องครักษ์เสื้อแพร 898 ลมฝนกระหน่ำ

ตอนที่ 898 ลมฝนกระหน่ำ
ตอนที่ 898 ลมฝนกระหน่ำ

“ใต้เท้าหวัง ลายพระหัตถ์ฝ่าบาทท่านก็ได้อ่านแล้ว เรื่องไม่อาจรอช้า ขอให้ท่านรีบออกเดินทาง!”

เจิ้งกั๋วไท่กล่าวอย่างหนักแน่น แต่หวังทงด้านหน้าเขากลับเงียบไม่ตอบ

เจิ้งกั๋วไท่เพิ่งอายุได้ 20 นับว่าเป็นเด็กหนุ่มไฟแรง เพราะพี่สาวตนเป็นสนมคนโปรดในวังหลัง เขาจึงได้เป็นหนึ่งในชนชั้นสูงแนวหน้าของเมืองหลวง

วาสนาของเขาล้วนอยู่กับพระสนมเอกเจิ้ง เมืองหลวงวุ่นวายกันเช่นนั้นแล้ว เจิ้งกั๋วไท่เองก็รู้ว่าหากพระโอรสองค์โตได้เป็นรัชทายาท พี่สาวเขาจากนี้ไปก็คงไม่มีวันเวลาที่ดีได้อีก ตนเองก็ย่อมไม่อาจเชิดหน้าชูตาอยู่ในวงชนชั้นสูงได้อีก

ดังนั้นแม้ว่าในวังไม่ได้สั่งการใด แต่เจิ้งกั๋วไท่เองกลับบากหน้าไปหาบรรดาบัณฑิตในเมืองหลวงที่ต่างๆ รวมทั้งขุนนางใหญ่หลายจวน

ตอนนี้มีเรื่องกันถึงขั้นนี้แล้ว ผู้ใดจะกล้าพบเขา ผู้ใดจะสนใจน้องชายพระสนมเช่นเขากัน ถูกปิดประตูใส่หน้าไม่ว่ายังถูกหัวเราะเยาะเอาก็ไม่น้อย

ตอนเจิ้งกั๋วไท่ใจกำลังร้อนดังไฟแผดเผา กลับถูกฮ่องเต้ว่านลี่เรียกเข้าเฝ้า ตอนเข้าวังแต่งกายเป็นขันทีเข้าไป ออกจากวันก็แต่งเช่นนี้ พอมาถึงกลางเมืองแห่งหนึ่งก็เข้าร้านค้า ออกมากลับแต่งกายแบบคนงานในขบวนพ่อค้า ออกจากประตูหลังไป

มีคนนำออกนอกเมือง ก่อนจะขึ้นม้าออกไป  พวกผู้คุ้มกันก็แต่งกายแบบชาวบ้าน แต่เจิ้งกั๋วไท่กลับเห็นหน้าคนผู้หนึ่งคุ้นหน้า รู้ว่าเป็นคนสำนักบูรพา

พระญาติและขันทีข้างพระวรกายออกนอกเมืองไปด้วยการแต่งกายเช่นนี้ บรรยากาศยามนี้ทำให้เจิ้งกั๋วไท่ยิ่งตื่นเต้น ยิ่งร้อนใจ

หลายปีนี้เขาอยู่บนกองวาสนา แต่ยามนี้ต้องเร่งเดินทางไม่ได้พัก แม้ว่าลำบาก แต่เจิ้งกั๋วไท่ก็ไม่ปริปากบ่น เขารู้ดีกว่า ตอนนี้เมืองหลวงสถานการณ์ถึงขั้นใดแล้ว หากชักช้าเพียงนิดก็อาจจะเกิดเป็นภัยใหญ่ได้ และครั้งนี้เขายังมีโอกาส ฮ่องเต้ว่านลี่โปรดพระสนมเอกเจิ้ง แต่กับเจิ้งกั๋วไท่กลับมิได้สนพระทัยมากนัก ครั้งนี้กลับให้งานเจิ้งกั๋วไท่มาทำ ทำให้เจิ้งกั๋วไท่ตื้นตันยิ่ง คว้าโอกาสนี้ไว้ วันหน้าย่อมมีอนาคตไกล

มาถึงเมืองกุยฮว่าเฉิง เจิ้งกั๋วไท่ไม่สนใจจะชมธรรมชาติที่ต่างจากในแผ่นดินหมิง หากรีบพาเจ้าจินเลี่ยงเข้าพบหวังทงทันที หวังทงกำลังขี่ม้าตรวจกองกำลังในโรงนา

วันนั้นที่มาถึงเมืองกุยฮว่าเฉิง เจ้าจินเลี่ยงประกาศราชโองการลายพระหัตถ์ฮ่องเต้ว่านลี่ จากนั้นส่งให้หวังทง ขณะเดียวกันยังส่งมอบของแสดงหลักฐานถึงฮ่องเต้ว่านลี่ชิ้นหนึ่งเพื่อแสดงว่าลายพระหัตถ์นี้ไม่ใช่ของปลอม

แต่ติ้งเป่ยโหว ผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรหวังทงกลับไม่แสดงท่าทีอันใด มองลายพระหัตถ์แล้วก็นิ่งไป เรื่องเร่งด่วนตอนนี้เช่นนี้ ชั่วยามเดียวก็ไม่อาจช้าได้ หวังทงกลับนิ่งเงียบ เจิ้งกั๋วไท่ลอบสังเกตอย่างละเอียด ในใจอยู่ๆ ก็ร้อนใจขึ้นทันที

“ใต้เท้าเจิ้ง ฝ่าบาทยังปลอดภัยอยู่ใช่หรือไม่?”

พอหวังทงถามเช่นนี้ เจิ้งกั๋วไท่อึ้งไป เมืองหลวงแม้วุ่นวายเช่นนั้น แต่ความปลอดภัยฮ่องเต้ว่านลี่ยังคงไม่มีอันใดน่าเป็นห่วง ก็แค่เป็นเรื่องอำนาจเท่านั้น

สีหน้าหวังทงดำคล้ำ ถือราชโองการในมือกล่าวว่า

“เรื่องเช่นนี้หากทำไป ข้าเองก็จะกลายเป็นเป้าโจมตีใต้หล้าทันที ชีวิตนี้เกรงว่าคงต้องร้อนอยู่บนกองไฟเป็นแน่”

เจ้าจินเลี่ยงกับเจิ้งกั๋วไท่กล่าวอันใดไม่ออก หวังทงทำเช่นนี้เกรงว่าก็คงต้องถูกก่นด่าจากทั่วหล้า และวันหน้าจะมีอันใดไปด้วยเรื่องวันนี้หรือไม่ก็ยากจะบอกได้

ไม่กล่าวเรื่องอื่น เอาแค่เหตุใดหวังซีเจวี๋ยเปลี่ยนใจ ก็เพราะเหตุนี้ สิ่งที่สั่งสมมาต้องพังทลายไป บัณฑิตใต้หล้าก็จะโจมตี นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น

หวังทงเหมือนลังเล ในใจเริ่มขัดแย้งกัน เจิ้งกั๋วไท่ยิ่งร้อนใจ ไม่สนใจอันใดทั้งสิ้น คุกเข่าลงร่ำไห้ทันทีว่า

“ใต้เท้าหวัง ใต้เท้าหวังหากยังลังเล ฝ่าบาทถูกในวังและนอกวังบีบอีกที อำนาจใต้เท้าหวังเองก็เกรงว่าไม่มั่นคงเช่นกัน น่าสงสารพระสนมเอกๆ น่าสงสารโอรสที่ยังเล็ก ใต้เท้าหวัง…”

เขาเริ่มร่ำไห้ยังกล่าวไม่จบก็มองเห็นหวังทงตบโต๊ะดัง ได้ยินเสียงดังปัง ทำเจิ้งกั๋วไท่ตกใจตัวสั่น วาจาอื่นๆ ล้วนกลืนลงท้องไปทันที

“ช่างมัน ข้าได้รับพระเมตตาจากฝ่าบาท ไม่มีฝ่าบาท ก็ไม่มีข้าในวันนี้ อำนาจส่วนตัวสูญเสียไปจะเท่าไรกัน เสี่ยวเลี่ยงกับใต้เท้าเจิ้งพักก่อน ข้าจะรีบไปเตรียมตัว”

เจิ้งกั๋วไท่ตัวเริ่มหายสั่น กำลังจะขอบคุณ กลับได้ยินหวังทงส่ายหน้ากล่าวว่า

“กลัวก็แต่ว่าครั้งนี้เสร็จงาน ก็คงได้ลาออกจากตำแหน่งกลับบ้านเกิดแล้ว!”

วาจาหวังทงดูไม่เคร่งเครียด แต่เจิ้งกั๋วไท่ข้างๆ กลับหาวาจามาปลอบใจไม่ได้ แม้เขาอายุน้อย แต่วงการขุนนางก็เข้าใจอยู่มาก เกรงว่าคงเป็นดังที่หวังทงว่ามา

เมืองกุยฮว่าเฉิงม้ามาก เตรียมตัวไม่ยาก ตอนบ่ายหวังทงก็จัดแจงให้ครอบครัวอยู่ที่นี่ นำผู้คุ้มกันออกจากเมืองกุยฮว่าเฉิง ครั้งนี้หวังทงนำผู้คุ้มกันไปร้อยกว่า และยังแต่งกายเป็นขบวนพ่อค้า คนหนึ่งม้าสามตัว ระหว่างทางวิ่งไม่หยุด เร่งความเร็วกลับเมืองหลวง

เจ้าจินเลี่ยงกับเจิ้งกั๋วไท่เป็นพวกที่สุขสบายมานาน ตลอดทางไม่ได้พัก ลำบากพวกเขามาก แต่มาถึงขั้นนี้แล้ว พวกเขาเองก็ไม่อาจสนใจเรื่องลำบากอันใดแล้ว

ทว่าที่ทำให้พวกเขาตกใจก็คือ ขากลับเร็วยิ่งกว่าขามามาก เพราะตลอดทางพอถึงเวลาม้าต้องพักและเติมกำลัง ก็จะได้พักทันที ไม่ต้องใช้เวลาจัดการนานนัก และที่เขตเมืองต้าถง มณฑลซานซี แม้ว่าพวกหวังทงแต่งกายแบบพวกคนธรรมดา แต่ตลอดทางก็ไม่มีผู้ใดมาขวางทางตรวจสอบหรือสอบถามอันใด มีหลายคนเห็นๆ ว่าไม่ใช่ทหารหวังทง แต่ก็ทนการเดินทางเช่นนี้ไหว

*************

ประชุมใหญ่หน้าพระที่นั่งทุกวันที่ 1 และ 15 ของเดือน ในวันนี้เมืองหลวงขุนนางระดับ 6 ขึ้นไปก็จะมาเข้าเฝ้าหน้าพระที่นั่งเฟิ่งเทียนเหมินในชุดขุนนางเต็มยศถวายบังคมตามธรรมเนียม จากนั้นก็ประชุมขุนนาง ในการประชุมใหญ่นี้จะไม่หารือเรื่องอันใด เป็นการดำเนินไปตามพิธีการทั่วไป  แต่ตั้งแต่วันที่ 5 ที่ฮ่องเต้ว่านลี่ไม่เสด็จออกมามาถึงกลางเดือนเจ็ด ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ไม่ได้ออกมาให้ขุนนางได้เห็น

เรื่องแต่งตั้งจูฉางลั่วเป็นรัชทายาท เรื่องนี้เกือบจะเป็นเหมือนตะปูที่ตอกฝาโลงไว้แล้ว อย่างไรก็แน่นอนแล้ว แม้ว่าฮ่องเต้ว่านลี่ไม่ได้มีราชโองการชัดเจนก็ตาม

กระแสวิจารณ์ครั้งนี้เกิดช่วงปลายเดือนหกมาถึงเดือนเจ็ด อย่างไรก็รู้สึกแปลก เพราะเสียงวิพากษ์วิจารณ์แม้ยังคงเดิม แต่กลับเหมือนมีสัญญาณบางอย่างไม่สอดรับ

เช่นบอกว่าทุกคนเหมือนไม่ได้สนใจเรื่องแต่งตั้งรัชทายาทนัก แต่เหมือนกลับไปเอาพระทัยไทเฮาฉือเซิ่งมากกว่า เช่นเสนอให้หวงอี้เฟินไปรับตำแหน่งที่เทียนจิน เช่นว่าให้อู่ชิงโหวหลี่เหวินเฉวียนกุมอำนาจกองกำลังเมืองหลวง เรื่องพวกนี้ขอเพียง แต่งตั้งรัชทายาทสำเร็จ ฟื้นคืนอำนาจไทเฮากับขุนนางใหญ่อีกครั้ง ก็ล้วนเป็นไปตามที่ต้องการทั้งหมดได้ ไยต้องร้อนใจในเวลานี้ด้วย นอกจากหลี่เหวินเฉวียนกับหวงอี้เฟิน ยังมีคนเสนอคนของไทเฮาหรือพวกอู่ชิงโหวอีก ความวุ่นวายเช่นนี้ หากปล่อยให้พวกอู่ชิงโหวได้ประโยชน์ไป ทุกคนจะวุ่นวายกันทำไม ไยต้องเหมือนออกหน้าตัดชุดแต่งงานให้ผู้อื่น แต่ตัวเองไม่ได้อันใดไปด้วยเล่า

แต่ความดึงดันทั้งมวลก็ถูกไทเฮาฉือเซิ่งเตือนสติ พระนางไม่เร่งร้อนพระทัยให้ฮ่องเต้ว่านลี่ตัดสินพระทัย เพียงแค่ต้องการดูการทำหน้าที่ของขุนนางนอกวัง ว่าจะร่วมผลักดันอู่ชิงโหวกับหวงอี้เฟินหรือไม่ ตำหนักฉือหนิงกงรอคอยเงียบๆ ตอนนี้สถานการณ์เป็นเช่นนี้ อย่างไรจูฉางลั่วก็เข้าสู่ตำหนักฉือหนิงกงแล้ว อำนาจหลักอยู่ที่นี่แล้ว

คนนอกวังไม่อาจทำอันใดได้ ได้แต่เปลี่ยนทิศ  เรื่องแต่งตั้งรัชทายาทกลายเป็นเรื่องเล็ก หากตอนนี้คนส่วนใหญ่มุ่งไปสนับสนุนให้อู่ชิงโหวกับหวงอี้เฟินและคนอื่นๆ ได้ตำแหน่งที่ต้องการ

ฮ่องเต้ว่านลี่เหมือนไม่ทรงระเบิดอารมณ์อีก แต่เริ่มมีเล่นเอาเถิดเจ้าล่อกับพวกขุนนาง และยังทำได้ไร้เดียงสายิ่ง แม้ว่าไม่ออกประชุมขุนนาง แต่ฎีกาก็มีไปกลับ ไม่ต่างอันใดกับการประชุม หรือว่าทุกคนจะกลัวทรงเล่นแบบนี้กัน

ดึงดันไปมาราวหนึ่งเดือน การได้คุมกองกำลังเมืองหลวงกับการไปเป็นขุนนางท้องที่เทียนจิน เป็นตำแหน่งที่ไม่อาจละเลย ไม่เพียงแต่ไทเฮากับอู่ชิงโหวต้องการ ทุกฝ่ายก็จ้องตาเป็นมัน เลี่ยงไม่ได้ที่จะแย่งชิง ราวหนึ่งเดือนกว่า ก็ยังไม่ได้ความชัดเจน

หลายคนไม่อยากให้ยืดเยื้อต่อไป ยิ่งแย่งกันก็มีตัวเข้ามาแย่งยิ่งมาก และฮ่องเต้ว่านลี่ทรงทำเช่นนี้ก็ทำให้หลายคนเริ่มงง มาถึงตอนนี้ เรื่องแต่งตั้งรัชทายาทกับตำแหน่งขุนนาง ฮ่องเต้ว่านลี่ไม่รับสั่งสักเรื่อง

นานวันเข้าที่ร้อนแรงก็เริ่มแผ่วลง เมืองหลวงเริ่มกลับคืนสู่ภาวะปกติ แต่เจ้าหน้าที่ขุนนางสำนักตรวจสอบ สำนักราชบัณฑิตฮั่นหลินย่วนและหัวหน้าหกกรมกอง ขุนนางแต่ละหน่วย พวกระดับล่าง และพวกกลุ่มขุนนางบัณฑิตชิงหลิว กลับไม่เคยหยุดยื่นฎีกา

ราชบัณฑิตคณะเสนาบดีใหญ่ยืนมองเฉย เสนาบดีหลายคนในหกกรมกองกลับแสดงท่าทีตนเองชัดเจน ต้นเดือนเจ็ด เสนาบดีกรมทหารจางเสวียเหยียนลาป่วย ขออำลาตำแหน่งกลับบ้านเกิด

เสนาบดีกรมทหารจางเสวียเหยียนเป็นคนหนึ่งในหกกรมกองที่ไม่ยุ่งเรื่องแต่งตั้งรัชทายาท  และยังกล่าวกับคนสนิทส่วนตัวว่า หากทำเพื่อตนเอง แม้เพียงเล็กน้อยก็ย่อมทำลายธรรมเนียม วาจานี้แพร่ออกไป จางเสวียเหยียนก็เริ่มถูกโจมตีทันที และยังมีบทความวิพากษ์วิจารณ์โจมตีว่าจางเสวียเหยียนสูญเสียคุณธรรม ขอให้ฮ่องเต้ว่านลี่ปลดคนผู้นี้ออกจากตำแหน่ง ยังมีพวกเลือดร้อนยิ่งกว่า ไปยังหน้าประตูจวนจางเสวียเหยียนด่าทอเสียงดัง  และยังเขียนบทความไว้บนกำแพง อักษรดำล้วนเป็นวาจาด่าทอ

ไม่เพียงเท่านี้ จางเสวียเหยียนสั่งงานในกรมทหารก็เหมือนไม่อาจทำได้ หลายคำสั่งสั่งการไปล้วนถูกหน่วยเสนาธิการทหารตีกลับมา ทุกคนปฏิเสธคำสั่งออกนอกหน้า ลับหลังยังแอบส่องสุมนินทา

จางเสวียเหยียนเป็นคนซื่อ ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความสามารถ  ไม่ค่อยเชี่ยวชาญเรื่องการสมรู้ร่วมคิดเท่าไร อายุก็มากแล้ว พอถูกคนพวกนี้ทำให้โมโห ก็ไม่อยากอยู่ราชสำนักต่อ

ฮ่องเต้ว่านลี่รั้งไว้หลายครั้งก็ไม่เป็นผล ได้แต่อนุญาต หวังหลินพวกหยางเหว่ยได้เป็นเสนาบดีกรมทหารคนใหม่ ปี้เชียงได้เป็นเสนาบดีกรมอากรแทน นี่เหมือนเป็นสัญญาณบอกขุนนางทั้งหลายในราชสำนักว่า หากยืนข้างฮ่องเต้หรือคิดจะวางตัวอยู่รอบนอก ก็ย่อมต้องไม่อาจได้อยู่ต่อไปได้

ฮ่องเต้ว่านลี่ที่เอาแต่เก็บตัวเงียบ ในที่สุดก็ออกมารับปากว่า วันที่ 15 เดือนเจ็ดจะออกว่าราชการหน้าพระที่นั่งและในวันนั้นจะประกาศเรื่องแต่งตั้งรัชทายาท

องครักษ์เสื้อแพร

องครักษ์เสื้อแพร

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 1116 อ่านนิยาย


หากคุณชอบนิยายจีนย้อนเวลา เรื่องราวเข้มข้นสุดมันส์ในประวัติศาสตร์ราชวงศ์หมิงอยู่ที่นี่แล้ว!

ชาตินี้ต้องตายเพราะโรคร้าย ทั้งๆ ที่กำลังประสบความสำเร็จในธุรกิจ

เขาไม่ยอม!!

ชาติหน้าเขาจะต้องมีชีวิตที่รุ่งโรจน์กว่าผู้ใด…

หวังทงย้อนเวลามาเกิดใหม่ในราชวงศ์หมิงพร้อมความทรงจำของมนุษย์ทำงานในศตวรรษที่ 21

รัชสมัยฮ่องเต้ว่านลี่เป็นช่วงเวลาที่รุ่งโรจน์ที่สุดในประวัติศาสตร์ราชวงศ์หมิง

และก็เป็นยุคสุดท้ายแห่งความรุ่งโรจน์ของราชวงศ์หมิง

หวังทงในฐานะ ‘องครักษ์เสื้อแพร’ จะนำความรู้สมัยใหม่ไปทำอะไรได้บ้าง

นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอะไรในประวัติศาสตร์

…วินาทีที่เขาปรากฏตัวขึ้น ห้วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์ก็เริ่มหมุนเปลี่ยนทิศ…

Options

not work with dark mode
Reset