องครักษ์เสื้อแพร 908 สามฝ่ายสมดุล มั่นคงที่สุด

ตอนที่ 908 สามฝ่ายสมดุล มั่นคงที่สุด
ตอนที่ 908 สามฝ่ายสมดุล มั่นคงที่สุด

เมืองหลวงทุกคนรู้ดีว่าหยางเหว่ยบงการศิษย์ตนอู๋จั้วไหลออกหน้าไปจัดการสร้างกระแส และหยางเหว่ยยังลงแรงในเรื่องนี้ไม่น้อย แต่ทุกเรื่องต้องมีคนประสานงาน ล้วนเป็นอู๋จั้วไหลออกหน้า แม้แต่พวกที่ติดตามอู๋จั้วไหลแต่ต้น ก็ล้วนเป็นอู๋จั้วไหลออกหน้าไปติดต่อมาเอง

หยางเหว่ยร่วมกับเรื่องนี้จริง แต่ก็เพราะตระหนักในเรื่องลำดับอาวุโสอันเป็นหลักจารีต ยังมีพวกขุนนางส่วนใหญ่ที่เห็นด้วยยื่นฎีกา เป็นเรื่องของมวลชน มีความผิด แต่มิใช่ความผิดใหญ่

ส่วนอู๋จั้วไหลเป็นหยางเหว่ยบงการหรือไม่ คนก็ตายไปแล้ว ไม่มีหลักฐานสาวมาถึงอีก เสนาบดีกรมปกครองหยางเหว่ยยื่นฎีกาว่าสั่งสอนศิษย์ไม่ดี ความจริงในสถานการณ์นี้ก็คงได้แต่กล่าวเป็นความผิดบนความผิดไปก็เท่านั้น

เสนาบดีกรมปกครองหยางเหว่ยยื่นฎีกาลาออก ฮ่องเต้ว่านลี่ย่อมไม่คิดรั้งไว้ ที่จริงแล้ว ดูเหมือนว่าจะเกิดเหตุกวาดล้างใหญ่  แต่หยางเหว่ยรอดตัวไปแล้ว เช่นนี้จึงทำให้ขุนนางส่วนใหญ่ไม่ต้องหนักใจมาก

เป็นอู๋จั้วไหลที่คิดว่าเรื่องแต่งตั้งรัชทายาทสามารถอ้างเป็นเหตุลงมือได้ ขอเพียงสร้างกระแสได้ ก็สามารถทำให้ตนเองได้อำนาจมากขึ้น ให้อาจารย์ตนเองได้ก้าวขึ้นไปอีกขั้น อำนาจวาสนาย่อมมากมายไม่อาจกล่าวได้หมด ก็เพราะใจทะเยอทะยาน จึงไปติดต่อเหยาฟู่มายื่นฎีกา จึงได้เริ่มประสานงานรอบทิศ เริ่มเคลื่อนไหวขึ้น

หากมีความผิด ทุกคนก็ไม่มีความผิดใด ทว่าเรื่องเช่นนี้ แต่ประวัติศาสตร์มาทุกคนก็เข้าร่วม ในเมื่อมีคนนำ ทุกคนก็ย่อมตาม คิดไม่ถึงว่า จะตกหลุมพลางขุนนางชั่ว ทำให้สถานการณ์เป็นเช่นนี้ไปได้

************

“เรารู้ว่าหยางเหว่ยเป็นคนบงการ ใต้หล้าก็รู้เช่นกัน แต่ต้องปล่อยลอยนวลไปเช่นนี้  คนผู้นี้จิตใจโหดเหี้ยม คิดวิธีการลงมือได้ไม่เลวเหมือนกัน!”

วันที่ 18 เดือนเจ็ด หยางเหว่ยยื่นฎีกาลาออก ฮ่องเต้ว่านลี่มีพระราชานุญาต พอกลับตำหนัก ก็ระบายกับพระสนมเอกเจิ้ง พระสนมเอกเจิ้งตอนนี้ไม่ได้หวาดกลัวเหมือนเมื่อหลายเดือนที่ผ่านมาแล้ว เทียบกับเมื่อก่อนแล้วก็ฉายบารมีมากอยู่หลายส่วน  ได้ยินฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสเช่นนี้ ก็คิดก่อนทูลว่า

“ตามความเห็นหม่อมฉัน อู๋จั้วไหลดื่มยาพิษน่ามีอะไรแอบแฝงจริงๆ”

“ไม่แค่มีแอบแฝง พออู๋จั้วไหลตาย ไม่รู้ขุนนางในราชสำนักมากมายเท่าไรความผิดใหญ่กลายเป็นความผิดเล็กทันที ถึงกับไร้ความผิดไปก็มี แม้ว่าเขาไม่อยากตายก็ต้องตาย เพียงแค่วันนี้หลายคนในสำนักส่วนพระองค์กับคณะเสนาบดีใหญ่เอาแต่เตือนเรา บอกว่าเรื่องนี้อย่าทำให้ใหญ่โต หัวหน้าคนต้นเรื่องลาออกไปแล้วก็พอ ไม่เช่นนั้นจะทำให้เกิดความวุ่นวาย”

“แล้วฝ่าบาททรงคิดเช่นไรเพคะ?”

“เรารับไม่ได้ ทว่าที่พวกเขาพูดมาก็จริง เราต้องอาศัยพวกเขาปกครองราษฎร ยังต้องอาศัยพวกเขาเก็บภาษี หากไม่มีพวกเขาแล้ว เกรงว่าคนอื่นคงก่อเภทภัยใหญ่กว่า”

ฮ่องเต้ว่านลี่ประทับนั่งอยู่ข้างเตียงบรรทมในฉลองพระองค์สบายๆ ตรัสสัพเพเหระกับพระสนมเอกเจิ้ง ในห้องมีแค่สี่คน จูฉางสวินที่เริ่มเดินได้แล้วอยู่ข้างแม่นม กำลังคลานบนพื้นพรมหนา เดินได้สองสามก้าวก็ล้ม จากนั้นก็ลุกขึ้นมาเดินใหม่ เห็นฮ่องเต้ว่านลี่กับพระสนมเอกเจิ้งพากันแย้มสรวล

ทว่าความอบอุ่นในครอบครัวเช่นนี้ วาจาที่คุยกันกลับไม่ได้อบอุ่นตาม  แต่ในสภาพแวดล้อมตอนนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ผ่อนคลายมาก ทรงตรัสขึ้นเหมือนเป็นการระบายความอัดอั้นในใจว่า

“พวกร่ำเรียนตำรา ปกติก็อ้างแต่จารีตคุณธรรมใหญ่ หากคิดทำอะไรจริง ก็ไม่ใจอ่อนแม้แต่น้อย เราหลายวันก่อนก็รับรู้ได้จากการถูกฎีกาพวกเขาโจมตีเอา พวกเขากะว่ากองกำลังเมืองหลวงและกองกำลังสังกัดวังหลวงไม่เคลื่อนไหว ขอเพียงเราสั่งให้เคลื่อนไม่ได้ ก็เท่ากับเรากับพวกเขาสู้กัน พวกเขาคนมากกว่า เราจะไปชนะได้อย่างไร ……ทว่าเห็นจุดจบของอู๋จั้วไหลแล้ว เราก็ยังรู้สึกหวาดกลัว หากขุนนางบุ๋นเคลื่อนกำลังมาได้จริง ผู้ใดจะกล้ารับรองว่าพวกเขาจะไม่กล้าลงมือก่อการใหญ่กัน”

หวังทงกลับถึงเมืองหลวงร่วมหารือแนวทางกับฮ่องเต้ว่านลี่ ก็ไม่ได้คาดหวังให้กองกำลังสังกัดวังหลวงและกองกำลังเมืองหลวง ตลอดจนกำลังทหารหน่วยต่างๆ ในเมืองออกหน้ามาจัดการควบคุมอันใด

 ราชวงศ์หมิงสองร้อยกว่าปีมา กองกำลังเมืองหลวงค่อยๆ อยู่ในมือกรมทหาร ทำให้ขุนนางบุ๋นเข้าครอบงำได้ยิ่งมากขึ้น เดิมเป็นชนชั้นสูงคุมอำนาจก็ค่อยๆ ถูกขุนนางบุ๋นกับขันทีปลดอำนาจไป กองกำลังสังกัดวังหลวงแม้ว่าเป็นกำลังของราชวงศ์ แต่ฮ่องเต้ไม่ได้มีเวลามากไปดูแล คนดูแลหลักก็คือขันทีสำนักอาชาหลวง ขันทีกับขุนนางบุ๋น ในนอกประสานกำลัง ดูแล้วก็เป็นกลุ่มที่สมดุลอำนาจ เพื่อให้ฮ่องเต้ควบคุม แต่ประเด็นก็คือพวกขันทีกับขุนนางบุ๋นได้รับการศึกษาในแบบเดียวกันก็ทำให้เหมือนกัน พวกเขามักอาจร่วมมือกันได้ตลอดเวลา

มีพวกเขาค้ำอยู่ ฮ่องเต้ว่านลี่ไม่อาจมั่นพระทัยเต็มที่กับกองกำลังสังกัดวังหลวงและกองกำลังเมืองหลวง แต่กลับเกรงว่าจะก่อการเสียมากกว่า เพราะถูกขันทีและขุนนางบุ๋นคุมมานาน จะให้บรรดาขุนพลทหารลงมือกับพวกเขา  ก็ย่อมหลีกเลี่ยงความยุ่งยากไม่ได้ ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะแบ่งรับแบ่งสู้ ในห้วงเวลาสำคัญเช่นนี้ อาจทำให้เกิดกบฏได้

ดังนั้นหลังหวังทงกับฮ่องเต้ว่านลี่ร่วมวางแผน ก็มีราชโองการให้ทุกฝ่ายไม่เคลื่อนไหว รอให้จัดการพวกขุนนางบุ๋นและขันทีฝ่ายในบางคนได้ก่อน ให้พวกเขารอราชโองการค่อยออกมาเคลื่อนไหว

หลังวันที่ 15 เดือนเจ็ด ขุนนางราชสำนักยื่นฎีกาตำหนิตนเองไปพลางโจมตีกันเองไป  พากันปัดสวะเรื่องวันนั้นไปให้คนอื่นเพื่อให้ตนเองพ้นผิด หากอาศัยจังหวะนี้จัดการอีกฝ่ายลงได้ก็ดี หรือาจทำให้ตนเองได้ตำแหน่งมาบ้างก็ดี

การโจมตีกันเองเช่นนี้ทำให้ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงรู้ข่าวมากมาย เดิมขุนนางบุ๋นไม่ได้มีความมั่นใจว่าจะเคลื่อนกำลังได้ และก็ไม่คิดให้พวกทหารขุนนางบู๊ได้เข้าร่วมงานนี้  พวกเขาคิดเหมือนกันว่าให้พวกทหารไม่เคลื่อนไหว ไม่มีวิธีการรุนแรง ฮ่องเต้ว่านลี่ตัวคนเดียว จะจัดการคนหมู่มากได้อย่างไร ในวังก็กำลังอ่อนลงไปมากไม่อาจพึ่งพาได้ ไม่ต้องพูดถึงกลุ่มขันทีที่หลายคนส่วนใหญ่ก็ค่อนมาทางพวกขุนนางบุ๋น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงไทเฮาฉือเซิ่งที่ให้การสนับสนุนอีก

ฮ่องเต้ว่านลี่ยามตรัสเรื่องนี้ก็เคร่งเครียดมาก เพราะพระสนมเอกเจิ้งอยู่ จึงไม่ได้ระวังรับสั่ง เริ่มบ่นไม่หยุด

“เราจำได้ว่าตอนเด็กๆ เสด็จปู่ตรัสว่า เป็นนายไม่อาจปล่อยให้บ่าวเป็นใหญ่ผู้เดียว ดังนั้นเสด็จปู่จึงใช้งานเหยียนซงมาถึง 20 กว่าปี ต่อมายกสวีเจี้ยขึ้นมา ใช้งานสวีเจี้ย แต่ก็ยังให้กาวก่งกับจางจวีเจิ้งมีอำนาจด้วย และเสด็จปู่ยังคงใช้งานลู่ปิ่งมาตลอด มาถึงเสด็จพ่อ มีกาวก่ง แต่จางจวีเจิ้งกับเขาไม่ถูกกัน เหตุใดมาถึงเราเป็นฮ่องเต้ กลับไม่อาจสมดุลได้”

พระสนมเอกเจิ้งเข้าไปเปลี่ยนตำแหน่งหมอนให้ฮ่องเต้ว่านลี่ ให้ฮ่องเต้ว่านลี่อยู่ในท่วงท่าที่สบายขึ้น และยังโบกมือให้แม่นมออกไปก่อน บอกให้เอารัชทายาทออกไปด้วย

พอในห้องเหลือกันแค่สองพระองค์ ฮ่องเต้ว่านลี่มองเพดานถอนหายใจยาวตรัสว่า

“เฝิงเป่ากับจางจวีเจิ้งอำนาจมาก เราใช้จางเฉิงกับจางซื่อเหวย จางซื่อเหวยอำนาจมาก เราใช้เซินสือหัง ข้างกายเราก็มีหวังทง ตอนหวังทงมีความชอบมาก เราก็ต้องกำราบสักหน่อย แต่สถานการณ์ไยจึงเป็นเช่นนี้ เราจำได้ว่าตอนอยู่ลานฝึกหู่เวย มีคนกล่าวสำนวนว่า กดน้ำเต้าลงไป ฝักน้ำเต้าก็ลอยขึ้นอีกทาง เราทำอย่างไรก็ไม่อาจสมดุลไว้ได้ กดทางหนึ่ง อีกทางก็พองขึ้น มาข่มขู่เราได้อยู่ดี  เรากำราบหวังทง ขุนนางบุ๋นก็พองตัวทันที ถึงกับทำเรื่องบัดซบกับเราในหลายเดือนมานี้ได้ เราเรียกหวังทงกลับมา แต่ก็กลัวว่าหวังทงจะพองอำนาจ ขุนนางบุ๋นอ่อนอำนาจลง  ในวังก็ขยายอำนาจขึ้น มันช่าง…”

กล่าวถึงตรงนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่ก็เงียบไม่ตรัสต่อ ทรงรู้สึกว่ากล่าวเช่นนี้ผิดกับหวังทง อย่า6งไรหวังทงก็มาช่วยพระองค์ทุกครั้งโดยไม่คิดถึงผลได้ผลเสีย พระองค์ยังระแวงเช่นนี้อีก

พระสนมเอกเจิ้งเงียบไปครู่หนึ่ง เขยิบเข้าใกล้กราบทูลว่า

“ฝ่าบาท หม่อมฉันเข้าใจว่า ทรงคิดใช้งานหวังทง แต่ก็กลัวหวังทงจะเหมือนขุนนางบุ๋นพวกนั้น ลืมตนหรือเพคะ?”

ฮ่องเต้ว่านลี่พยักพระพักตร์เงียบๆ พระสนมเอกเจิ้งค่อยๆ ตรัสต่อว่า

“ฝ่าบาท หม่อมฉันเป็นสตรี ไม่ค่อยรู้เรื่องการเมืองการแผ่นดิน แต่ตอนอยู่ในวังเคยอ่านตำราหลายเล่ม ก็ขอมีความคิดเห็นโง่เขลาดูเพคะ”

คุยกันส่วนตัวในห้องบรรทม ฮ่องเต้ว่านลี่ไม่มากพิธี สองมือรองท้ายทอย มองพระสนมเอกเจิ้งตื่นเต้นกล่าวว่า

“สนมที่รักมีความคิดใน เล่าให้เราฟัง”

“ฝ่าบาท ตำราบอกว่าหลักการเป็นนายคุมเหนือสุด ให้สมดุลอำนาจบ่าวในปกครอง ฝ่าบาทกับอดีตฮ่องเต้และเสด็จปู่ฝ่าบาทก็ใช้วิธีนี้  บ้างก็ใช้ฝ่ายในกับฝ่ายนอก บ้างก็ใช้ฝ่ายนอกกับฝ่ายนอก ทว่าสองฝ่ายสมดุลกลับไม่มั่นคง มักมีอีกฝ่ายเหนืออีกฝ่าย ถึงตอนนั้นก็ไร้สมดุล แต่หากมีสามฝ่ายเล่า ให้พวกเขาคุมกันเอง แย่งกันเอง ผู้ใดคิดเป็นใหญ่ อีกสองฝ่ายก็ย่อมไม่นั่งมองเฉย สมดุลเช่นนี้ก็จะรักษาให้ยืนยาวไปได้นาน ฝ่าบาทก็ไม่ต้องทรงกังวลคอยจัดการ”

พระสนมเอกเจิ้งกล่าวถึงตรงนี้ กลับเห็นสีพระพักตร์ฮ่องเต้ว่านลี่ไร้รอยแย้มสรวล อึ้งมองพระนางอย่างตกใจ  พระสนมเอกเจิ้งรีบก้มหน้าทูลว่า

“หม่อมฉันกล่าวมิบังควร……”

พระสนมเอกเจิ้งยังตรัสไม่ทันจบก็ถูกขัดขึ้น ฮ่องเต้ว่านลี่ประทับยืนขึ้นตบพระหัตถ์ดัง สีพระพักตร์ยินดียิ่งตรัสว่า

“กล่าวได้ถูกต้องๆ เรามักคิดแต่เรื่องว่าในนอกสมดุลอำนาจ แต่ในนอกนั้นหากไม่ใช่ฝ่ายหนึ่งใหญ่ ก็สองฝ่ายร่วมมือกัน หากมีสามฝ่าย เช่นในวัง นอกวังและหวังทง ให้เขาสามฝ่ายสมดุลอำนาจกัน มีหวังทงอยู่ข้างกายเรา พวกเขาผู้ใดจะกล้าทำอันใดเรา มีฝ่ายในและฝ่ายนอก เราก็ไม่ต้องกลัวว่าหวังทงจะเป็นใหญ่ผู้เดียว โอย ก่อนหน้านี้เราทำไมเลอะเลือนไปได้ ทำให้เขาใจเสียไปไม่ว่า ยังทำให้เราเองต้องเจอกระแสคลื่นลมหนักเช่นนี้ได้”

ฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสถึงตรงนี้ก็เริ่มเดินวนไปมาในห้อง ตบหน้าผากตรัสว่า

“เสด็จปู่เราใช้ ฟู่เหยียน เหยียนซง และสวีเจี้ย เราเหตุใดจึงลืมไปว่าในวังยังมีหลี่ว์ฟางกับหวงจิ่นอีก นอกวังยังมีลู่ปิ่งหวังทงก็คือลู่ปิ่งของเรา”

กล่าวถึงตรงนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่ก็หัวเราะดังลั่น หันกลับไปอุ้มพระสนมเอกเจิ้ง กะทันหันยืนไม่มั่นคง สองพระองค์ล้มลงบนพรมหนา ฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสว่า

“สนมที่รักเป็นภรรยาที่สามารถคอยหนุนหลังเราจริงๆ!”

องครักษ์เสื้อแพร

องครักษ์เสื้อแพร

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 1116 อ่านนิยาย


หากคุณชอบนิยายจีนย้อนเวลา เรื่องราวเข้มข้นสุดมันส์ในประวัติศาสตร์ราชวงศ์หมิงอยู่ที่นี่แล้ว!

ชาตินี้ต้องตายเพราะโรคร้าย ทั้งๆ ที่กำลังประสบความสำเร็จในธุรกิจ

เขาไม่ยอม!!

ชาติหน้าเขาจะต้องมีชีวิตที่รุ่งโรจน์กว่าผู้ใด…

หวังทงย้อนเวลามาเกิดใหม่ในราชวงศ์หมิงพร้อมความทรงจำของมนุษย์ทำงานในศตวรรษที่ 21

รัชสมัยฮ่องเต้ว่านลี่เป็นช่วงเวลาที่รุ่งโรจน์ที่สุดในประวัติศาสตร์ราชวงศ์หมิง

และก็เป็นยุคสุดท้ายแห่งความรุ่งโรจน์ของราชวงศ์หมิง

หวังทงในฐานะ ‘องครักษ์เสื้อแพร’ จะนำความรู้สมัยใหม่ไปทำอะไรได้บ้าง

นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอะไรในประวัติศาสตร์

…วินาทีที่เขาปรากฏตัวขึ้น ห้วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์ก็เริ่มหมุนเปลี่ยนทิศ…

Options

not work with dark mode
Reset