องครักษ์เสื้อแพร 925 แย่งชิงอำนาจและผลประโยชน์เท่านั้น

ตอนที่ 925 แย่งชิงอำนาจและผลประโยชน์เท่านั้น
ตอนที่ 925 แย่งชิงอำนาจและผลประโยชน์เท่านั้น

ติ้งเป่ยโหว ผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพรหวังทงต้องการมีเรื่องกับผู้บัญชาการทหารเมืองเหลียวโจวหลี่เฉิงเหลียง นี่ไม่ใช่เรื่องเล็ก คิดให้ดี น่าจะเป็นสองขุนพลสองยุคในแผ่นดินหมิงปะทะกัน

แต่ทว่าในการปะทะครานี้ สร้างผลกระทบในวงการขุนนางการเมืองน้อยมาก เพราะหวังทงครั้งนี้เดินมาตามเส้นทางปกติของวงการขุนนาง อะไรเรียกว่า เส้นทางปกติ ก็คือไม่ออกหน้าเอง ให้ขุนนางบัณฑิตยื่นฎีกานำเรื่องก่อน จากนั้นทุกคนค่อยหารือ

ขุนนางใหญ่หากออกหน้าก่อน จะเป็นเรื่องใหญ่ หากตำแหน่งใหญ่ ก็มักจะจบเรื่องได้ไม่สวย ให้ขุนนางเล็กๆ ออกหน้า เรื่องราวพัฒนาไปเช่นไรก็ยังควบคุมได้

หวังทงไม่ค่อยใช้เส้นทางนี้ หวังทงในวงการขุนนางเมืองหลวงแล้วมีภาพลักษณ์ไม่ดีนัก พอเขาขยับตัว ก็มักจะเล่นอาวุธจริง ต้องปะทะหลั่งเลือดหรือไม่ก็เกือบจะหลั่งเลือด มักจะไม่มีหนทางให้ถอย ครั้งนี้กลับมาตามธรรมเนียม แสดงให้เห็นอะไรมากมาย

ฮ่องเต้ว่านลี่พอพระทัยกับท่าทีหวังทงมาก หากหวังทงออกโรงเองเอ่ยถึงเมืองเหลียวโจวล่ะก็ ไม่ว่าหวังทงคิดทำสิ่งใด เขาย่อมต้องคิดให้รอบคอบ  สุดท้ายคงได้แต่โดนปฏิเสธ แต่ทำเช่นนี้ ก็ปล่อยหวังทงไป ดูว่าเขาจะพูดว่าอย่างไร

วันที่ 24 เดือนสิบสอง ทุกคนล้วนเริ่มขี้เกียจมาร่วมประชุมราชสำนัก หากไม่ใช่พระสนมเอกเจิ้งที่ปีหน้าจะได้เป็นฮองเฮาเจิ้งแล้วกล่าวเตือน ฮ่องเต้ว่านลี่ก็คงคิดจะอยู่ในตำหนักเล่นกับพระโอรส ระยะนี้ฮองเฮาเจิ้งสนิทกับพระสนมกงมาก จูฉางลั่วกับจูฉางสวินก็มักมาเล่นด้วยกัน ทำให้ฮ่องเต้ว่านลี่พอพระทัยมาก

“ฝ่าบาท  นายกองยื่นฎีกาเมืองเหลียวโจว กระหม่อมได้ยินมาว่า บัณฑิตผู้นี้อยู่เมืองหลวง ไม่รู้เรื่องชายแดน กล่าววาจาเหลวไหลทั้งเพ ขอฝ่าบาทพิจารณาด้วยพะยะค่ะ!”

การประชุมราชสำนักดำเนินมาได้ไม่นาน  ผู้ใดก็คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเสนาบดีกรมทหารปี้เชียงออกหน้าโพล่งออกมาคนแรก ทุกคนได้แต่สบตากัน มีแต่แววตาดูแคลน

ผู้ใดก็รู้ว่ากรมทหารถูกเมืองเหลียวโจวเลี้ยงดูจนอิ่มหนำ แต่กรมทหารดูแลเรื่องเมืองชายแดน เจ้าเป็นเสนาบดีกรมทหารถึงกับออกหน้าเช่นนี้ได้ ช่างไม่รู้จักสถานะตน และยังกล่าวเช่นนี้ แปดเก้าส่วนย่อมถูกกดดันจากผู้ใต้บังคับบัญชา เสนาบดีปี้ผู้นี้ตอนนี้ไม่อาจกุมอำนาจกรมทหารทั้งหมดได้……

ฮ่องเต้ว่านลี่พยักพระพักตร์ ตรัสถามนิ่งเรียบว่า

“หวังทง เจ้าเคยอยู่นอกด่านมา คิดอย่างไรกับเรื่องนี้?”

ใกล้ปีใหม่แล้ว ฮ่องเต้ว่านลี่ขี้เกียจตรัสมาก ถามเจ้าตัวตรงๆ หวังทงรับพระบัญชาก้าวออกมาถวายบังคมทูลตอบว่า

“ฝ่าบาท เมืองเหลียวโจวทำเช่นนี้ ทำให้ผู้จงรักภักดีแผ่นดินหมิงต้องเจ็บปวดใจ นอกเมืองหมื่นลี้ ทหารแผ่นดินหมิงออกรบนอกพื้นที่ไกลออกไป ย่อมต้องการคนช่วย หากคนเหล่านี้ช่วยเราแล้วกลับถูกพวกนอกด่านด้วยกันสังหารทิ้ง เช่นนี้วันหน้าจะมีผู้ใดกล้าภักดีแผ่นดินหมิง……”

หวังทงกล่าวเป็นฉากๆ  ที่กล่าวมานั้นกับที่กล่าวส่วนตัววันนั้นกับหยางซือเฉินไม่ได้แตกต่าง ฮ่องเต้ว่านลี่ตั้งใจฟัง หวังทงกล่าวถึงสุดท้าย นอกจากเน้นย้ำถึงนอกด่านแล้ว ยังกล่าวว่า

“…….ทัพใหญ่เมืองเหลียวโจว ทหารกล้าไม่น้อยกว่าสองหมื่น  ทหารสั่งการได้ก็ไม่ต่ำกว่าแสนห้า กลับปล่อยให้หัวหน้าชนเผ่าหนี่ว์เจินเป็นใหญ่ ปล่อยปละละเลย การทำเช่นนี้ เรียกว่าเลี้ยงโจรเพื่อตน……”

กล่าวจบ ทุกคนก็จ้องมองมา ในใจคิดว่าใต้เท้าหวังไม่ธรรมดา ใช้คำว่า  เลี้ยงโจรเพื่อตน  คำนี้เป็นเรื่องใหญ่สำหรับขุนพลเมืองชายแดน

ในการประชุมขุนนางไม่ได้เสนอวิธีการจัดการอย่างเป็นรูปธรรม แต่พอจบการประชุมขุนนาง หวังทงก็ถูกฮ่องเต้ว่านลี่เรียกตัวไว้ ฮ่องเต้ว่านลี่รู้ว่าหวังทงไม่เคยปล่อยธนูออกไปโดยไร้เป้า ดังนั้นที่พูดในที่ประชุมขุนนางก็ย่อมมีเหตุผลของเขา และยังใช้เส้นทางยื่นฎีกาแบบนี้อีก น่าสนใจ

“หลี่เฉิงเหลียงมีใจคิดไม่ซื่ออย่างไร?”

“ทูลฝ่าบาท หลี่เฉิงเหลียงทั้งตระกูลนับว่าจงรักภักดีแผ่นดินหมิง”

ถามขึ้นตอบไป ฮ่องเต้ว่านลี่ขมวดพระขนงตรัสถามขึ้น

“ในเมื่อเช่นนี้ เหตุใดเจ้าจึงทำเรื่องเช่นนี้?”

“ฝ่าบาท ตระกูลหลี่แม้จงรักภักดี แต่ตอนนี้จิตใจเพื่อราชสำนักกลับไม่สู้ใจที่คิดเพื่ออำนาจวาสนาตนเอง สนใจแต่ตนเองมากกว่า ราชสำนักหากยังปล่อยปละ เช่นเรื่องหัวหน้าเผ่าหนี่ว์เจินที่เจี้ยนโจว มีข่าวลือว่าตระกูลหลี่ให้ท้าย เป็นศัตรูที่จงใจปล่อยไว้ เรื่องเช่นนี้เป็นผลร้ายต่อแผ่นดินหมิง แต่สามารถรับประกันอำนาจวาสนาตระกูลหลี่ หากไม่กำราบเสียบ้าง ตระกูลหลี่ลืมตน ช้าเร็วก็ย่อมต้องเป็นภัยใหญ่”

หวังทงตอบแล้ว ฮ่องเต้ว่านลี่กลับเงียบไปครู่หนึ่ง หวังทงอาศัยตีเหล็กเมื่อร้อนสำทับต่อทันทีว่า

“ฝ่าบาทคงได้ทรงได้อ่านรายงานองครักษ์เสื้อแพรกับสำนักบูรพาแล้ว ตอนนี้ทางเมืองเหลียวโจว หรือแม้แต่ชนเผ่าอื่นนอกกำแพงเมือง มีผู้ใดรู้จักฝ่าบาท ใช่ว่ารู้จักแต่แม่ทัพหรือหรอกหรือ เมืองเหลียวโจวเป็นชายแดนแผ่นดินฝ่าบาท เป็นพื้นที่แผ่นดินหมิง ไม่ใช่พื้นที่ขอตระกูลหลี่ครอบครองส่วนตัวนะพะยะค่ะ!”

ฮ่องเต้ว่านลี่ถือเรื่องพวกนี้มาก สีพระพักตร์แปรเปลี่ยน เงยพระพักตร์ตรัสว่า

“ควรต้องกำราบเสียบ้าง……”

ตรัสจบ  นายบ่าวก็สนทนากันต่ออีกสองสามคำ หวังทงขอตัวทูลลา หวังทงออกจากห้องทรงอักษรไป ฮ่องเต้ว่านลี่นิ่งไปพักหนึ่งก็ทรงตรัสถามขึ้น

“หวังทงทำเรื่องเช่นนี้ เพื่อซุนโส่วเหลียนอะไรนั่นที่เมืองเหลียวโจวกระมัง?”

จางเฉิงด้านหลังฮ่องเต้ว่านลี่ทูลตอบว่า

“ฝ่าบาททรงพระปรีชา น่าเป็นเช่นนั้น ก่อนเกิดเรื่อง ซุนโส่วเหลียนไปเยี่ยมคารวะหวังทง จากนั้นก็กลับไป เรื่องนี้เพิ่งเกิด น่าจะเป็นเช่นนี้”

ฮ่องเต้ว่านลี่ยิ้มส่ายพระพักตร์ สุดท้ายทอดหายใจยาว ตรัสนิ่งเรียบว่า

“ซุนโส่วเหลียนผู้นี้ หลายปีก่อนเราเคยได้ยินชื่อ สินค้านอกด่าน  ยังมีไม้ใหญ่นอกด่าน ล้วนเป็นคนผู้นี้จัดหามา ถึงกับเริ่มการค้าเมืองเหลียวโจวกับเทียนจิน ก็เป็นคนผู้นี้เริ่มคนแรก แม้ว่าเป็นขุนพลเมืองเหลียวโจว แต่ก็นับว่าเป็นเทพแห่งเงินทองเทียนจิน มิน่าหวังทงต้องลงแรงจัดการเมืองเหลียวโจว ก็ไม่รู้ว่าต้องการส่งเสริมซุนโส่วเหลียนอย่างไร?”

จางเฉิงครุ่นคิดก่อนจะทูลเบาๆ ว่า

“ฝ่าบาท เมืองเหลียวโจวตระกูลหลี่อย่างไรก็ควรกำราบบ้าง ในมือเขาอย่างไรก็มีกำลังสองเมืองชายแดนเช่นเมืองเหลียวโจวกับเมืองเซวียนฝู่ หลี่เฉิงเหลียงผู้นี้ยังเก่งกล้า แม้ว่าไม่ได้คิดการไม่ซื่อ แต่สำหรับฝ่าบาทแล้วก็นับว่าเป็นภัยที่ซ่อนอยู่ไม่น้อยดังหางใหญ่ที่หนักแต่ไม่อาจสลัดทิ้งพะยะค่ะ!”

“ควรต้องกำราบ หวังทงกล่าวไม่ผิด หลี่เฉิงเหลียงทำตัวเป็นดังฮ่องเต้นอกด่าน บุตรชายคนโตได้เป็นผู้บัญชาการใหญ่เมืองเซวียนฝู่ ยังคิดให้บุตรชายคนอื่นๆ ไปเป็นขุนนางตามเมืองต่างๆ อีกหรือ คิดว่าแผ่นดินหมิงควรมีตระกูลเขาเป็นขุนพลใหญ่คุมทั่วหรืออย่างไร ให้ในวังกับกรมทหารส่งคนไปตรวจสอบ”

ฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสไม่พอพระทัย เดิมในพระทัยก็เริ่มวิเคราะห์เมืองชายแดนไว้คร่าวๆ แล้ว หวังทงครั้งนั้นหลังกล่าวถึงในที่ประชุมขุนนาง ในพระทัยฮ่องเต้ว่านลี่ก็กระจ่างยิ่ง หลายปีนี้ชายแดนใช้จ่ายงบประมาณแผ่นดินหมิงไปมากเพียงนั้น กลับเอาแต่หดหัวอยู่ในกำแพงเมือง ในสายพระเนตรฮ่องเต้ว่านลี่กลับเป็นพวกอ่อนแอในทันที หลี่เฉิงเหลียงหากยังคิดเล่นลูกไม้ในเรื่องนี้อีก พระองค์ย่อมไม่ทรงยินยอม

ฮ่องเต้ว่านลี่มีรับสั่งแล้ว จางเฉิงด้านหลังพยักหน้ารับพระบัญชาคว้าฎีกาเล่มหนึ่งขึ้นจดบันทึก จางเฉิงอายุนับวันยิ่งมาก หลายเรื่องต้องจดบันทึกสักหน่อย จะได้ไม่ลืม เป็นสัญญาณแสดงความชรา แต่ฮ่องเต้ว่านลี่กลับไม่ทันได้สนพระทัย ใกล้ปีใหม่แล้ว อย่างไรแต่ละหน่วยก็ต้องคิดเรื่องงบประมาณ  ฎีกาน้อยลงไปมาก อ่านไปสองสามหน้า ฮ่องเต้ว่านลี่อยู่ๆ  ตรัสว่า

“เมื่อก่อนหวังทงทำงาน เรามักจะคิดนั่นนี่ เป็นห่วงเป็นกังวล แต่ตอนนี้เขาคิดเพื่ออำนาจวาสนาตนเองแล้ว เราควรวางใจ แต่เราก็รู้สึกไม่สบายใจ!”

ตรัสได้สองสามประโยคก็ทรงยิ้มเยาะพระองค์เอง พลิกอ่านฎีกาไปมา จางเฉิงด้านหลังได้แต่ส่ายหน้า คิดอยากถอนหายใจแต่ไม่ได้ส่งเสียงออกมา

*************

เส้นทางการข่าวของตระกูลหลี่แห่งเมืองเหลียวโจวมากยิ่งกว่าที่หวังทงรู้  ราชสำนักวิพากษ์วิจารณ์กันวันเดียวก็ถูกคนเรียบเรียงเป็นเอกสารม้าเร็วส่งออกจากเมืองหลวงแล้ว

เมืองหลวงไปเมืองเหลียวโจว ผ่านเมืองซุ่นเทียน หย่งผิงและด่านซานไห่กวน  เส้นทางปลอดโปร่ง  หลังออกจากด่านซานไห่กวน ไม่สนใจกำลังม้าจะเหนื่อยตายก็เร่งความเร็วได้เร็วขึ้นอีก

ราววันที่ 29 เดือนสิบสอง หลี่เฉิงเหลียงก็ได้รับเอกสาร หลี่เฉิงเหลียงเคยเรียนหนังสือมา ตนเองย่อมอ่านหนังสือออก ใกล้ปีใหม่ หลี่หรูป๋อ หลี่หรูเหมยและบุตรชายคนอื่นๆ ล้วนอยู่เหลียวหยาง อย่างไรก็ต้องตามตัวมาหารือ

หลี่เฉิงเหลียงประจำที่เมืองเหลียวโจวมาเกือบ 30 ปี บุตรชายหลายคนล้วนเป็นขุนพลประจำแต่ละเขต  อยู่ในสถานะสูงส่งมานาน  ล้วนเข้าใจกระจ่างในหลายเรื่อง

“ซุนโส่วเหลียน เจ้าคนกินบนเรือนขี้รดบนหลังคา ถึงกับไร้ยางอาย ท่านพ่อหรือว่าจับตัวมันว่าสมคบคิดกับพวกนอกด่าน ส่งคนไปตัดหัวทิ้งเลย!”

หลี่หรูป๋อด่าขึ้น แต่น้ำเสียงก็ปกติมาก คนที่เหลือไม่รับคำ พากันมองไปยังหลี่เฉิงเหลียง หลี่เฉิงเหลียงหมุนลูกเหล็กในมือไปมา ส่ายหน้ากล่าวว่า

“ซุนโส่วเหลียนมีสายสัมพันธ์หวังทงแล้ว ตอนนี้หากลงมือกับเขา หวังทงต้องไม่ยอมแน่ คนผู้นี้มีวิธีจัดการเช่นไรพวกเจ้ายังไม่รู้อีกหรือ!”

“ราชสำนักก็เหลวไหล ตระกูลหลี่เราเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย เขามันแค่ขุนนางคนสนิท ถึงกับก้าวมายืดได้ถึงขั้นนี้ ใช่ว่าทำให้ขุนนางทั้งหลายต้องเหน็บหนาวใจหรือ หากปล่อยเช่นนี้ไป ผู้ใดจะยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อตระกูลจู (ฮ่องเต้ว่านลี่แซ่จู) อีกเล่า!”

ไม่รู้เป็นผู้ใดกล่าวเช่นนี้ออกมา หลี่เฉิงเหลียงวางลูกเหล็กในมือลงบนโต๊ะ เริ่มมีแววกรุ่นโกรธ ตำหนิว่า

“คับแค้นก็คับแค้นไป สมองอย่าได้ทื่อ  หวังทงรบทัพจับศึกมาเท่าไร หรือว่าพวกเจ้าไม่รู้ พวกนอกด่านบนทุ่งหญ้ากล่าวกันอย่างไร วาจาเหล่านั้น ห้าปีก่อนพูดได้ แต่ตอนนี้พูดออกมา หรือแม้แต่คิด ช้าเร็วย่อมทำให้ตระกูลหลี่ถึงคราวพินาศ!!”

ถูกตำหนิไปสองสามคำ ในห้องเงียบไปมาก ทุกคนเป็นทหาร ย่อมรู่วาความชอบหวังทงจริงหรือเท็จ และหลี่เฉิงเหลียงวาจานี้ก็ไม่ได้รอบคอบอันใด โดยเฉพาะที่ว่า  ‘ห้าปีก่อน’  …

“เมืองหลวงจะส่งคนมาตรวจสอบแล้ว พวกเจ้ารีบกลับไปเตรียมการให้รอบคอบ อีกเรื่อง เจี้ยนโจวทางนั้นตัดสัมพันธ์ไปก่อน นี่เป็นเรื่องเล็ก แต่ก็อาจเป็นเหตุให้คนกุเป็นเรื่องใหญ่ได้”

ได้ยินเช่นนี้ หลี่หรูป๋อเงยหน้าขึ้น ลังเลถามขึ้นว่า

“ท่านพ่อ เจี้ยนโจวทางนั้นมอบของให้มากมาย หากลงมือกับพวกเขา เผ่าหนี่ว์เจินอื่นๆ เกรงว่าจะ……”

“พวกนั้นสักเท่าไรกัน เงินทองขี้ประติ๋วกับนางหญิงหยาบช้าคนหนึ่ง เจ้าก็สนใจด้วยหรือ หากราชสำนักบีบหนัก ต้องการปราบเจี้ยนโจวจริงๆ พวกเราก็ต้องจัดการ!”

องครักษ์เสื้อแพร

องครักษ์เสื้อแพร

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 1116 อ่านนิยาย


หากคุณชอบนิยายจีนย้อนเวลา เรื่องราวเข้มข้นสุดมันส์ในประวัติศาสตร์ราชวงศ์หมิงอยู่ที่นี่แล้ว!

ชาตินี้ต้องตายเพราะโรคร้าย ทั้งๆ ที่กำลังประสบความสำเร็จในธุรกิจ

เขาไม่ยอม!!

ชาติหน้าเขาจะต้องมีชีวิตที่รุ่งโรจน์กว่าผู้ใด…

หวังทงย้อนเวลามาเกิดใหม่ในราชวงศ์หมิงพร้อมความทรงจำของมนุษย์ทำงานในศตวรรษที่ 21

รัชสมัยฮ่องเต้ว่านลี่เป็นช่วงเวลาที่รุ่งโรจน์ที่สุดในประวัติศาสตร์ราชวงศ์หมิง

และก็เป็นยุคสุดท้ายแห่งความรุ่งโรจน์ของราชวงศ์หมิง

หวังทงในฐานะ ‘องครักษ์เสื้อแพร’ จะนำความรู้สมัยใหม่ไปทำอะไรได้บ้าง

นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอะไรในประวัติศาสตร์

…วินาทีที่เขาปรากฏตัวขึ้น ห้วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์ก็เริ่มหมุนเปลี่ยนทิศ…

Options

not work with dark mode
Reset