหลังกลับไม่มีทางกระจายตัวออกในทันที ฝูงคนแตกออกไปยังป่าสองข้างทางก็ต้องใช้เวลา คนทัพใหญ่ถูกอัดปิดทาง แตกตื่นลนลานหวาดกลัว  เริ่มสังหารกันเอง

ทหารม้าหลายร้อยทะลายกองกำลังศัตรูที่มากกว่าพวกเขาสิบเท่าลงได้ราบคาบ ความวุ่นวายนี้ตามมาด้วยพลปืนไฟต้องเปลี่ยนวิธีการรบ

สถานการณ์เช่นนี้ ยิงไปทำให้ยิงผิดได้ง่าย และยังเสียกระสุนเปล่า ขุนพลทหารจึงตะโกนสั่งให้ดับชนวนปืนไฟได้ ให้ใช้ปืนไฟกับไม้ง่ามตั้งปืนเป็นอาวุธสังหารแทน ปืนไฟไม่ต่างอันใดกับพลองเหล็กกล้า ไม้ง่ามก็ใช้แทงได้ แม้ว่าประสิทธิภาพไม่ดีนัก แต่สามารถใช้รับมือศัตรูในสถานการณ์แตกพ่ายนี้ได้

พอพลทวนยาวบุกออกไปแล้ว ถึงกับต้องเป่าสัญญาณให้ถอย เปลี่ยนเป็นพลทหารใช้อาวุธเข้าสังหารอย่างพลทวนยาวจะเหมาะกว่า

“ไม่ไว้ชีวิต ไม่จับเป็นเชลย คุกเข่าร้องขอก็สังหาร หมอบบนพื้นขยับได้ก็สังหาร!!”

ทหารถือธงแม่ทัพขี่ม้าออกไปถ่ายทอดคำสั่ง พวกเขาวิ่งไปตะโกนไป

พลปืนไฟออกสู่สนามรบ ก็เริ่มบรรจุกระสุนอยู่สองข้างทาง จากนั้นก็แบ่งกำลังกองเล็กเข้าป่า ยิงพวกปลาที่เล็ดรอดจากแหไป สองข้างทางอยู่สูงกว่า เพื่อคุ้มกันทัพใหญ่

บนสนามรบที่สิ้นหวังหันมาสู้ต้านไว้หลายครั้ง จากนั้นก็แตกกระเจิงทันที จากนั้นก็แตกกระเจิงสิ้นเชิง หนีตายกันอลหม่าน ไม่ก็รอความตาย

“แม่ทัพใหญ่ ชัยชนะใหญ่ ชัยชนะใหญ่!”

ลี่เทาไม่ได้วางตัวสบายๆ กับหวังทงแบบหลี่หู่โถว  แม้ว่าอยู่กันส่วนตัว ลี่เทาก็ยังเรียกหวังทงว่าแม่ทัพใหญ่ ไม่ใช่พี่ใหญ่  สีหน้าเขาตื่นเต้นแดงก่ำ ตอนนี้ขุนพลทหารทั้งหมดล้วนอยู่บนที่สูงมองดูสนามรบ สีหน้าทุกคนล้วนตื่นเต้นยินดี

ชัยชนะสำหรับกองกำลังหู่เวยไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ตั้งแต่เมืองเสิ่นหยางได้ชัยชนะใหญ่ มาถึงริมแม่น้ำตอนนี้ที่ปะทะจนได้ชัยชนะใหญ่ ชัยชนะต่อเนื่องเช่นนี้ทำให้ทุกคนตื่นเต้นยินดีกันอย่างมาก

“ชนะแล้ว แต่พวกนอกด่านหนีไปได้ไม่น้อย หากก่อนหน้าจัดการล้อมรอบพื้นที่ในจุดสำคัญไว้ได้ ผลการรบครั้งนี้จะยิ่งใหญ่กว่านี้อีก!”

หวังทงยิ้มกล่าว  แต่หลังชนะกลับวิจารณ์ถึงสิ่งที่พลาดไป ก็เป็นการทำลายขวัญทหาร หวังทงจึงยิ้มกล่าวว่า

“รอบเมืองเสิ่นหยาง แม่น้ำสาขาแม่น้ำไท่จื่อเหอ ตลอดทางเดินทัพตั้งค่ายมา ทหารใหม่หลายหน่วยกองกำลังหู่เวยก็กลายเป็นทหารเก่ามีประสบการณ์แล้ว สามารถใช้งานได้อย่างวางใจแล้ว!”

ทุกคนล้วนยิ้มกว้าง ดีใจอย่างที่สุด นี่เป็นทหารที่พวกเขานำมาด้วย พวกเขาได้รับชัยชนะมาตลอด แน่นอนรู้สึกดีใจและภาคภูมิใจ

ผลจากสงครามนั้นใหญ่มากกว่าที่หวังทงคิดไว้ เพราะซุนโส่วเหลียนนำทหารม้าไล่ตามมาด้านหลัง ซุนโส่วเหลียนครั้งนี้ยกทัพตีขนาบมาด้านหลัง เดินทัพมาอย่างระมัดระวัง สายสืบล้วนแต่งกายแบบชาวบ้าน และกระจายตัวกันออกไปไกลมาก หากมีลมพัดยอดหญ้าใดก็รีบกลับมาแจ้ง ซุนโส่วเหลียนรู้ซูเอ่อร์ฮาฉีเตรียมเปิดศึกกับกองกำลังหมิงกลางหุบเขาริมน้ำ เขาก็ตามมาอย่างไม่สนใจเผ่าหนี่ว์เจินทหารหลายร้อยที่เฝ้าป้อมเจี่ยนฉั่งเป่าอยู่

พอการต่อสู้เริ่มต้น ซุนโส่วเหลียนที่ยังลังเลไม่รุกคืบก็ตัดสินใจพนันกันสักตั้ง เขารู้ถึงชัยชนะใหญ่ของกองกำลังหู่เวยแต่ละครั้ง ได้ยินจากปากซุนเผิงจวี่เรื่องชัยชนะใหญ่รอบเมืองเสิ่นหยาง ความจริงนั้นที่กล้าพนันก็เพราะซุนเผิงจวี่คนเดียว กวาดเส้นทางด้านหลังเผ่าหนี่ว์เจินได้ ทหารม้าสู้ทหารราบ อย่างไรก็ไม่เสียเปรียบ

ครั้งนี้ซุนโส่วเหลียนพนันถูกข้างแล้ว

……………

[1] ปืนสามตาก็คือปืนที่มีปากกระบอกยิงสามปากกระบอกในด้ามเดียว

[2] ปืนฟ้าผ่าก็คือปืนที่มีปากกระบอกยิงหลายปากในด้ามเดียวพร้อมแผ่นกำบังหลังปากกระบอก

[3] ชื่อเรียกทหารกล้าฝีมือดีของพวกโฮ่วจิน เทียบได้กับทหารในสังกัดขุนพลทหารของหมิง

องครักษ์เสื้อแพร

องครักษ์เสื้อแพร

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 1116 อ่านนิยาย


หากคุณชอบนิยายจีนย้อนเวลา เรื่องราวเข้มข้นสุดมันส์ในประวัติศาสตร์ราชวงศ์หมิงอยู่ที่นี่แล้ว!

ชาตินี้ต้องตายเพราะโรคร้าย ทั้งๆ ที่กำลังประสบความสำเร็จในธุรกิจ

เขาไม่ยอม!!

ชาติหน้าเขาจะต้องมีชีวิตที่รุ่งโรจน์กว่าผู้ใด…

หวังทงย้อนเวลามาเกิดใหม่ในราชวงศ์หมิงพร้อมความทรงจำของมนุษย์ทำงานในศตวรรษที่ 21

รัชสมัยฮ่องเต้ว่านลี่เป็นช่วงเวลาที่รุ่งโรจน์ที่สุดในประวัติศาสตร์ราชวงศ์หมิง

และก็เป็นยุคสุดท้ายแห่งความรุ่งโรจน์ของราชวงศ์หมิง

หวังทงในฐานะ ‘องครักษ์เสื้อแพร’ จะนำความรู้สมัยใหม่ไปทำอะไรได้บ้าง

นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอะไรในประวัติศาสตร์

…วินาทีที่เขาปรากฏตัวขึ้น ห้วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์ก็เริ่มหมุนเปลี่ยนทิศ…

Options

not work with dark mode
Reset