องครักษ์เสื้อแพร 890 ฮ่องเต้แต่อดีตกาลมาก็เป็นผู้โดดเดี่ยว

ตอนที่ 890 ฮ่องเต้แต่อดีตกาลมาก็เป็นผู้โดดเดี่ยว
ตอนที่ 890 ฮ่องเต้แต่อดีตกาลมาก็เป็นผู้โดดเดี่ยว

ตั้งแต่โอรสพระสนมเอกเจิ้งจูฉางสวินประสูติ ใต้หล้าที่พอมีความรู้เรื่องการเมืองก็ล้วนรู้ว่า เรื่องแต่งตั้งรัชทายาทอย่างไรไม่ช้าก็เร็วก็คงมีคนกล่าวถึง

หากฮ่องเต้ว่านลี่โปรดพระสนมกง พระสนมเอกเจิ้งเป็นแค่พระสนมทั่วไป โอรสองค์โตก็ย่อมเป็นรัชทายาท ไม่มีอันใดต้องโต้แย้ง

แต่พระสนมกงเป็นพระสนมชั้นธรรมดา ตอนพระสนมเอกเจิ้งยังไม่ประสูติโอรสก็มีตำแหน่งพระสนมเอกแล้ว ตอนนี้ยังประสูติโอรส ว่ากันว่าตอนนั้นตำหนักฉือหนิงกง ไทเฮาฉือเซิ่งเคยทรงบีบให้ฮ่องเต้ว่านลี่แต่งตั้งรัชทายาท ฮ่องเต้ว่านลี่แข็งกร้าว ไม่ทรงยินยอม จากการวิเคราะห์หลายทาง ฮ่องเต้ว่านลี่น่าจะทรงรู้ดีบางอย่าง

ตามหลักการ โอรสองค์โตย่อมเป็นรัชทายาท แต่ฮ่องเต้ว่านลี่ไม่ต้องการเช่นนั้น  เรื่องนี้ต้องมีเรื่องพิพาทกันอีกหลายครั้งเป็นแน่ ทั้งในวังและนอกวัง ผู้ใดก็รู้ว่าต้องเกิดเรื่อง

ทว่าสำหรับหลายคนแล้ว มันคือโอกาส ยิ่งเป็นโอกาสที่เกิดขึ้นได้หลายครั้ง ก็ยิ่งต้องดูจังหวะลงมือ เรื่องนี้ยังเกี่ยวข้องกับการตั้งรัชทายาทอีกด้วย

หากได้มีส่วนร่วมในโอกาสแต่งตั้งรัชทายาท วันหน้ารัชทายาทได้เป็นฮ่องเต้ พวกที่ส่วนร่วมก็ย่อมได้รับตอบแทนร้อยเท่า ตัวอย่างเช่นนี้ที่ผ่านมาก็มีให้เห็นกันมากมาย

สมัยซ่งเหนือหานฉีไม่รู้ว่าด้อยสามารถกว่าเหวินเหยียนป๋อและฟู่ปี้ตั้งเท่าไร แต่สถานะกับสูงส่งกว่า และวงศ์ตระกูลสืบต่อมาก็ยังคงอำนาจวาสนา เพราะอะไรน่ะหรือ ก็เพราะเรื่องส่งเสริมรัชทายาทที่เลือกถูกข้างนั่นเอง พอเสร็จเรื่องจึงได้รับผลตอบแทน

ฮ่องเต้เป็นถึงประมุขแผ่นดิน ทุกคนล้วนต้องเอาอกเอาใจ พระองค์ไม่ต้องทรงเอาใจผู้ใด แต่หากสามารถแสดงท่าทีให้การสนับสนุนในยามที่ยังไม่ได้เป็นฮ่องเต้ ก็ย่อมเป็นผลประโยชน์มหาศาลในวันหน้า อดีตถอยไปไกลหน่อยก็หลี่ว์ปู้เหว่ยที่ให้การส่งเสริมอ๋องฉิน สุดท้ายก็ได้เป็นเสนาบดีแคว้นฉินในช่วงรัชสมัยจิ๋นซีฮ่องเต้ ระยะใกล้ก็ดูอย่างขันทีใหญ่สำนักส่วนพระองค์และมหาบัณฑิตในคณะเสนาบดีใหญ่แผ่นดินหมิงตั้งมากมายเท่าไร ไม่น้อยที่เป็นที่รับใช้ใกล้ชิดมาตั้งแต่สมัยเป็นรัชทายาทในตำหนักบูรพาและพวกที่คอยเป็นเพื่อนข้างกายยามศึกษา เฝิงเป่าไม่ใช่หรือ? จางเฉิงไม่ใช่หรือ? จางจวีเจิ้งไม่ใช่หรือ? สวีเจี้ยไม่ใช่หรือ?

นี่เป็นเรื่องที่บินทีเดียวถึงฟ้า เป็นเรื่องประโยชน์มหาศาล ผู้ใดก็ย่อมคิดไขว่คว้าไว้ แต่ผู้ใดจะรู้ว่าการออกมาแสดงความเห็นก่อนก็ย่อมอาจมีความผิดต้องโทษ ฮ่องเต้ว่านลี่แม้ไม่ค่อยอยากจะทรงสนใจจัดการพวกขุนนางบัณฑิตสักเท่าไร แต่หากต้องลงมือจริงๆ ก็ไม่เคยทรงออมมือ ทุกคนลำบากร่ำเรียนมา สอบตำแหน่งบัณฑิตมาแต่ละขั้นจึงมาสู่วันนี้ได้ หากต้องมาถูกจัดการ ทุกอย่างหมดสิ้น แม้จะกล่าวสิ่งที่ถูกต้อง แต่หลังจากถูกปลดตำแหน่งไปแล้ว ผู้ใดจะรู้ว่าวันหน้าจะมีคนจดจำตนได้อีกหรือไม่

ขุนนางบัณฑิตชิงหลิวทั้งหลายที่ดาหน้าออกมาเพื่อผดุงคุณธรรมก็ล้วนเพื่อแสวงหาประโยชน์ใส่ตัวทั้งสิ้น เพื่อสร้างชื่อให้ตนเอง หากทำแล้วเสียเปรียบ ยังต้องสูญเสียตำแหน่งที่ได้มาไม่ง่ายนี้ไป ก็ย่อมไม่คุ้มค่า

ส่วนเรื่องรักษาหลักการคุณธรรมอันใด ประชาลำบากยากแค้น ผดุงคุณธรรมอันใดนั้น พวกบัณฑิตร่ำเรียนมาหลายปี ไม่มีผู้ใดเรียนจนสมองเสื่อม ไม่มีผู้ใดคิดทำเรื่องโง่เง่าพวกนี้

หากมีคนกล้าออกหน้ามาก่อน เช่นนี้ทุกคนค่อยออกมารุมราวฝูงผึ้ง  ก็คงมีโอกาสเสียหายน้อย คนยื่นฎีกามาก ย่อมมีกฎว่าไม่ทำโทษคนหมู่มาก หากต้องการลงโทษ ก็ย่อมเป็นคนที่ออกหน้าคนแรก เรื่องเช่นนี้ทุกคนย่อมรอเฮตามพวกไปเป็นดี

แม้ว่าไม่ได้ประโยชน์อันใดนัก แต่สามารถได้ชื่อว่าออกหน้าผดุงธรรมก็ยังดี  วันหน้าก็จะได้โอ้อวดว่าตนเองเคยร่วมยื่นฎีกาเรื่องแต่งตั้งรัชทายาท

ภาพรวมขุนนางบุ๋นนั้น หลังจางจวีเจิ้งจากไป จางซื่อเหวยกลับบ้านเกิดไว้ทุกข์ อำนาจฮ่องเต้ว่านลี่เรียกได้ว่ายิ่งใหญ่มาก พระองค์ยิ่งอาศัยขันทีกับขุนนางบู๊ปฏิบัติงานยิ่งมาก พวกขุนนางบัณฑิตถูกละเลย  นานวันเข้า จะให้ขุนนางบัณฑิตทำงานอะไร นานวันเข้า จะร่ำเรียนไปเพื่ออะไร

จะต้องมีการเคลื่อนไหวที่ทำให้ฮ่องเต้ได้ทรงรู้ว่า ทรงต้องอยู่ใต้การควบคุมของขุนนางในราชสำนัก ไม่อาจทำสิ่งที่ทรงคิดทำได้ตามพระทัย เรื่องแต่งตั้งรัชทายาทก็คิดว่าเป็นเรื่องที่เร่งด่วนที่สุดของฮ่องเต้ว่านลี่ เช่นนี้ทุกคนก็จะลองกำลังในเรื่องนี้ดู

ประโยชน์ส่วนตน คุณธรรมหลักการ ผลประโยชน์วงการบัณฑิต เหล่านี้ล้วนเป็นเหตุผลให้พวกเขาเคลื่อนไหว แต่ยังมีอีกเหตุผลที่สำคัญก็คือ ปีนี้เดือนหกกำลังจะเริ่มสอบเมืองหลวงอีกแล้ว

เสนาบดีกรมปกครองหยางเหว่ยแม้ไม่ได้กล่าวชัด แต่ข่าวก็มาจากศิษย์เขาว่า ต้องการดูว่าผู้ดสามารถจัดการแย้งเรื่องแต่งตั้งรัชทายาทสำเร็จ และหากผู้ใดกล้าขัดกระแสหลักหรือกล้าวางตัวอยู่นอกวง เช่นนี้รอตอนสอบค่อยดูกันก็แล้วกัน!

หลังสอบตำแหน่งเคอจวี่ได้ ได้รับเลือกเป็นขุนนาง ขอเพียงไม่โง่เง่านัก ไม่ล่วงเกินคนที่ไม่ควรล่วงเกิน เช่นนี้ก็จะอยู่ในตำแหน่งไปได้มั่นคง หัวหน้างานไม่มีอำนาจจะปรับเปลี่ยนโยกย้ายเจ้าออก หัวหน้าของหัวหน้าก็ไม่ได้ อยากย้ายก็ต้องมีเหตุผล แม้ว่ามีเหตุผล ก็ต้องดูว่าคนอื่นจะยอมหรือไม่

เช่นกัน  เลื่อนตำแหน่งก็เหมือนกัน ปรับเปลี่ยนตำแหน่งก็เหมือนกัน นอกจากฮ่องเต้รับสั่งด้วยพระองค์เอง แต่ฮ่องเต้วันๆ ก็ภารกิจมาก ไหนเลยจะมีเวลามาจดจำขุนนางระดับต่ำกว่าห้าลงไป?

ในการสอบนี้ ขุนนางระดับห้าลงไปในเมืองหลวง และระดับสี่ลงไปนอกเมืองหลวง รวมทั้งผู้ว่า ก็ล้วนเลื่อนและปรับตำแหน่งกันโดยการตัดสินของกรมปกครองนี้

ที่จริงแล้วก็เท่ากับว่าเสนาบดีกรมปกครองกับขุนนางคัดเลือกบทความตัดสินใจว่าเจ้าควรอยู่หรือไป และนี่เป็นระบบแผ่นดินหมิงที่ตั้งไว้ หาเหตุผลไม่ทำตามย่อมไม่ได้

กล่าวอันใดก็ช่วยไม่ได้ ผลประโยชน์ถึงมือ ตำแหน่งใต้ก้นสิของจริง หากไม่เข้าร่วม ตำแหน่งก็อาจหายไป ผู้ใดจะกล้าเสี่ยงด้วย หากเข้าร่วม คนต้นเรื่องยังไม่ใช่ตนเอง ยังมีผลประโยชน์อีกมากรออยู่ ทำไมจะไม่ร่วมเล่า

*****************

นายกองกรมตรวจสอบตำแหน่งไม่สูง ทว่ากลับเป็นขุนนางบัณฑิตแท้จริง สามารถมาสู่ตำแหน่งนี้ได้ ย่อมเป็นพวกมีวาทะการเขียนเป็นเอก สามารถเขียนบทความได้ยอดเยี่ยม

ภรรยาและลูกของเหยาฟู่อยู่ในเงื้อมมือผู้อื่น ย่อมไม่กล้ารอช้า วาจาที่กล่าวได้ยกมากล่าวหมด ทำให้ฎีกาโดดเด่นไม่ธรรมดา กรมฎีกากับสำนักส่วนพระองค์อำนวยเปิดทาง ฎีกาไปถึงพระหัตถ์ฮ่องเต้ว่านลี่

“กล่าวอะไรว่าแผ่นดินไร้ประมุขไม่มั่นคง หากเราเป็นอันใดไป แผ่นดินใช่ว่ากลียุค”

ฮ่องเต้ว่านลี่หยิบฎีกาออกมาต่อหน้าที่ประชุม ต่อหน้าขุนนางใหญ่หกกรมกอง โบกสะบัดฎีกาไป ยิ้มเย็นเยียบตรัสถามไปว่า

ตอนฎีกายังไม่มาถึงในวัง พวกขุนนางใหญ่หลายคนก็เห็นฎีกาก่อนแล้ว ตอนนี้เห็นปฏิกิริยาฮ่องเต้ว่านลี่เช่นนี้ ก็ไม่แปลกใจอันใด มีคนก้มหน้าลงเล็กน้อย หลายคนกลับมองตรงไปยังฮ่องเต้ว่านลี่

ปีก่อนทำกับหวังทงเช่นนั้น เห็นๆ ว่าได้แสดงถึงอำนาจความเป็นฮ่องเต้ เหตุใดหลังจากครั้งนั้น ในราชสำนักขุนนางใหญ่กลับกล้าแสดงความคิดเห็นตนเองมากขึ้นเรื่อยๆ พระทัยฮ่องเต้ว่านลี่เริ่มคิดกลับไปมา สีหน้าขุนนางใหญ่ล้วนอยู่ในพระเนตร ทำให้ยิ่งทรงกริ้วมากยิ่งขึ้น

ฮ่องเต้ว่านลี่คิดจะตรัสอะไรสักอย่างแต่ก็ทรงเงียบ พระหัตถ์ที่จับพนักที่ประทับก็ปล่อยลง แต่สุดท้ายก็ยังทรงประทับยืนขึ้น คว้าฎีกาเขวี้ยงลงพื้นอย่างแรง ตวาดด่าดังว่า

“พวกบัดซบที่ไร้นายไร้บิดาในสายตา อยากเห็นเราสวรรคตเร็วหรือไง!!”

ฮ่องเต้ว่านลี่หอบหายใจหนัก พระเนตรแดงก่ำ กวาดพระเนตรมองไปยังขุนนางใหญ่ในที่ประชุม มาถึงตอนนี้ เซินสือหังกระแอมไอเบาๆ นำทุกคนคุกเข่าลงทูลว่า

“ขอฝ่าบาทระงับความกริ้ว!”

พวกขันทีฝั่งจางเฉิงพากันคุกเข่ากล่าววาจาพร้อมกัน  การมีปฏิกิริยาเช่นนี้ก็เป็นปกติตามธรรมเนียม แต่ไม่มีประโยชน์อันใดที่จะทำให้ฮ่องเต้ว่านลี่ระงับความกริ้วลงได้แม้แต่น้อย ฮ่องเต้ว่านลี่มองซ้ายมองขวา ทุกคนล้วนก้มหน้านิ่ง  ไม่มีผู้ใดคิดออกมาช่วย

ขณะกำลังทรงกระฟัดกระเฟียดอยู่นั้น ฮ่องเต้ว่านลี่ก็ประทับนั่งลงที่เดิม โบกพระหัตถ์ตรัสว่า

“พวกเจ้ายื่นฎีกาอีกแล้ว ลุกขึ้นให้หมด นี่มันเรื่องบัดซบอันใดกัน เราต้องลงโทษให้หนัก กล่าววาจาเหลวไหล เป็นผู้ใดบงการมา จางเฉิง ให้องครักษ์เสื้อแพรไปจับกุมตัวเข้าคุกสอบให้กระจ่าง!”

ตั้งแต่ผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรหวังทงไปเมืองกุยฮว่าเฉิง หน่วยงานองครักษ์เสื้อแพรมีรายงานย่อมไม่ไปรายงานต่อผู้ช่วยผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรที่เหลือ แต่กลับมารายงานยังหัวหน้าขันทีสำนักส่วนพระองค์จางเฉิงกับ โจวอี้แห่งสำนักอาชาหลวง ฮ่องเต้ว่านลี่มีรับสั่งให้จับกุม จางเฉิงกลับไม่ตอบรับพระบัญชา

ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงอึ้งไปก่อนจะทรงกริ้วหนัก ผินพระพักตร์มองไป เห็นสีหน้าจางเฉิงลำบากใจ ส่ายหน้าอย่างแรง ฮ่องเต้ว่านลี่ผินพักตร์ไปอีกทาง ขุนนางใหญ่ที่เพิ่งลุกขึ้นมีคนคุกเข่าทูลดังว่า

“ฝ่าบาท ขุนนางบัณฑิตไม่มีโทษหลังกราบทูล เหยาฟู่แม้ล่วงเกิน แต่ที่พูดมานั้นก็มีเหตุผลหลายส่วน ฝ่าบาทเห็นแก่แผ่นดิน คิดให้รอบด้าน เพื่อแผ่นดินนี้ เพื่อบรรพชน ฝ่าบาทมีโอรสก็ย่อมแต่งตั้งเป็นรัชทายาท แต่งตั้งให้เรียบร้อย ก็จะทำให้พวกคนชั่วคิดหาโอกาสได้น้อยลง ทำให้แผ่นดินมั่นคง หากไม่เช่นนั้น หากไม่กล้ากราบทูล ทำให้ตำแหน่งไม่ชัดเจน เกรงว่าคงเกิดเหตุวุ่นวายใหญ่ได้!”

เสียงขุนนางใหญ่คุกเข่ากับพื้นทรงกำลัง สีหน้าเด็ดเดี่ยวมาก ฮ่องเต้ว่านลี่พระพักตร์ดำคล้ำเงียบไปครู่หนึ่งตรัสว่า

“เสิ่นหลี เรื่องครอบครัวเรา เจ้าร้อนใจอันใดกัน หรือว่าเหยาฟู่เป็นเจ้าบงการมา?”

เสิ่นหลีโขกศีรษะ ก่อนจะยืดตัวตรงขึ้นทูลว่า

“ครอบครัวฮ่องเต้ไม่ใช่เรื่องส่วนพระองค์ ครอบครัวฝ่าบาทเกี่ยวพันถึงแผ่นดิน เป็นเรื่องใต้หล้า กระหม่อมเป็นเสนาบดีกรมพิธีการ เรื่องใหญ่เช่นนี้ ย่อมต้องออกหน้ารับผิดชอบอย่างไม่อาจหลีกพ้น ลำดับอาวุโส เป็นหลักการคุณธรรม โอรสองค์โตตอนนี้พลานามัยแข็งแรงและทรงพระปรีชา เหตุใดไม่แต่งตั้ง เหยาฟู่กล้าทูล ที่พูดมาผิดที่ใด ขอทรงพิจารณาด้วย!”

ฮ่องเต้ว่านลี่กำท้าวแขนที่ประทับแน่น คิดจะประทับยืนขึ้นระเบิดอารมณ์ แต่ทรงรู้สึกพระองค์ได้ว่าไม่มั่นใจ ทรงกวาดพระเนตรมองไปยังทุกคนเบื้องหน้า

เซินสือหัง หวังซีเจวี๋ย สวีกั๋ว ทั้งสามในคณะเสนาบดีใหญ่ นับรวมเสนาบดีกรมทหารจางเสวียเหยียนที่จะไม่เป็นพวกกับเสิ่นหลี ส่วนหยางเหว่ย (เสนาบดีกรมปกครอง) หวังหลิน(เสนาบดีกรมอากร)  ซูฮว่า(เสนาบดีกรมอาญา) หยางเจ้า(เสนาบดีกรมโยธา) เจ้าจิ่น(เจ้ากรมตรวจสอบฝ่ายซ้าย) ล้วนเป็นพวกเดียวกัน

แต่พวกเซินสือหังก็ย่อมไม่อยากมีเรื่องโต้แย้งกับพวกหยางเหว่ยด้วยเรื่องนี้ ฮ่องเต้ว่านลี่เองก็ทรงรู้เรื่องขุนนางบุ๋นว่าคิดอย่างไรกับเรื่องลำดับโอรสในการรับตำแหน่งรัชทายาท พระองค์ไม่อยากให้เกิดเรื่องนี้เร็วเกินไปนัก แต่ทรงคิดไม่ถึงว่า พวกขุนนางบัณฑิตจะเริ่มเปิดฉากก่อน

ขุนนางในราชสำนักบ้างก็ไม่สนใจ ถือเป็นการแสดงจุดยืนแล้ว ฮ่องเต้ว่านลี่ไม่มีพรรคพวก ทรงหันไปมองรอบๆ ขันทีฝ่ายในอาจยังพึ่งพาได้ แต่สีหน้าจางเฉิงนอบน้อม จางจิงก้มหน้าลงต่ำ จางหงกับเถียนอี้สีหน้าชื่นชมเห็นด้วย

รองหัวหน้าสำนักส่วนพระองค์จางหงกับขันทีประจำสำนักเถียนอี้สองคนยืนข้างโอรสองค์โต ฮ่องเต้ว่านลี่ทรงรู้ว่า คนมากมายเช่นนี้ต้องการแย้งพระองค์ พระองค์เองก็ไม่มีกำลังใดไปจัดการพวกเขาได้ทั้งหมด ฮ่องเต้ว่านลี่คิดไปร้อยแปด เริ่มไม่มั่นพระทัยเล็กน้อยแล้ว

องครักษ์เสื้อแพร

องครักษ์เสื้อแพร

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 1116 อ่านนิยาย


หากคุณชอบนิยายจีนย้อนเวลา เรื่องราวเข้มข้นสุดมันส์ในประวัติศาสตร์ราชวงศ์หมิงอยู่ที่นี่แล้ว!

ชาตินี้ต้องตายเพราะโรคร้าย ทั้งๆ ที่กำลังประสบความสำเร็จในธุรกิจ

เขาไม่ยอม!!

ชาติหน้าเขาจะต้องมีชีวิตที่รุ่งโรจน์กว่าผู้ใด…

หวังทงย้อนเวลามาเกิดใหม่ในราชวงศ์หมิงพร้อมความทรงจำของมนุษย์ทำงานในศตวรรษที่ 21

รัชสมัยฮ่องเต้ว่านลี่เป็นช่วงเวลาที่รุ่งโรจน์ที่สุดในประวัติศาสตร์ราชวงศ์หมิง

และก็เป็นยุคสุดท้ายแห่งความรุ่งโรจน์ของราชวงศ์หมิง

หวังทงในฐานะ ‘องครักษ์เสื้อแพร’ จะนำความรู้สมัยใหม่ไปทำอะไรได้บ้าง

นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอะไรในประวัติศาสตร์

…วินาทีที่เขาปรากฏตัวขึ้น ห้วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์ก็เริ่มหมุนเปลี่ยนทิศ…

Options

not work with dark mode
Reset