องครักษ์เสื้อแพร 902 เจ้าทำงาน เราวางใจ

ตอนที่ 902 เจ้าทำงาน เราวางใจ
ตอนที่ 902 เจ้าทำงาน เราวางใจ

ฮ่องเต้ว่านลี่บัดเดี๋ยวหัวเราะบัดเดี๋ยวด่าทอหน้าแท่นประทับพระที่นั่งเฟิ่งเทียนเหมิน เริ่มเสียพระจริตลืมพระองค์ไปเสียแล้ว ขุนนางด้านล่างไม่กล้าขยับ ยังคงคุกเข่าสงบเสงี่ยมเรียบร้อย

อยู่ๆ มาหาเรื่องก่อกวนเรื่องการแต่งตั้งรัชทายาท กดฮ่องเต้ว่านลี่มานาน วันนี้อยู่ๆ เรื่องกลับตาลปัตร พวกที่ว่าแข็งกร้าวอ้างฟ้าอ้างคุณธรรมกลับอ่อนยวบยาบในยามนี้ ขุนนางคุกเข่าถวายบังคมลง ไม่มีผู้กล้าส่งเสียงค้าน ก็มีบ้างที่แอบไม่พอใจ กว่าจะมีคนเช่นอู๋จั้วไหลก้าวออกมาก็ไม่ง่าย แต่กลับขี้ขลาดยิ่ง

คิดถึงว่าพระองค์ถูกคนพวกนี้กดขี่ไว้ตั้งนาน ฮ่องเต้ว่านลี่ได้แต่รู้สึกสมเพชพระองค์เอง ช่างน่าขันเสียจริง รู้สึกว่าหวังทงจงรักภักดียิ่ง

ทรงกำลังตรัสกับหวังทงอยู่ ด้านล่างก็มีเซินสือหังออกมาทูลดังว่า

“ฝ่าบาท พวกขุนนางคุกเข่ากันนานแล้ว อายุก็มากกันแล้ว ไม่อาจรับไหว และก็ประชุมกันมานานแล้ว คนข้างนอกคงคาดเดากันไปต่างๆ นานาแล้ว ขอฝ่าบาทตัดสินพระทัยโดยเร็วพะยะค่ะ”

คณะเสนาบดีใหญ่ทุกคนแสดงท่าทีเป็นกลางมาตลอด และค่อนไปทางฮ่องเต้ว่านลี่ วาจาทูลของเซินสือหัง ฮ่องเต้ว่านลี่ย่อมรับฟัง แต่ก็อึ้งไป หันไปมองหวังทงก่อน

หวังทงถอยหลังลงถวายคำนับทูลว่า

“กรมพิธีการจะออกราชโองการก็ต้องกลับไปที่ทำการก่อนพะยะค่ะ ขอฝ่าบาทมีพระบัญชาให้จัดการหลังประชุมขุนนางนี้พะยะค่ะ!”

“ขอทรงวางพระทัย  ทุกอย่างอยู่ในการควบคุมแล้ว”

หวังทงคำนับตอบ จางเฉิงลุกขึ้นทูลว่า

“กระหม่อมส่งคนไปเฝ้าดูกรมพิธีการแล้ว ขอทรงวางพระทัย พวกเขาไม่กล้าชักช้าแน่”

ฮ่องเต้ว่านลี่ทอดพระเนตรจางเฉิงกับหวังทง ตรัสถามขึ้น

“กองกำลังเมืองหลวง กองกำลังสังกัดวังหลวง ล้วนไม่ให้เราสั่งการ ปล่อยพวกเขาไป……”

หวังทงสีหน้ามั่นใจ เสียงดังยิ้มกล่าวว่า

“ขอทรงวางพระทัย ทหารพวกนี้เดิมสั่งการไม่ได้ แต่ตอนนี้ทุกอย่างล้วนอยู่ในมือฝ่าบาท”

ฮ่องเต้ว่านลี่พยักหน้า ถอนหายใจยาว หันหลังจะกลับไปประทับนั่งตามเดิม แต่พอเดินไปก้าวหนึ่งก็อ่อนแรง เกือบล้มลง หวังทงรีบเข้าไปประคองไว้ ฮ่องเต้ว่านลี่ส่ายหน้าพึมพำเยาะพระองค์เองว่า

“ไม่รู้ว่าทำไม ไม่มีแรงเอาเสียเลย พอสมองกับร่างกายผ่อนคลายลง ที่ขมวดตึงแน่นทั้งหมดมาสองเดือนนี้ก็คลายลง”

ตรัสจบ ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ยกพระหัตถ์ตบบ่าหวังทง ตรัสว่า

“เจ้าทำงาน เราวางใจ”

พอฮ่องเต้ว่านลี่กลับไปประทับนั่ง มองไปยังขุนนางที่คุกเข่าอยู่ แม้ว่าก่อนหน้าที่ทรงตะโกนจนเจ็บคอไปหมดแล้ว แต่ยามนี้ขุนนางที่คุกเข่าตรงหน้าไม่ได้แข็งกร้าวแล้ว ไม่ได้แสดงท่าทีไม่ยอมอ่อนข้อแล้ว เป็นขุนนางที่ยอมศิโรราบแต่โดยดีแล้ว ในพระทัยก็ลิงโลดยินดียิ่ง

ฮ่องเต้ว่านลี่คิดตรัสอันใด แต่ลังเลครู่หนึ่ง ก่อนจะกวักพระหัตถ์เรียกจางเฉิงเข้ามาใกล้ กระซิบไปสองสามคำ จางเฉิงพยักหน้าเดินไปหน้าแท่นสูง เสียงดังกล่าวว่า

“วันนี้พวกที่ล่วงเกินต่อหน้าพระที่นั่ง ให้เจ้าหน้าที่จัดการนำตัวไปลงโทษ วันนี้ฝ่าบาทมีราชโองการ เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องรีบดำเนินการหลังจบการประชุมขุนนางนี้ !!!”

ได้ยิน ‘หลังจบการประชุมขุนนาง’ ทุกคนก็พากันเงยหน้า บางคนอึ้งไป เมื่อครู่ฮ่องเต้ว่านลี่เสียพระจริตบ้าคลั่งขึ้นมา หลายเดือนนี้แย่งชิงกันดุเดือด ตอนนี้ทหารมาล้อมไว้ เมื่อครู่มีคนถูกลากออกไปตัดหัว ล้วนคิดว่าสักพักคงกวาดล้างใหญ่ คิดไม่ถึงว่าอยู่ ๆ จะเลิกประชุมเช่นนี้

ล่วงเกินต่อหน้าพระที่นั่งอย่างมากก็ปลดจากตำแหน่ง เทียบกับโทษตัดหัวล้างชั่วโคตรแล้ว เรียกได้ว่าเบามาก ทุกคนอึ้งไป ทว่ายามนี้ผู้ใดจะมีเวลามาสนใจเรื่องพวกนี้ ได้แต่พากันถอนหายใจคลายกังวล รีบถวายคำนับและถอยออกไปทันที

หวังทงหรี่ตามองไปยังฮ่องเต้ว่านลี่ หากเป็นฮ่องเต้ว่านลี่เมื่อหนึ่งปีหรือสองปีก่อน ดีไม่ดีก็จะมีราชโองการให้ประหารให้หมด แต่ตอนนี้ฮ่องเต้กลับรู้ว่าไม่อาจคิดเพียงสะใจแล้วก่อเกิดกระแสจลาจลทั่วหล้าได้

“หวังทง เมื่อครู่ขุนนางที่ลุกฮือขึ้นคนนั้น เจ้าจะตัดสินความผิดอันใดให้?”

ฮ่องเต้ว่านลี่ตรัสถาม หวังทงหันไปทูลตอบว่า

“มัดอยู่ข้างนอกพะยะค่ะ รอฝ่าบาทมีพระบัญชา”

“เมื่อครู่ไม่ใช่ว่าสังหารไปแล้วหรือ?”

ฮ่องเต้ว่านลี่อึ้งไป หวังทงคำนับยิ้มกล่าวว่า

“ไม่มีรับสั่งฝ่าบาท กระหม่อมจะกล้าจัดการได้อย่างไรพะยะค่ะ เมื่อครู่แค่มัดออกไป ข่มขู่ขุนนางคนอื่นเท่านั้น”

ฮ่องเต้ว่านลี่อึ้งไป ตามมาด้วยเสียงหัวเราะดังลั่น ชี้หวังทงส่ายหน้าไปมา หวังทงหันไปสั่งการทหารคนหนึ่ง มีคนรีบวิ่งออกไปพาอู๋จั้วไหลเข้ามา อู๋จั้วไหลปากถูกอุดไว้ หมดเรี่ยวหมดแรง

“แล้วเมื่อครู่เจ้าสับอะไร?”

“สับหัวแพะพะยะค่ะ”

ถามตอบกันสองสามคำ ทำเอาฮ่องเต้ว่านลี่หัวเราะอีก ขุนนางอื่นออกไป เหลือสามคนในคณะเสนาบดีใหญ่อยู่ต่อ เห็นแล้วก็อึ้งไป เซินสือหังกลับเข้าไปทูลว่า

“ฝ่าบาท เรื่องแต่งตั้งรัชทายาทมีคนนอกวังไม่ร่วมด้วยน้อยมาก ฝ่าบาทหากจัดการโทษหนัก ย่อมเกิดกระแสจลาจลใหญ่ ขอฝ่าบาททรงพิจารณาด้วย”

“ท่านอำมาตย์กล่าวได้ถูกต้อง ขอฝ่าบาททรงวินิจฉัย!”

หวังซีเจวี๋ยกับสวีกั๋วคำนับพร้อมกัน ฮ่องเต้ว่านลี่จ้องมองเซินสือหัง เงียบไปครู่ก่อนตรัสอย่างไม่สบพระทัยว่า

“ตอนพวกเขาบีบเราเรื่องแต่งตั้งรัชทายาท ทำไมไม่เห็นพวกเจ้าออกมาช่วยเราสักคำ”

การย้อนถามนี้ไม่มีคำตอบกลับมา เป็นหวังซีเจวี๋ยนิ่งไปก่อนจะทูลว่า

“ฝ่าบาท ตอนนี้มีเรื่องสำคัญเร่งด่วน กองกำลังสังกัดวังหลวงสนามฝึกเหนือ กองกำลังเมืองหลวงนอกเมือง ล้วนเป็นต้นเหตุแห่งความวุ่นวาย เรื่องนี้ในวัง……”

กล่าวถึงตรงนี้ หวังซีเจวี๋ยกลับเงียบ ได้แต่โขกศีรษะ ฮ่องเต้ว่านลี่แย้มสรวล หันไปมองจางหงที่ยังคุกเข่าอยู่กับพื้น ตรัสอย่างสบายอารมณ์ว่า

“ไม่มีราชโองการเรา ไม่มีลายพระหัตถ์เรา กองกำลังเมืองหลวงไม่เคลื่อนไหว กองกำลังสังกัดวังหลวงเรามีราชโองการไป หากสั่งการไม่ได้ แต่สามารถให้พวกเขาไม่เคลื่อนไหวได้ ส่วนในวัง…..หวังซีเจวี๋ย เจ้านับเป็นขุนนางมีความชอบ!”

ฮ่องเต้ว่านลี่หยุดไป สุดท้ายก็เปลี่ยนน้ำเสียง ตรัสเรียบๆ ว่า

“เจ้าสามคนไปปฏิบัติหน้าที่ตนเองได้แล้ว จับตากรมพิธีการออกราชโองการ บอกกับพวกข้างนอกว่า เรารู้แล้วว่าพวกเขาเลอะเลือนชั่วคราว ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ต่อไปก็พอ อย่าได้คิดเล่นลูกไม้ใดอีก ไปได้!”

พวกเซินสือหังสามคนคำนับ จากนั้นถอยออกไป ลานหน้าพระที่นั่งเฟิ่งเทียนเหมินกว้างมาก ฮ่องเต้ว่านลี่เหม่อมองอยู่นาน พวกหวังทงซ้ายขวายืนเงียบไม่ส่งเสียง นานกว่าฮ่องเต้ว่านลี่จะตรัสว่า

“จางปั้นปั้น ไปนำเกี้ยวแบกมา ตกแต่งเครื่องให้พร้อม รีบไป!”

จางเฉิงคำนับรับพระบัญชา วิ่งออกไปทันที ฮ่องเต้ว่านลี่หันไปมองหวังทง ยิ้มตรัสว่า

“สองปีก่อนเจ้ากับหู่โถวหลบในหีบเข้าวังมา  ครั้งนี้ปลอมตัวเป็นขันทีเข้าวังมา เจ้าว่าน่าขันหรือไม่ ในวังนี้เป็นที่ประทับเรา แต่ทุกครั้งพวกที่ก่อเรื่องล้วนเป็นคนข้างกายเรา”

หลังจากเยาะพระองค์เองแล้ว ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ตรัสอย่างอ่อนแรงว่า

“ทุกครั้งมีเจ้ามาช่วยข้างกายเรา ไม่เช่นนั้น เราก็ไม่เหมือนเป็นฮ่องเต้เอาเสียเลย”

หวังทงสีหน้านิ่ง คำนับกล่าวว่า

“นี่เป็นหน้าที่กระหม่อมพะยะค่ะ”

ฮ่องเต้เสด็จพระดำเนิน เกี้ยวแบกตกแต่งเครื่องทรงพร้อมเตรียมไว้พร้อมเสมอ ฮ่องเต้ว่านลี่มีพระบัญชา ก็ย่อมเตรียมเสร็จทันที เห็นขันทีเข้ามา จางเฉิงเข้าไปรายงานว่าเตรียมพร้อมแล้ว ฮ่องเต้ว่านลี่กลับนิ่งไม่เคลื่อนไหว หากตบที่ท้าวแขนเก้าอี้เลาๆ ท่าทีลังเล

ฮ่องเต้ว่านลี่ลังเลครู่หนึ่ง ก็ประทับยืนขึ้นตรัสว่า

“ยามตัดไม่ตัด กลับเป็นภัยใหญ่ ยืดเยื้อกันมานาน ก็ควรจัดการให้จบ”

ฮ่องเต้ว่านลี่เดินลงจากแท่นประทับ เกี้ยวแบกลดต่ำ ฮ่องเต้ว่านลี่ขึ้นประทับ ลังเลบนเกี้ยวพักหนึ่ง ก็ตรัสดังขึ้นว่า

“ไปตำหนักฉือหนิงกง  หวังทงนำคนคุ้มกันเราไป!”

หวังทงรับคำรีบตามไป จางเฉิงก็ตามไป จางจิงที่คุกเข่าเงียบก็ได้สติ ยันกายยืนขึ้น คุกเข่านานไป อายุมากแล้ว  เข่าจึงอ่อนยวบ ได้สติรีบตามเกี้ยวไป ไม่สนใจอันใดทั้งนั้น เข้าไปคุกเข่าขวางเกี้ยวฮ่องเต้ว่านลี่ไว้ ทูลขอร้องว่า

“ฝ่าบาท ฝ่าบาท ไทเฮาฉือเซิ่งเป็นพระมารดาแท้ๆ ฝ่าบาท ฝ่าบาทจะทำอันใด ใต้หล้าจะมองอย่างไร  บรรพชนจะว่าอย่างไร ฝ่าบาทจะต้องถูกเสียงด่าทอนะพะยะค่ะ!!”

ฮ่องเต้ว่านลี่ประทับนั่งตรงขึ้นบนเกี้ยวแบก มองไปยังจางจิงที่คุกเข่าอยู่ด้านหน้าด้วยสายพระเนตรเย็นเยียบ ขยับเข้าใกล้ตรัสเสียงเย็นเยียบว่า

“ไล่ไป อย่าหยุด!”

ขันทีสองคนรีบเข้ามาลากจางจิงออกไป จางจิงสถานะสูงส่งในฝ่ายใน ผู้ใดก็ไม่กล้าแตะต้อง แต่จางจิงยามนี้กลับเสียสติเช่นนี้ พอถูกสองขันทีลากออกไปก็ตะโกนเสียงแหบพร่าว่า

“ฝ่าบาท หากไม่มีไทเฮา ฝ่าบาทไหนเลยจะมีวันนี้ นั่นเป็นพระมารดาแท้ๆ ฝ่าบาทนะพะยะค่ะ!!”

ขันทีสองคนเตรียมจะลงมือก็กลับถูกฮ่องเต้ว่านลี่ตวาดให้หยุด ฮ่องเต้ว่านลี่บนเกี้ยว จ้องมองจางจิงตรัสเสียงเย็นเยียบว่า

“หากไม่มีเสด็จแม่ สองปีก่อนเราก็คงไม่ต้องไปหลบในตำหนักพระสนมเอกโดนพวกคนชั่วรุมโจมตีเกือบเอาตัวไม่รอด หากไม่มีเสด็จแม่ ครั้งนี้เราก็ไม่ต้องตามหวังทงกลับมา เราต้องจัดการแยกชัดเจนระหว่างเราผู้เป็นนายคนเดียวเหนือผู้ใดกับบ่าวทั้งหลายในวันนี้ เรารู้ว่า หากไม่มีเสด็จแม่ก็ไม่มีเราวันนี้ ถึงกับไม่มีแผ่นดินหมิงที่รุ่งเรืองนี้ และก็เพราะเสด็จแม่เป็นพระมารดาแท้ๆ ของเรา ดังนั้นเราจะต้องทำอะไรบ้าง เพื่อวันหน้าจะได้ไม่ต้องเพราะสายสัมพันธ์นี้ทำให้อะไรก็ทำไม่ได้ ออกไปได้แล้ว!”

ฮ่องเต้ว่านลี่ไม่ได้สุรเสียงกร้าว แต่ทว่าจางจิได้ยินแล้วก็ถึงกับอึ้งไป ร่างอ่อนยวบ เหมือนว่าอยู่ๆ ก็แก่ลงไปอีกหลายปี ไม่ต้องให้คนเข้าไปไล่ เขาค่อยๆ เดินจากไปเงียบๆ

ขันทีกับนางกำนัลในวังมีท่าทีลนลานเมื่อเห็นขบวนฮ่องเต้ว่านลี่มา พากันคุกเข่าเป็นสองแถว  พวกเขามองไปด้านหลังเป็นทหารชุดเกราะ ก็สีหน้าแตกตื่น

จากพระที่นั่งเฟิ่งเทียนมาถึงตำหนักฉือหนิงกงใช้เวลาไม่นาน พวกฮ่องเต้ว่านลี่มาถึงตำหนักฉือหนิงกง ก็เห็นว่าด้านนอกตำหนักฉือหนิงกงมีคนล้อมไว้สองวง เป็นทหารองครักษ์ฝ่ายในทั้งหมด  ล้วนหันเผชิญหน้ากันไม่มีใครยอมใคร หน้าประตูตำหนักฉือหนิงกงเห็นนางกำนัลกับขันทีชะโงกหน้าออกมาดูไม่หยุด ก่อนจะผลุบกลับเข้าไป

พอเห็นฮ่องเต้ว่านลี่เสด็จมา บรรยากาศเคร่งเครียดก็ผ่อนลง ฮ่องเต้ว่านลี่ไม่ได้สนใจ หากตรัสเพียงว่า

“อู่ชิงโหว แต่ไรมาก็ขอให้เสด็จแม่ไปพำนักด้วย เราก็เห็นใจท่านน้า ขอเสด็จแม่เสด็จไปพำนักจวนอู่ชิงโหวสักพัก ทุกอย่างในวังก็จัดการไปตามเดิม!!”

องครักษ์เสื้อแพร

องครักษ์เสื้อแพร

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 1116 อ่านนิยาย


หากคุณชอบนิยายจีนย้อนเวลา เรื่องราวเข้มข้นสุดมันส์ในประวัติศาสตร์ราชวงศ์หมิงอยู่ที่นี่แล้ว!

ชาตินี้ต้องตายเพราะโรคร้าย ทั้งๆ ที่กำลังประสบความสำเร็จในธุรกิจ

เขาไม่ยอม!!

ชาติหน้าเขาจะต้องมีชีวิตที่รุ่งโรจน์กว่าผู้ใด…

หวังทงย้อนเวลามาเกิดใหม่ในราชวงศ์หมิงพร้อมความทรงจำของมนุษย์ทำงานในศตวรรษที่ 21

รัชสมัยฮ่องเต้ว่านลี่เป็นช่วงเวลาที่รุ่งโรจน์ที่สุดในประวัติศาสตร์ราชวงศ์หมิง

และก็เป็นยุคสุดท้ายแห่งความรุ่งโรจน์ของราชวงศ์หมิง

หวังทงในฐานะ ‘องครักษ์เสื้อแพร’ จะนำความรู้สมัยใหม่ไปทำอะไรได้บ้าง

นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอะไรในประวัติศาสตร์

…วินาทีที่เขาปรากฏตัวขึ้น ห้วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์ก็เริ่มหมุนเปลี่ยนทิศ…

Options

not work with dark mode
Reset