หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรักตอนพิเศษ 99 เจ้าซาลาเปาน้อยมาแล้ว

ตอนพิเศษ 99 เจ้าซาลาเปาน้อยมาแล้ว

ตอนพิเศษ 99 เจ้าซาลาเปาน้อยมาแล้ว

ปฏิทินสวรรค์ ปีที่หนึ่งแสนเก้าสิบแปด ต้นเหมันต์ หิมะตกต้องตามฤดูกาล

ศึกระหว่างมารกับเทพหนนั้นผ่านมาหนึ่งร้อยปีแล้ว ยามนี้หิมะแรกของปีโปรยปรายไล่จากแดนเทพเรื่อยมาจนถึงแดนปีศาจ แม้แต่แดนยมโลกที่ไม่เคยมีฤดูกาลก็ยังมีปุยหิมะขนาดเท่าขนห่านลอยละล่อง

นับตั้งแต่กระจกปี้คงถูกผนึก มันก็ถูกวางไว้ในตำแหน่งที่มีพลังปราณเซียนเข้มข้นที่สุดของแดนเซียนโดยมีชิงสุ่ยเจินเหรินคอยเฝ้าดูแลด้วยตนเอง

วันนี้เป็นวันมหามงคลของแดนเซียน นั่นก็คือวันฉลองวันเกิดของท่านยอดเซียน เทพเซียนจากทุกสารทิศต่างพากันเดินทางมาร่วมอวยพร แม้แต่สำนักเชียนหลันก็มาด้วย

สิ่งที่ควรเล่าสักหน่อยก็คือหลังจากทางเชื่อมแดนเทพถูกเปิดออก เซียนไม่น้อยก็สำเร็จเป็นเทพขึ้นไปยังแดนเทพ บางครั้งก็มีเทพเดินทางมายังแดนเซียน แดนมารและแดนมนุษย์ ทำให้พลังปราณในแดนกลางเข้มข้นขึ้นเล็กน้อย ชีพจรปราณที่แห้งขอดในแดนล่างก็ได้ท่านเทพบางองค์ซ่อมแซม ใต้หล้าจึงมีผู้ฝึกตนที่พลังร้ายกาจเพิ่มขึ้นมาจำนวนหนึ่ง เจ้าสำนักสวี่ ประมุขเหลยกับผู้พิทักษ์ใหญ่ต่างทยอยสำเร็จเป็นเซียนเดินทางไปยังแดนเซียนตั้งแต่เมื่อสิบปีก่อน

ยามนี้เจ้าสำนักเชียนหลันคือลู่หยวนเจิ่นอดีตผู้พิทักษ์สาม

หลิงจือเองก็ก้าวเข้ามาถึงขั้นมหายานแล้ว นางห่างจากการบรรลุเป็นเซียนอีกเพียงก้าวเดียว หนนี้นางก็ได้รับคำเชิญด้วย

ท้องฟ้ายังไม่ทันสว่าง หลิงจือก็เก็บข้าวของเรียบร้อย เตรียมตัวพร้อมออกเดินทางไปแดนเซียน ระหว่างที่เดินผ่านกลุ่มศิษย์ใหม่ สีหน้าของนางก็ชะงักไปวูบหนึ่งแล้วเดินเข้าไปหา

ในสำนักศิษย์ใหม่ ศิษย์ที่เพิ่งเข้าสำนักกำลังเข้ารับการทดสอบเดือนแรก

ผู้ดูแลหลิวกลายเป็นผู้พิทักษ์แล้ว อวี๋เจี๋ยก็รับช่วงต่อดูแลสำนักศิษย์ใหม่ คุณชายน้อยหรงวันนี้ก็กลายเป็นคุณชายใหญ่หรงแล้ว เขากลายเป็นพ่อครัวพลังปราณคนแรกของสำนักเชียนหลัน เขามาที่นี่เพื่อเฟ้นหาศิษย์ใหม่ที่มี ‘ศักยภาพ’ สักสองสามคน เพื่อที่วันหน้าจะได้เดินตามรอยเขาทำให้ห้องครัวได้เฉิดฉาย

“รากปราณครึ่งเดียว!” ศิษย์เอกคนหนึ่งมองตัวอักษรบนหินทดสอบแล้วประกาศออกมา

ศิษย์ที่มีรากปราณครึ่งเดียวสีหน้าหม่นหมองถอยออกไป มาอยู่ได้หนึ่งเดือนแล้วแต่รากปราณที่เคยเต็มกลับถดถอยมาเหลือรากปราณครึ่งเดียว ดูท่าคงจะได้เก็บสัมภาระจากไปแล้ว

ศิษย์หญิงอายุสิบสองสิบสามปีคนหนึ่งก้าวออกมาอย่างกังวล นางวางมือเรียวสวยขาวผ่องลงบนหินทดสอบ ทันใดนั้นก็เห็นหินเปล่งแสงเป็นสีน้ำเงินเข้ม

ทุกคนอุทานตกตะลึง

ศิษย์เอกบอกด้วยสีหน้ายินดีปรีดา “รากปราณน้ำ ระดับบน!”

“สวรรค์ นางเพิ่งจะเข้ามาได้นานเท่าใดก็มีรากปราณระดับบนแล้ว ความเร็วการฝึกตนเช่นนี้ยอดเยี่ยมยิ่งกว่าประมุขหลิงเมื่อในอดีตเสียอีก! ไม่เสียทีเป็นศิษย์อัจฉริยะของรุ่นนี้ มิน่าจึงถูกเจ้าสำนักลู่รับเป็นศิษย์สายตรง!”

“ใครว่าไม่ใช่เล่า”

“ได้ยินว่ามาจากชนบท ระหว่างทางขอทานมาจนเกือบจะหิวตาย ยังดีที่ผู้ดูแลอวี๋ไปพบเข้า”

“ตอนนั้นประมุขหลิงก็มาจากชนบทเหมือนกันนี่”

ศิษย์ใหม่ทั้งหลายซุบซิบพูดคุยกันอย่างอิจฉา

หลิงจือมองแม่นางน้อยคนนั้นด้วยสายตาปลื้มใจ แม่นางน้อยรูปร่างผอมบางจนเห็นชัดว่าเสื้อผ้าหลวมโพรก หลังจากนางเดินกลับลงมาจากแท่นทดสอบ นางก็ดีใจจนก้าวเท้าซวนเซอยู่นิดๆ ตอนที่นางมานั่งบนอัฒจันทร์ด้านข้าง นางก็หยิบยันต์แคล้วคลาดแผ่นหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ นางปาดน้ำตาพร้อมกับคลี่ยิ้ม

สายตาของหลิงจือมองบนที่ว่างข้างกายนาง นางเหมือนจะมองเห็นเฉียวเวยเวยตอนอายุสี่ขวบนั่งเลียถังหูลู่อยู่อย่างสงบเสงี่ยมอยู่ตรงนั้น

‘หลิงจือ กิน’

‘ข้าไม่กิน เจ้ากินเถิด’

‘โอ้’

จู่ๆ ลำคอของหลิงจือก็มีก้อนสะอื้นขึ้นมาจุกที่ลำคอ

“เหอะ รากปราณน้ำมีอะไรน่าอวดนักหนา เพ้อฝันจะไปเทียบกับประมุขหลิง ไม่รู้หรือว่าประมุขหลิงมีรากปราณผสมที่แสนหายากในหกดินแดน”

เด็กสาวสวมอาภรณ์สีเหลืองอ่อนคนหนึ่งเดินเข้ามาพร้อมกับสีหน้าหยิ่งยโส

นางก็เป็นศิษย์ใหม่ที่เพิ่งเข้าสำนักเช่นกัน บิดาของนางคือเซียนที่มีรากปราณสายฟ้า มารดาเป็นมนุษย์ธรรมดา นางเกิดมาก็คือรากปราณสายฟ้าครึ่งหนึ่ง พรสวรรค์ระดับนี้เทียบกับฉินหลิงเอ๋อร์เมื่อตอนนั้นมีแต่ดีกว่าไม่ด้อยกว่า นางก็เป็นศิษย์สายตรงที่เจ้าสำนักรับเอาไว้เช่นกัน

นางเดินไปตรงหน้าแม่นางน้อยคนนั้นอย่างไม่รีบร้อน แล้วก้มมองนางจากด้านบน “เคล็ดวิชาที่อาจารย์สอนท่องได้แล้วหรือยัง ตำราที่ศิษย์พี่ทั้งหลายมอบให้อ่านจบแล้วหรือไม่ อักษรคัดเสร็จแล้วหรือไม่”

แม่นางน้อยส่ายหน้าอย่างหวาดกลัว

นางกอดอกแล้วแค่นเสียงหยันอย่างดูแคลน “ถ้าเช่นนั้นเจ้ายังจะมานั่งดีใจโง่ๆ ปล่อยเวลาเสียเปล่าอยู่ที่นี่อีกหรือ คิดว่าพรสวรรค์เพียงเท่านี้น่าดีอกดีใจแล้วหรือไร เจ้าเด็กไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง!”

แม่นางน้อยลุกขึ้นยืนอย่างเศร้าสร้อย นางกำลังจะกลับห้องไปฝึกก็เห็นหลิงจือยืนอยู่ตรงหน้า นางตกใจก้มตัวลงไปทันที “ประมุขหลิง!”

เด็กสาวรากปราณสายฟ้าได้ยินนางเอ่ยคำเรียกขานนั่นก็รีบหันหลังกลับไป นางมองหลิงจืออย่างตกใจกลัว แล้วค้อมกายคำนับทักทายว่า “ประมุขหลิง”

ผู้ใดไม่รู้บ้างว่าประมุขหลิงเป็นคนเข้มงวดอย่างที่สุด การกลั่นแกล้งศิษย์น้องของตนเองเช่นนี้ต้องถูกประมุขหลิงลงโทษอย่างแน่นอน ทว่าสิ่งที่ทำให้ทุกคนประหลาดใจก็คือประมุขหลิงไม่เอ่ยสักคำ นางเพียงพยักหน้าให้นิ่งๆ แล้วหมุนตัวเดินจากไป

เด็กสาวรากปราณสายฟ้าขาอ่อน นางตบหน้าอกตัวเองแล้วหอบหายใจหนักๆ “ข้ากลัวแทบตายๆ…”

หลิงจือเคลื่อนกายจากไปไกล เงาร่างสีม่วงอ่อนค่อยๆ ลับหายไปท่ามกลางรัศมีแสง คล้ายภาพมายาหลุดพ้นจากโลกีย์ งดงามไม่มีสิ่งใดเทียบเทียม

ทุกคนมองอย่างเหม่อลอย ดวงตาฉายแววอิจฉาอย่างที่ไม่อาจอธิบายได้ ไม่รู้ว่าอิจฉารูปโฉมที่ขันแข่งกับเทพธิดาบนสวรรค์ชั้นฟ้าได้ของนาง หรืออิจฉาพรสวรรค์ที่เทียมเท่าเผ่าเทพของนาง

ภายในเวลาสั้นๆ ร้อยปีนางก็เดินมาถึงก้าวที่จะบรรลุเป็นเซียน พลังระดับนี้ ในหกดินแดนน่ากลัวว่าคงไม่มีคนที่สอง

นับตั้งแต่หลิงจือปรากฎตัว สายตาของอวี๋เจี๋ยไม่ละออกจากร่างนางแม้แต่นิดเดียว ใบหน้าหล่อเหลาของเขาเต็มไปด้วยอารมณ์อันซับซ้อนยากที่ผู้ใดจะเข้าใจ

“ท่านแม่!” เจ้าซาลาเปาน้อยรูปงามดุจหยกสลักคนหนึ่งโผล่ศีรษะกลมดิกออกมาจากด้านหลังภูเขาจำลอง

ชั่วขณะนั้นใบหน้างดงามอันเย็นชาของหลิงจือพลันถูกย้อมด้วยสีหน้าอันอ่อนโยน นางยื่นมือออกมาแล้วย่อตัวลงไปอุ้มเจ้าตัวน้อยคนนั้นไว้ในอ้อมแขน แต่เจ้าตัวน้อยกลับบิดร่างเล็กๆ ของตัวเองไถลลงมาแล้วบอกว่า “ข้าโตแล้ว จะให้ท่านแม่อุ้มอีกไม่ได้ ข้าอาย!”

หลิงจือบีบจมูกเล็กๆ ของเขาแล้วอมยิ้มบอกว่า “ได้ๆ มู่เอ๋อร์โตแล้ว ไม่ต้องการท่านแม่แล้ว”

หลิงจือยิ้มอย่างปลื้มใจ

สองแม่ลูกจูงมือกัน หลิงจือก้าวเดินอย่างสุขุมงามสง่า มู่เอ่อร์น้อยกระโดดโลดเต้นตาม เขาฮัมเพลงเดินลงเขาอย่างมีความสุข

ศิษย์กลุ่มหนึ่งเห็นแม่ลูกที่รูปโฉมโดดเด่นเกินผู้อื่นคู่นี้ก็รู้สึกว่าทิวทัศน์อันงดงามของสำนักเชียนหลันหม่นสีลง

“เป็นบุตรของผู้ใดกันแน่นะ”

“ไม่รู้สิ แต่ข้าได้ยินมาว่าวันที่มู่เอ๋อร์น้อยเกิด ท้องนภาของแดนกลางแทบจะถล่มลงมา กฎสวรรค์ของแดนกลางทนรับตัวตนของเขาไม่ได้ เขาน่าจะมีกายาเซียน!”

“เกิดมาก็เป็นเซียนเลยหรือ”

มู่เอ๋อร์น้อยบ่นในใจ เซียนอะไรเล่า เขาแค่เกิดมาเป็นเซียนที่ไหนกัน เขาเป็นเทพต่างหาก!

แต่ท่านแม่ไม่ให้เขาเปิดเผยร่างจริงของตนเอง

มู่เอ๋อร์น้อยคิดอย่างหงุดหงิดเล็กน้อย

สองแม่ลูกใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายเพียงประเดี๋ยวเดียวก็เดินทางมาถึงตำหนักเซียน

วันนี้ตำหนักเซียนงดงามตระการตาอย่างแท้จริง มันครึกครื้นต่างจากปกติ ผู้ฝึกตนที่มีชื่อเสียงจากดินแดนต่างๆ ล้วนมากันพร้อมหน้า เผ่ามารก็ได้รับสาส์นเชิญเช่นเดียวกัน แต่ท่านจอมมารยังไม่ปรากฏตัวได้ยินว่านางตามหาหนทางคลายผนึกมาตลอด นางใช้กำลังพลทั้งหมดของเผ่ามาร แม้แต่ ‘เจ้าปลาอ้วน’ ฉินเซวียนตัวนั้นกับจิตตั้งต้นของโหราจารย์หญิงก็ถูกนางใช้งานเยี่ยงทาสส่งไปตามหาวิธีปลดผนึกทั่วทุกสารทิศ

หลิงจือเดินเข้ามาในประตูใหญ่ของตำหนักเซียน เสียงดนตรีก้องกังวานลอยเข้ามาปะทะใบหน้า ดวงตาของมู่เอ๋อร์น้อยเป็นประกายวิบวับ เขามองเซียนน้อยที่เล่นกันอยู่ตรงลานเต้นรำใกล้ๆ แล้วกระโดดไปมาอย่างตื่นเต้น “ท่านแม่ๆ ข้าอยากไปดู!”

หลิงจือปล่อยมือเขา แล้วลูบหน้าผากของเขาเบาๆ “ไปเถิด”

มู่เอ๋อร์น้อยเผ่นแผล็วไปทันใด!

เขามีกายาของเทพ เล่นกับมนุษย์ธรรมดาก็มักจะกลัวว่าหากไม่ทันระวังเพียงนิดจะทำให้ผู้อื่นเสียชีวิตน้อยๆ ของตนไป เล่นกับเซียนน้อยทั้งหลายดีกว่า ล้มไปก็ทนไหว!

ลานเต้นรำมีเสียงร้องโอดโอยของเซียนน้อยดังขึ้นอย่างรวดเร็ว

หลิงจือส่ายหน้า กำลังจะไปจับลูกชายกลับมา ทว่าเพิ่งหมุนตัวก็มีเงาร่างสูงตระหง่านร่างหนึ่งขวางนางเอาไว้

เวลาหนึ่งร้อยปีสำหรับมนุษย์ธรรมดาอาจยาวนานอย่างยิ่ง ทว่าในสายตาเทพองค์หนึ่งมันเป็นเวลาเพียงชั่วดีดนิ้วมือ อวิ๋นเยี่ยหน้าตาไม่เปลี่ยนไปแต่อย่างใด เขายังคงหล่อเหลาเยาว์วัย สง่างามเหนือผู้ใด แต่หลิงจือกลับลบเลือนความไร้เดียงสาเช่นสาวน้อยไปแล้ว นางมีความอ่อนหวานและสง่างามของมารดาเพิ่มขึ้นมาแทน

อวิ๋นเยี่ยจับจ้องมองนาง

แต่นางไม่อยากสนทนากับอวิ๋นเยี่ย

นางเดินหลบไปทางซ้าย อวิ๋นเยี่ยก็ขยับมาทางซ้าย

นางเดินหลบไปทางขวา อวิ๋นเยี่ยก็ขยับไปทางขวา

นางเงยหน้ามองอวิ๋นเยี่ยด้วยแววตาเฉยชา “ท่านเจ้าตำหนักมีธุระใดหรือ”

ริมฝีปากบางของอวิ๋นเยี่ยเผยอพูดแผ่วเบา “ลูกชายของข้าหรือ”

หลิงจือยิ้มเย็นชา “ลูกของท่านที่ไหนกัน”

อวิ๋นเยี่ยโต้ “อย่ามาหลอกข้า”

หลิงจือยิ้ม “ตอนนั้นท่านดูข้าดื่มยาห้ามครรภ์ด้วยตาตนเอง ข้าจะให้กำเนิดลูกของท่านได้อย่างไรเล่า”

อวิ๋นเยี่ยหันขวับ แววตาครุ่นคิดจับจ้องบนใบหน้าน้อยอันหล่อหลาดุจหยกสลักของมู่เอ๋อร์น้อย

หลิงจือยิ้มเย็นชา “ไม่ต้องมองแล้ว ไม่ใช่ลูกของท่าน”

อวิ๋นเยี่ยหรี่ตา “ไม่ใช่ของข้า แล้วเป็นของผู้ใด”

“เรื่องนั้นมิเกี่ยวข้องกับท่าน” หลิงจือมองเขาแล้วยิ้มอย่างเย็นชา จากนั้นนางก็ไม่สนใจเขาอีก แต่หมุนตัวไปทางลานเต้นรำแล้วจูงมือลูกชายจากไป

อวิ๋นเยี่ยโมโหจนเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน!

หน้าตาเหมือนเขายังกับแกะชัดๆ! ยังกล้าบอกว่าไม่ใช่ลูกของเขาอีกหรือ!

สตรีนางนี้ช่างขวัญกล้าขึ้นทุกทีแล้วจริงๆ!

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

Score 10
Status: Completed
นิยายแปลไทยเรื่อง : หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก ผู้เขียน : เพียนฟางฟาง (偏方方) แนะนำเรื่องย่อ เมื่อหมอสาวยุคปัจจุบันต้องทะลุมิติมาอยู่ในยุคโบราณแถมพ่วงด้วยลูกแฝดอีกสอง ทำขนม ดักสัตว์ ทำไร่ ทำทุกอย่างที่ได้เงิน! เฉียวเวย เด็กกำพร้าไร้ญาติขาดมิตรจู่ๆ ก็ทะลุมิติมายังยุคโบราณที่ไม่รู้จัก นอกจากจะมาอาศัยร่างคนอื่นอยู่แล้ว ร่างเดิมนี้ยังมีลูกแฝดอีกสองชีวิตให้ต้องเลี้ยงดู! นางที่ไร้ซึ่งความทรงจำใดๆ ในโลกใบใหม่แต่พราะทักษะติดตัวสมัยยังต้องดิ้นรนในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าทำให้ชีวิตไม่ลำบากเกินไปนัก ทำขนม ดักสัตว์ ปลูกพืช รักษาคน จากนี้นางจะเลี้ยงลูกๆ ให้เติบใหญ่ด้วยมือของนางเอง! เจ้าซาลาเปาน้อยจูงมือบุรุษใบหน้าเคร่งขรึมเข้ามา "ท่านแม่ ท่านลุงบอกว่าเขาเป็นพ่อของข้า" เฉียวเวยยิ้มละไม "ลูกรัก บอกพ่อเจ้าหน่อย ว่าต้องทำเช่นไรถึงจะพิสูจน์ว่าเป็นพ่อของเจ้าได้" เจ้าซาลาเปาน้อยเปิดสมุดทองคำ พูดอย่างชื่อๆ ว่า "ข้อที่หนึ่งร้อยหนึ่งของ 'กฎครอบครัวเฉียว' หลอกลวงเด็กสาวที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะมีโทษตัดอวัยวะสืบพันธุ์ ท่านลุง หากท่านเป็นพ่อของข้าจริงๆแล้วล่ะก็..." โดยไม่รอให้เจ้าซาลาเปน้อยจะพูดจบ ปลายนิ้วอันย็นเฉียบของชายคนนั้นก็บีบคางของเฉียวเวย เผยให้เห็นรอยยิ้มที่เย็นชาและเป็นอันตราย "หากข้าจำไม่ผิด คืนนั้น เหมือนเจ้าจะเป็นคนบังคับขืนใจข้า!"

Options

not work with dark mode
Reset