องครักษ์เสื้อแพร 807

ตอนที่ 807
 เดือนห้า ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 12

“จากนี้ไปเกรงว่าฟ้าคงมืดมิดไร้แสงตะวันแล้ว!”

หลังประชุมขุนนาง บรรดาขุนนางออกจากพระที่นั่งเฟิ่งเทียนเหมินไปยังหอประชุมเหวินเหยียนเก๋อ เพราะทัพใหญ่ตั้งทัพรออยู่นอกเมืองเตรียมเข้าเมืองมาฉลองชัยแล้ว แต่ละหน่วยล้วนมีงานที่ต้องทำ ต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะเสนาบดีใหญ่แล้วจึงดำเนินการได้ เสนาบดีหลายท่านที่ไม่ได้อยู่ในคณะเสนาบดีใหญ่ก็เดินตามมาด้วย

เสนาบดีกรมอากรหวังหลินถอนหายใจกล่าว พอจางเฉิงแห่งสำนักส่วนพระองค์กล่าวเช่นนั้น ทุกคนก็รู้แล้วว่าเรื่องนี้ไม่มีหนทางให้หารือกันอีกแล้ว

มหาอำมาตย์เซินสือหังกับรองอำมาตย์หวังซีเจวี๋ยต่างเย็นชาไม่สนใจ เสนาบดีกรมทหารจางเสวียเหยียนเองก็นิ่งราวขุนเขา ยังมีการสนับสนุนจากสำนักส่วนพระองค์ เสียงจากหวังทงเดิมก็เป็นอันใดที่ไม่อาจมองข้ามได้แล้ว ในราชสำนักยามนี้ ท่าทีฮ่องเต้ว่านลี่เป็นอย่างไร ทุกคนล้วนเห็นด้วยตากระจ่างใจดี

“จะเป็นฟ้ามืดไร้แสงตะวันได้อย่างไร อย่างไรเสียงนกกาสุนัขเห่าน้อยลงบ้าง  หูก็สบายขึ้นมาก”

หวังซีเจวี๋ยได้ยินประโยคนี้ก็แค่นยิ้มกล่าวขึ้น เขากลับเข้าราชสำนักในปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 11 พวกจางซื่อเหวยผลักดันให้เขาเข้ามาสู่คณะเสนาบดีใหญ่ก็เพื่อให้ต้านทานอำนาจกับเซินสือหัง แต่พอเข้ามาแล้ว พวกขุนนางบัณฑิตเริ่มโจมตีเซินสือหัง คิดไม่ถึงว่าหวังซีเจวี๋ยกับเซินสือหังกลับเข้ากันได้ไม่เลว ปรากฏว่าพวกขุนนางบัณฑิตต่างพากันหน้าดำคล้ำทำอันใดไม่ได้

แต่ขุนนางบัณฑิตกล่าวตักเตือนไร้ความผิด พวกขุนนางบัณฑิตไม่ถูกลงโทษใด  เรื่องนี้ไม่ถูกใจหวังซีเจวี๋ยนัก หลังยื่นฎีกาฟ้องคัดค้านการกระทำหวังทง ความสัมพันธ์ก็ยิ่งแย่ลง

“ใต้เท้าหวัง  หวังทงวางอำนาจบาตรใหญ่เช่นนี้  หากไม่มีขุนนางบัณฑิตชิงหลิวคอยออกหน้าเรื่องคุณธรรมใหญ่ เช่นนั้นสถานการณ์จะเป็นเช่นไร!?”

ได้ยินหวังซีเจวี๋ยแค่นยิ้มเย็น เสนาบดีกรมอาญาพานจี้ซวิ่นอดไม่ได้กล่าวขึ้น  หวังซีเจวี๋ยกลับไม่สนใจ กล่าวว่า

“ก็เพราะหวังทงวางอำนาจเหิมเกริม จึงไม่อาจปล่อยให้พวกสุกรโง่เง่าส่งจุดอ่อนใส่มือหวังทง หากเพื่อคุณธรรมใหญ่ก็แล้วไป ความจริงเป็นเช่นไร ทุกท่านหรือว่าไม่รู้กัน? หรือว่าหวังทงไม่รู้กัน?”

************

เดือนห้า ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 12  ราษฎรต่างวิพากษ์วิจารณ์กองทัพที่เข้าเมืองมาว่าเป็นเช่นไร มีคนกลับจากนอกเมืองไม่น้อยบรรยายภาพที่ตนเองได้เห็นได้ยินมาอย่างตื่นเต้นดีใจ

หลายวันนี้ทัพที่นำชัยชนะใหญ่มาล้วนฝึกซ้อมกันนอกเมือง ราษฎรที่ไปมุงดูก็เพียงแค่ถูกตักเตือนให้ออกไปให้พ้นรัศมีซ้อม พวกที่ไปมุงดูจึงน้อยมาก

เทียบกับความดีใจในช่วงฉลองเทศกาลของราษฎรแล้ว ขุนนางระดับล่างเมืองหลวงกลับมีบรรยากาศอึมครึมผิดปกติ ขุนนางบัณฑิตชิงหลิว 20 กว่าคนถูกจับตัวไป ความผิดพวกเขาก็ไม่มากอันใด ก็แค่กุข่าวลือว่าทัพใหญ่พ่ายแพ้ กุข่าวว่ากองทัพขากลับไร้ระเบียบวินัยรังแกราษฎร

ปลดตำแหน่ง  ให้กลับบ้านเกิด  ที่หนักสุดก็ชั่วชีวิตนี้ไม่อาจเข้าร่วมการสอบบัณฑิตได้อีก เมืองหลวงตอนนั้นก็มีข่าวลือแพร่มาว่า พวกคนชั่วขัดขวางผู้ที่คิดกล่าวตรงไปตรงมา ถูกขวางไว้จนตาย  หลังวาจานี้แพร่ออกไป ไม่นาน ก็มีคนมาเตือนว่า อันนี้ก็เป็นการกุข่าวลือไร้เหตุเช่นกัน

คนที่พูดคิดไม่ถึงว่าองครักษ์เสื้อแพรจะมาเร็วเพียงนี้ ตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ ไหนเลยจะกล้าพูดต่อ แต่ละแห่งที่เกี่ยวข้องกับข่าวลือก็มีข่าวปล่อยออกมา และยังเป็นข่าวที่น่าเชื่ออย่างมาก  เป็นข่าวที่ปล่อยออกจากขุนนางประจำคณะเสนาบดีใหญ่ ว่าฮ่องเต้มีราชโองการพระราชทานรางวัลแด่หัวหน้ากรมกองสิบกว่าคน คนเหล่านี้บ้างก็ให้ความเห็นว่าควรบริหารจัดการเมืองกุยฮว่าเฉิงอย่างไร บ้างก็จัดการปรับปรุงส่วนงานอื่นให้ดีขึ้น ในบรรดาคนเหล่านี้มีคนว่าทัพใหญ่สิ้นเปลืองเงินแผ่นดินไปมา ไม่จำเป็นต้องจัดงานเฉลิมฉลองอันใดให้เปลืองเงินทองราษฎร

ในบรรดาคนเหล่านี้ บ้างก็พูดถูก บ้างก็พูดผิด และบ้างก็ไม่ได้ทำให้ราชสำนักพอใจอันใด หากล้วนได้รับรางวัล เทียบกับพวกกุข่าวลือให้คนตกใจแล้ว เห็นได้ชัดถึงหลายเรื่องระยะนี้

*************

เสนาบดีกรมปกครองเหยียนชิงกลับจวนปิดประตูสำนึกผิดแล้ว หวังทงได้เป็นผู้บัญชาการสำนักองครักษ์เสื้อแพรแล้ว สองข่าวนี้ทำให้หลายคนพากันครุ่นคิดหนัก

ทว่าก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอันใด ที่ทุกคนให้ความสนใจก็คือใกล้จะถึงพิธีเฉลิมฉลองชัยประกาศความชอบทหาร ธรรมเนียมขุนนางบัณฑิตกล่าวตักเตือนไร้ความผิดถูกทำลายลง พวกขุนนางบัณฑิตล้วนโกรธแค้น  มีคนคิดจะหาเรื่องตอนทัพใหญ่เข้าเมือง ให้พวกขุนนางชั่วได้รู้ว่าใต้หล้านี้ยังมีผู้ผดุงธรรมอยู่

*************

เดือนห้า ปีรัชสมัยว่านลี่ที่ 12  เมืองหลวงฝนตกปรอย ๆ หลายรอบ ทว่าทัพใหญ่เข้าเมืองวันนั้น อากาศดีมาก ผู้ใหญ่สูงวัยล้วนบอกว่าฟ้าเป็นพยานในความดี หลังฝนตกปรอยก็แค่ชื้นไม่เป็นดินโคลน ทัพม้าและทหารเดินมาก็ไม่ต้องกังวลโคลนกระเด็นเปื้อนทำให้เสียอารมณ์

เมื่อก่อนในวังกับราชสำนักจัดพิธีใหญ่ ตามธรรมเนียมก็ต้องเงียบ ทว่าครั้งนี้เหมือนอยากร่วมยินดีกับราษฎร ราษฎรก็หัวไว ในเมื่อไม่มีเจ้าหน้าที่มาเตือนให้เงียบ พวกที่ว่างงานก็พากันออกไปมุงดูกันตามท้องถนน

เมืองหลวงคนมาก ทุกคนกลัวกันว่ามาช้าแล้วไม่มีที่ยืน ก็รีบมากันแต่เช้า มีคนนำอาหารเช้ามาด้วย มีคนถึงกับไม่กินอาหารเช้าเลยก็มี

ว่ากันว่าจากประตูฉงหวินเหมินเข้าเมืองมา ฟ้าทอประกายแสงรำไร มีคนมารออยู่ทางนั้นแล้วไม่น้อย ยังมีคนสัพยอกว่า  ทัพม้าและทหารมากมายผ่านประตูฉงหวินเหมิน ถึงกับไม่มีการเก็บค่าภาษีผ่านทาง เป็นครั้งแรกที่ผิดธรรมเนียมปฏิบัติ

ราษฎรตื่นเช้ามาก เจ้าหน้าที่ ทหาร องครักษ์เสื้อแพรกองลาดตระเวนก็ตื่นเช้าเช่นกัน แบ่งกันออกไปตามถนนสายต่างๆ เพื่อรักษาความสงบยามทัพใหญ่เคลื่อนผ่าน

ราษฎรเบียดเสียดกันเกินไป เกรงว่าทัพใหญ่ไม่อาจเคลื่อนทัพได้ ทหารกองลาดตระเวนไม่พอ นอกเมืองหน่วยฝึกทหารใหม่ก็ต้องส่งทหารใหม่มาช่วยด้วย พวกเจ้าหน้าที่จากสำนักรักษาความสงบและบางส่วนจากศาลซุ่นเทียนก็ต้องประจำตามจุดต่างๆ ในเมืองหลวงเพื่อป้องกันคนฉวยโอกาสก่อเรื่องขณะที่การป้องกันหละหลวม

ราษฎรออกมามุงตามท้องถนน สองข้างทางจากประตูฉงหวินเหมินไปยังวังหลวง  ชั้นสองของหอสุราอาหารโรงน้ำชาที่สูง ก็มีคนไปจองที่กันเต็ม คนมีเงินก็จองที่เตรียมรอดูอย่างสบายๆ

ถนนที่ทัพใหญ่เคลื่อนผ่านก็คือถนนในเขตทักษิณ อาคารที่มีชั้นสองนั้นน้อยมาก พวกชนชั้นสูงระดับต้นๆ ในเมืองคิดจะดูชมความครึกครื้นนี้  ไม่อยากเบียดกับฝูงชนคนอื่น จึงจ่ายเงินซื้อเรือนข้างทางไว้เสียเลย สร้างนั่งร้านไม้ไผ่ขึ้นไว้รอชม

ทว่าไม่ว่าชั้นสูงของอาคารหรือนั่งร้านสูง ก็ย่อมมีองครักษ์เสื้อแพรเฝ้าไว้ มีคนไม่น้อยแปลกใจ กล่าวว่าไยต้องระวังรอบคอบเพียงนี้ ทัพใหญ่เคลื่อนผ่าน หรือว่ายังกลัวว่ามีราษฎรโจมตีสองข้างทางกัน

มาเช้า ใกล้กับทางประตูฉงหวินเหมิน ฟ้าสางก็มากันแล้ว เห็นประตูเมืองเปิดแล้ว ทุกคนพากันแปลกใจ ตามธรรมเนียม เปิดเร็วเช่นนี้ หรือว่าเพื่ออำนวยความสะดวกให้ทัพใหญ่เข้าเมือง แต่ก็ไม่น่า

พระอาทิตย์ค่อยๆ สูงขึ้น คนตามท้องถนนยิ่งมากขึ้น มีคนใช้คำว่าคนแออัดกันราวกับน้ำเดือดพล่านก็ไม่เกินไปนัก ยังมีคนที่ขายของกินเล่นริมทางมามุงดูไปขายไป ก็ยิ่งทำให้บรรยากาศครึกครื้น

ในฝูงชนยังมีอีกเรื่องหนึ่ง บางจังหวะจะได้ยินเสียงเอะอะ จากนั้นก็มีชายแต่งตัวธรรมดาจับกุมคนมัดตัวไป มีคนตกใจกันใหญ่ ที่แท้เป็นพวกนักล้วงที่แฝงตัวเข้ามาในฝูงชน

ถนนที่ห่างจากประตูฉงหวินเหมินไปทางเหนือร้อยก้าว กลางฝูงชนมีคนแต่งกายด้วยชุดยาวสิบกว่าคน พอมองไปก็รู้ว่าน่าเป็นบัณฑิตที่สถานะไม่ธรรมดา เห็นสองสามคนในนั้นวางท่าวางทางดี อาจเป็นขุนนางมีความชอบก็เป็นได้

เห็นภาพนักล้วงถูกจับกุมก็มีคนยิ้มกล่าวว่า

“เมื่อก่อนเมืองหลวงออกันแน่นเช่นนี้ ศาลซุ่นเทียนกับศาลอาญาใหญ่ต่างยุ่งกันมือไม่ว่าง ย่อมมีพวกฉวยโอกาสกันหลายจุด แต่ตอนนี้ไม่เช่นนั้นแล้ว!”

“หวังทงเจ้าเด็กนั่นไร้การศึกษา เห็นว่าพิธีฉลองชัยประกาศเกียรติทหาร กลับทำจนเหมือนงานวัดเสียได้ ช่างน่าขัน”

ชายผู้หนึ่งหน้าเคร่งกระแอมไอกล่าวว่า

“พวกเรามาที่ได้ไม่ได้มาท่องเที่ยว หากมาเพื่อทุกคนจะได้สั่งสอนคนชั่ว ให้เขาเสียหน้า ให้เขารู้ว่าคุณธรรมไม่อาจลบหลู่!!”

คนผู้นี้กล่าวจบ คนที่เหลือก็แสดงสีหน้านิ่งเป็นการเป็นงานทันที พากันพยักหน้า

***************

เวลาผ่านไปสักพักก็ได้ยินเสียงดังสามทีจากบนกำแพงเมือง ‘ผ่าง ผ่าง ผ่าง’ ฝูงชนเงียบกริบ  แม้ไม่รู้ว่าตีทำไม แต่ก็เดาว่าเป็นสักญาณทัพใหญ่เข้าเมือง

คนที่ยืนสองข้างถนน แม้ใกล้ประตูเมืองที่สุด มองไม่เห็นอีกด้าน แต่ทุกคนรออย่างไรก็ไม่เห็นทัพใหญ่ปรากฏ

หลังเงียบกัน ก็มีเสียงเอะอะดัง จากนั้นก็เสียงเอะอะก็เริ่มกลับคืนสภาพก่อนหน้า พ่อค้าตะโกนขายของลากเสียงยาว สร้างบรรยากาศได้ไม่น้อย

ทุกคนหันไปมองเป็นระยะ มองไม่เห็นอันใด จากนั้นก็คุยกันต่อ สักครู่ เสียงคุยก็เริ่มเบาลง เพราะมีคนได้ยินราวกับว่ามีเสียงกลองจากนอกเมือง ทุกคนถูกดึงความสนใจไปทางนั้นหมด

เป็นเสียงกลองจริง ทว่าเหมือนไม่ใช่กลองแห่งความยินดี และไม่ใช่วิธีการตีแบบตอนฝึกซ้อมของกองกำลังสังกัดวังหลวง เสียงตีดังจังหวะเดียว เหมือนว่าค่อยๆ ตีมาเรื่อยๆ

ทุกคนได้ยินแล้วก็พากันแปลกใจ เสียงดังเอะอะตามท้องถนนเริ่มเงียบลง ทุกคนได้ยินกันอย่างชัดเจน  เสียงกลองยิ่งดังขึ้น ราวกับว่ามีกลองร้อยตัวกำลังตี

  มีทหารนำธงเข้าเมืองมา พอพ้นประตูเมือง ทุกคนจึงเห็นธงในมือเขา เป็นลวดลายง่ายๆ สีดำสนิท ด้านบนมีอักษรสีแดงเขียนตัวใหญ่ว่า ‘หู่เวย’ ธงดำมีลายเสือบางๆ พลถือธงในชุดเกราะส่องกระทบแสงตะวันระยิบ

“ไม่รู้ว่าเป็นขุนพลท่านใด ไม่เช่นนั้นเหตุใดจึงมีชุดเกราะที่ดีเช่นนี้ได้!”

มีคนกระซิบกัน เสียงกลองยิ่งดัง แต่ยังคงเป็นจังหวะเดียว นอกจากเสียงกลอง คนที่อยู่ใกล้ประตูมาที่สุดยังได้ยินเสียงอีกเสียงหนึ่ง เสียง ‘ตึงๆ’ ดังมา เหมือนว่าเป็นเสียงตีพื้น ทุกคนพากันงง

“ถอยหลังๆ อย่าได้ขวางทางทัพใหญ่ มีความผิดหนัก!”

ทุกคนอยากรู้ว่าคืออะไร ก็เดินไปกลางถนน ทหารองครักษ์เสื้อแพรที่รักษาระเบียบอยู่ก็ตะโกนขวางไว้ พลถือธงเดินไปได้ราวร้อยก้าว ทัพใหญ่ตอนนี้ปรากฏต่อหน้าทุกคนแล้ว

เดิมถนนที่เสียงจอแจก็เงียบทันที ทุกคนมองทัพทหารบนถนนในตอนนี้ไม่กระพริบ พลทวนยาวในชุดเกราะหู่เวยเดินเรียงแถวมาอย่างเรียบร้อย ทวนยาวยกเอียง ก้าวเท้ายาวไปข้างหน้า

พลทวนยาวทุกคนล้วนอยู่ในชุดเกราะ หลายคนบนถนนได้แต่หรี่ตาอย่างไม่ทันรู้ตัว เกราะกับอาวุธส่องกระทบแสงอาทิตย์แยงตาไปหมด

องครักษ์เสื้อแพร

องครักษ์เสื้อแพร

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 1116 อ่านนิยาย


หากคุณชอบนิยายจีนย้อนเวลา เรื่องราวเข้มข้นสุดมันส์ในประวัติศาสตร์ราชวงศ์หมิงอยู่ที่นี่แล้ว!

ชาตินี้ต้องตายเพราะโรคร้าย ทั้งๆ ที่กำลังประสบความสำเร็จในธุรกิจ

เขาไม่ยอม!!

ชาติหน้าเขาจะต้องมีชีวิตที่รุ่งโรจน์กว่าผู้ใด…

หวังทงย้อนเวลามาเกิดใหม่ในราชวงศ์หมิงพร้อมความทรงจำของมนุษย์ทำงานในศตวรรษที่ 21

รัชสมัยฮ่องเต้ว่านลี่เป็นช่วงเวลาที่รุ่งโรจน์ที่สุดในประวัติศาสตร์ราชวงศ์หมิง

และก็เป็นยุคสุดท้ายแห่งความรุ่งโรจน์ของราชวงศ์หมิง

หวังทงในฐานะ ‘องครักษ์เสื้อแพร’ จะนำความรู้สมัยใหม่ไปทำอะไรได้บ้าง

นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอะไรในประวัติศาสตร์

…วินาทีที่เขาปรากฏตัวขึ้น ห้วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์ก็เริ่มหมุนเปลี่ยนทิศ…

Options

not work with dark mode
Reset