องครักษ์เสื้อแพร 989 เสียงสนั่นกัมปนาท

ตอนที่ 989 เสียงสนั่นกัมปนาท

ยามม้าถูกควบมา ก็ย่อมยิ่งวิ่งยิ่งเร็ว พวกหัวหน้านอกด่านในกองกำลังล้วนตะโกนส่งเสียงดังกำราบกองกำลัง

อานุภาพทหารม้าอยู่ที่การรวมกำลังบุก หากกระจัดกระจายก็ไม่อาจใช้การได้ กองทหารราบต่อหน้าที่รวมตัวกันแน่นหนา  กองกำลังหมิงเบื้องหน้าเห็นได้ชัดว่าเป็นพวกที่ไม่ถูกตีแตกตื่นได้โดยง่าย

ทหารม้ามองโกลกับทหารม้าเผ่าหนี่ว์เจินนับวันยิ่งระวังรอบคอบมากขึ้น ไม่กล้าชะล่าใจ มีขุนพลทหารตะโกนคำสั่ง ให้ทหารม้าบุกเข้าใส่กองปืนใหญ่กองกำลังหมิง

ปืนใหญ่หลายสิบกระบอกเคลื่อนขึ้นหน้ามา ทำให้ทุกคนใจเต้นแรง  ไม่ว่าเคยเห็นมาก่อนหรือไม่ พวกนอกด่านก็รู้ว่าปืนใหญ่อาวุธทรงอานุภาพที่สุดของกองกำลังหมิง

ระยะห่าง 200 กว่าก้าว ขุนพลทหารมองโกลในหมู่ทัพใหญ่ก็ออกคำสั่งให้ทหารม้าพวกนอกด่านบุกแนวหน้า ความจริงนั้นในทัพใหญ่ทหารราบส่งเสียงคำราม ม้าส่งเสียงร้อง เสียงฝีเท้าดังกัมปนาท คำสั่งขุนพลทหารไม่อาจเข้าหูทุกคนแม้แต่คนเดียว พวกเขาเห็นแต่ทหารม้านำกำลังบุกขึ้นหน้า

พวกเขาบุกขึ้นหน้า ทั้งกองกำลังล้วนเริ่มเร่งความเร็ว ทหารม้าหลายแถวด้านหน้ายกธนูขึ้นเล็ง  เล็งยิงยามขี่ม้าไม่หวังผลแม่นอันใด แต่ทหารราบเบื้องหน้าก็แน่นหนาพอให้ยิง ขอเพียงยิงธนูเข้าไปได้ ก็สามารถทำให้บาดเจ็บล้มตายได้

ระยะสองร้อยก้าว สองฝ่ายเตรียมเข้าปะทะ พวกขุนพลทหารมองโกลวิเคราะห์ระยะห่างเช่นนี้ได้ ขุนพลทหารกองกำลังหู่เวยก็ย่อมวิเคราะห์ได้เช่นกัน

ทหารม้าศัตรูเข้ามาในระยะทหารม้าสองร้อยก้าว ตามคำสั่ง ‘เตรียมระยะยิง’ เสียงกลองเร่งเร้า ขุนพลทหารทุกคนรับคำสั่งตะโกนดัง

 พลปืนไฟแถวหน้าล้วนเกี่ยวเชือกชนวนสุดท้ายอัดดินปืนแน่น ตรวจสอบดินปืนพร้อม  และเตรียมไฟชนวนพร้อมจุด จากนั้นตั้งปืนบนไม้ง่าม เล็งไปตรงหน้า

เสียงฝีเท้าสะเทือนพื้นดินยิ่งดัง ทหารม้าตรงหน้าหน้าตาบิดเบี้ยว ธนูกับอาวุธในมือล้วนมองเห็นชัด ทหารเก่ายังทำใจให้นิ่งได้ แต่ทหารใหม่ล้วนสีหน้าซีดเผือด หลายคนเริ่มตัวสั่นเทาเบาๆ นายทหารแต่ละแถวตะโกนด่าไม่หยุด ให้พวกเขาตั้งสติให้นิ่ง

ไม่มีผู้ใดโยนอาวุธทิ้ง ไม่มีผู้ใดกล้ายิงก่อน ไม่ว่าเป็นหน่วยฝึกเมืองกุยฮว่าเฉิงหรือกลุ่มผู้คุ้มกันเทียนจิน พวกเขาเคยออกสู้ศึก บางคนไม่เคย บางคนเคยเห็นการสังหารนองเลือด บางคนไม่เคย แต่ทว่าพวกเขาร่วมใจกันได้ก็เราะว่าพวกเขาฝึกร่วมกันมานาน

มีวินัยและการลงโทษบังคับไว้ ทหารทุกคนล้วนราวกับเครื่องจักรทำตามคำสั่งเคร่งครัด ปฏิบัติตามอย่างไม่ลังเล

พวกเขารู้ว่าหากยิงก่อน หากทิ้งอาวุธหนี ก็ย่อมถูกจับไปลงโทษทางวินัย และครอบครัวตนเองก็ย่อมถูกลงโทษไปด้วย ตอนนี้ที่ได้รับค่าตอบแทนอย่างดีก็จะถูกริบคืน ถึงกับโดนลงโทษอีกด้วย แต่ละคนล้วนไม่อยากโดนเช่นนี้

ทหารม้าทัพหน้าเผ่าหนี่ว์เจินกับพวกมองโกลเข้ามาในรัศมียิงแล้ว พลธนูบนหลังม้าล้วนค่อยๆ น้าวธนู มีคนยิงออกมาแล้ว ระยะยิงแค่นี้ แน่นอนกว่าธนูไม่อาจยิงโดนพลปืนไฟได้  ยิงลอยมาครึ่งทาง ล้วนปักลงบนพื้น เข้าสู่รัศมี 20 ก้าวแล้ว สองฝ่ายระยะห่างยิ่งใกล้ขึ้น

“ยิง!!!”

มาถึงระยะนี้ คำสั่งหัวหน้ากองกำลังหู่เวย บรรดาทหารไม่ได้ยินเช่นกัน แต่พวกเขาล้วนสามารถดูจากการโบกทวนขวานในมือหัวหน้าทหารเป็นสัญญาณ

‘ฉึกๆ’ เริ่มดังประปราย  จากนั้นก็กลายเป็นเสียงยิงหนาแน่นขึ้น เหมือนว่าฝนเริ่มตกปรอยๆ กลายเป็นตกห่าใหญ่

เสียงดังหนาแน่น ยิงมาเรื่อยๆ ทหารม้าด้านหน้าสุดล้วนหงายหลังตกจากหลังม้า ยังมีคนโดนยิงแสกหน้าเป็นรู ม้าสูญเสียการควบคุม แน่นอนไม่อยากวิ่งเข้าใส่พื้นที่มีแสงไฟ  เสียงดังปังๆ ติดต่อกัน ที่ยุ่งยากก็คือม้าหลายตัวตกใจแตกตื่น วิ่งๆ อยู่ก็ยกตัวสูง ไม่ก็กระโดดแตกตื่นไปมา สลัดทหารม้าบนหลังม้าร่วง

แม้ว่ากระสุนตะกั่วยิงเข้าไม่ทำให้ตายทันที ตกจากหลังม้าก็ถูกม้าเหยียบตายอยู่ดี กลายเป็นดังเนื้อบดไปทันที มีคนถูกม้าลากไป ลากไปมาบนสนามรบ สุดท้าย แม้ว่าม้ายังไม่ตาย แต่คนก็เหลือแค่แขนขาห้อยโตงเตงเท่านั้น

ทหารม้าฮึกเหิมบุกมาถูกปืนไฟยิงไประลอกแรก ความฮึกเหิมสูญสิ้นไปทันที ความตายแน่นอนไม่ต้องพูดถึง คนบาดเจ็บส่งเสียงร้องหวาดกลัวอยู่ที่พื้น

ม้ากระโจนขึ้นหน้า แรงกำลังไม่น้อย คิดจะคุมสถานการณ์หันหลังหนีก็ไม่ทันแล้ว แถวหน้าถูกโจมตีย่อยยับ ม้าและคนล้มระเนระนาด คนแถวหลังยังเบียดคนแถวหน้าขึ้นมาอีกไม่หยุด

ม้าแถวหน้ากลายเป็นนอนระเนระนาดอยู่กับพื้น ขบวนทัพม้าบุกเพื่อจะรักษาประสิทธิภาพการโจมตี มักจะพยายามรักษาขบวนให้หนาแน่นเอาไว้ ความเร็วไม่อาจจะวิ่งได้เร็วนัก ม้าแถวสุดท้ายถูกแถวหน้าขัดขาล้ม ทำให้ด้านหลังเริ่มอลหม่าน นี่ก็คือที่เรียกว่ายุ่งยากใหญ่

ทหารม้าพวกนอกด่านเข้ามาอยู่ในรัศมียิงแล้ว ลึกพอแล้ว ดังนั้นในเวลากระชั้นชิดพวกเขาย่อมไม่อาจหนีพ้นรัศมีการยิงของปืนไฟ

ทหารม้าเผ่าหนี่ว์เจินกับมองโกลไม่อาจบุกขึ้นหน้า แต่ปืนไฟกองกำลังหู่เวยยังคงยิงออกไป ราวกับเคียวตัดเกี่ยวต้นข้าวสาลี ล้มพังพาบไปทีละแถบ

“ขึ้นหน้าสิบก้าวยิง!!”

หัวหน้าในชุดเกราะหู่เวยเต็มชุดก้าวขึ้นหน้ายืนนิ่ง พลปืนไฟเรียงแถวหน้ากระดานจากตัวเขา

ทั้งหกหน่วย มีพลปืนไฟรวม 3,600 นาย ผลัดกันยิง สังหารทหารม้าที่ดาหน้ากันเข้ามาบาดเจ็บล้มตายน่าอนาถ ทัพตรงหน้าค่อยๆ ร่อยหรอลงเรื่อยๆ

ปืนใหญ่ที่อยู่อีกทาง ขณะที่ปืนไฟยิง ปืนใหญ่ยังคงเตรียมอยู่ พลปืนใหญ่กับคนงานปืนใหญ่กำลังติดตั้งแท่นปืนใหญ่กับรถปืนใหญ่ ปลดม้าวัวออก รีบบรรจุกระสุนปืนใหญ่

ด้านหน้าพวกเขามีทหารม้ากำลังบุกขึ้นมา หวังทงตอนนี้ข้างกายมีทหารติดตาม 20 กว่าคนล้อมรอบ คนที่เหลือล้วนถูกส่งไปยังกองปืนใหญ่แนวหน้า

ทหารม้า ‘ผู้กล้า’ ไม่ได้ขี่ม้าไล่ศัตรู แต่พวกเขาล้วนลงจากหลังม้า ยกธนูน้าว ทหารติดตามหวังทงตรวจสอบปืนไฟตนอย่างเร็ว

ชาวเผ่าหนี่ว์เจินเก่งธนูใหญ่น้ำหนักมาก พวกมองโกลเก่งธนูสั้นทรงหยักเขาสัตว์ หนึ่งนั้นสังหารได้รุนแรง อีกหนึ่งนั้นมีกำลังยิงรุนแรง แต่ระยะยิงไม่สู้ธนูกองกำลังหมิง แน่นอนไม่อาจสู้ปืนไฟ

ปืนไฟยิงถล่มมา เพื่อนทหารส่งเสียงร้องเจ็บปวด พวกที่บุกไปทางพลปืนใหญ่ก็ได้ล้วนได้ยินกันชัดเจน ในใจพวกเขาหวาดกลัวแต่ไม่กล้าถอย ตอนนี้เบื้องหน้าพวกเขาคือโอกาส ทลายปืนใหญ่กองกำลังหมิงได้  ยังหันไปตีปีกข้างกองกำลังหมิงได้อีก นี่เป็นโอกาสเดียว หรือก็คือโอกาสตีพ่ายทั้งกอง

พวกเขาได้เห็นปืนไฟวับๆ กับธนูที่กำลังเตรียมยิง ไม่เคยได้ยินว่าธนูสามารถรับมือกองทหารม้าบุกได้ คนไม่น้อยก็ยกโล่ไม้จากข้างอานม้าขึ้นบัง

ระยะยิง ปืนไฟยิงก่อน โล่ไม้ทานกระสุนตะกั่วไม่อยู่ มีคนร่วงจากหลังม้าสิ้นใจทันที แต่บาดเจ็บล้มตายไม่มาก ส่วนใหญ่ยังคงบุกขึ้นหน้า

ระยะหลายสิบก้าว เสียงฉึกๆ ดังขึ้น ธนูกองกำลังหมิงยิงออกมาแล้ว ยิงทะลุม้า  และยังทะลุคน แต่ส่วนใหญ่ล้วนถูกโล่ไม้กันไว้ได้ ถึงกับมีคนแม้ว่าโดนยิงแต่ยังไม่ถึงชีวิต ยังสามารถคำรามดังบุกขึ้นหน้ามาได้อีก

ปืนไฟยิงได้ระลอกแรก ธนูยิงได้สองระลอก แต่ก็ไม่อาจทานกำลังบุกได้ มาถึงตรงหน้าได้แล้ว ปืนใหญ่เพิ่งจัดการเสร็จ ไม่อาจบรรจุกระสุนยิงทัน

ปืนไฟยิงอีกระลอก ธนูก็ยิงอีกระลอก ทหารม้านอกด่านยิงโต้กลับมาได้แล้ว กองกำลังหมิงเริ่มมีคนล้มลง เปิดทางให้ศัตรูบุกเข้ามาได้

แต่ในตอนนั้นเอง กองกำลังหมิงที่บังหน้ากองปืนใหญ่ก็ถอยหลังกลับอย่างรวดเร็วไม่คิดชีวิต เปิดทางให้ปืนใหญ่กระบอกหนึ่ง ระยะห่าง 50 ก้าว ปืนใหญ่ทำอะไรได้ กระสุนปืนใหญ่ยิงตายได้ไม่กี่คน ไม่เท่าไร

“ยิง!!!”

เสียงคำรามดังนี้ ทหารม้าเผ่าหนี่ว์เจินกับมองโกลล้วนได้ยินชัดเจน พวกเขาส่งเสียงร้องดังพร้อมกัน ก่อนจะพุ่งเข้าสังหาร คิดกวาดล้างกองกำลังหมิงให้สิ้นซาก

“ตูม ตูม”

เสียงดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วพร้อมควันดินปืนลอยออกจากปากกระบอกปืนใหญ่

ความคิดทหารม้าหยุดลงเพียงแค่นี้  ปืนใหญ่กระสุนสามชั่ง 16 กระบอกตอนนี้พร้อมยิงกวาดล้าง ทหารม้าตรงหน้าไม่อาจเล็ดรอดไปได้แม้แต่คนเดียว กวาดล้างระยะห่างหลายสิบก้าวเกลี้ยงไม่มีเหลือเผ่าหนี่ว์เจินกับมองโกลทหารม้าส่วนใหญ่แม้แต่เสียงร้องเจ็บปวดก็ไม่อาจเล็ดรอดออกมา ก็ตายไปทันที ตอนนี้ที่ว่างกว้างเพียงพอแล้ว คนด้านหลังที่ขวัญกระเจิงก็ดึงม้าตนไว้อย่างสุดชีวิต ตะโกนร้องกระชากม้าหันหลังกันดังลั่น มีคนบุกเข้ามาอย่างไม่ทันได้สติ คนเหล่านี้สติแตกกระเจิงไปแล้ว

ทหารม้า ‘ผู้กล้า’ โดดขึ้นม้า กวัดแกว่งดาบและทวนเริ่มออกสังหาร ทหารม้าพวกนอกด่านคิดแต่จะหนี จะมีกำลังใจรบต่อได้อย่างไร พวกเขาเปิดช่องว่างด้านหลังให้แก่คู่ต่อสู้ หนีกันกระเจิดกระเจิง ผลปรากฏถูกสังหารกวาดล้างสิ้น

แต่ทหารม้า ‘ผู้กล้า’ ไม่ได้ออกล่าไปไกลนัก ไล่ไปได้ไม่กี่สิบก้าวก็ได้ยินเสียงสัญญาณด้านหลัง หากยังไม่กลับไป เช่นนั้นปืนใหญ่ด้านหลังก็ย่อมยิงแล้ว

“ปืนใหญ่กระสุนสามชั่งบรรจุกระสุน ยกมุมสูง มุมยิงสูงสุดเตรียมพร้อม เร็ว เร็ว!!”

“มารดาเจ้าสิ กินข้าวกินได้เป็นชั่ง อย่าทำตัวปวกเปียกราวสตรี ปืนใหญ่กระสุนหกชั่งเข็นขึ้นหน้า เล็งทัพศัตรูให้แม่น ปืนใหญ่กระสุนเก้าชั่งยกมุมสูง…”

มู่เอินยกไม้พลองยาวห้าฉื่อในมือขึ้น จางอู่ถือแส้ในมือ สองคนตะโกนดังอยู่ท่ามกลางกองปืนใหญ่ เร่งให้ทหารเคลื่อนไหวให้ไว ให้ไวยิ่งขึ้น

พลปืนใหญ่บรรจุดินปืนลงในช่องปืนใหญ่ ใช้ไม้กระทุ้งให้แน่น จากนั้นค่อยๆ หย่อนกระสุนปืนใหญ่ที่เป็นลูกเหล็กหรือไม่ก็ลูกตะกั่วลงไป  ปืนใหญ่กระสุนสามชั่งที่เพิ่งยิงไป กำลังใช้ผ้าเปียกเช็ดกระบอกปืน จากนั้นค่อยทำความสะอาดสองรอบ ก่อนจะบรรจุกระสุนอีกครั้ง

“เตรียมพร้อมแล้ว!!” “เตรียมพร้อมแล้ว!!”

“เจ้าลูกหมาทั้งหลาย อย่าลืมอุดหู!”

“ยิง!!”

มู่เอินคำรามดังสนั่น ปืนใหญ่ทั้งกองเริ่มยิง กระสุนปืนใหญ่ลอยละล่องออกไปทั้งหมด

ปืนไฟกระหน่ำยิง ปืนใหญ่ระดมยิง ซุนเผิงจวี่ข้างกายหวังทงตัวสั่นไม่หยุด เขาพยายามข่มความกลัว  จับตามองกำแพงเมืองเสิ่นหยางไม่กะพริบตา

องครักษ์เสื้อแพร

องครักษ์เสื้อแพร

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 1116 อ่านนิยาย


หากคุณชอบนิยายจีนย้อนเวลา เรื่องราวเข้มข้นสุดมันส์ในประวัติศาสตร์ราชวงศ์หมิงอยู่ที่นี่แล้ว!

ชาตินี้ต้องตายเพราะโรคร้าย ทั้งๆ ที่กำลังประสบความสำเร็จในธุรกิจ

เขาไม่ยอม!!

ชาติหน้าเขาจะต้องมีชีวิตที่รุ่งโรจน์กว่าผู้ใด…

หวังทงย้อนเวลามาเกิดใหม่ในราชวงศ์หมิงพร้อมความทรงจำของมนุษย์ทำงานในศตวรรษที่ 21

รัชสมัยฮ่องเต้ว่านลี่เป็นช่วงเวลาที่รุ่งโรจน์ที่สุดในประวัติศาสตร์ราชวงศ์หมิง

และก็เป็นยุคสุดท้ายแห่งความรุ่งโรจน์ของราชวงศ์หมิง

หวังทงในฐานะ ‘องครักษ์เสื้อแพร’ จะนำความรู้สมัยใหม่ไปทำอะไรได้บ้าง

นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอะไรในประวัติศาสตร์

…วินาทีที่เขาปรากฏตัวขึ้น ห้วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์ก็เริ่มหมุนเปลี่ยนทิศ…

Options

not work with dark mode
Reset