ตอนพิเศษ 98-1 ตอนจบของเรื่องราว ความตายของจิตมาร
หลิงจือไม่รู้ว่าตนเองเดินออกมาจากร้านได้อย่างไร
อวิ๋นเยี่ยถือถุงผ้าหนักอึ้งใบหนึ่งมาหน้ารถม้า เขากำลังจะขึ้นไปนั่งบนรถม้า หลิงจือก็พาใบหน้าน้อยอันแดงก่ำพุ่งเข้ามา ฝ่ามือฟาดลงบนผ้าม่านที่เขากำลังเปิดแล้วดึงผ้าม่านกลับมาปิดกรอบประตูอีกหน
“เจ้าคิดจะทำสิ่งใดอีก” อวิ๋นเยี่ยถามอย่างไม่สะทกสะท้าน
หลิงจือกระแอม นางพยายามรักษาท่าทางให้นิ่งสงบ นางเหลือบมองถุงผ้าในมือเขาแล้วถามว่า “เหตุใดเจ้าต้องซื้อเจ้าสิ่งนี้ เจ้า…เจ้าเป็นเทพมิใช่หรือ เพิ่งจะคืนเดียว…ก็ไม่ไหวแล้วหรือ”
พี่สาวคนนี้ยังมีเรี่ยวแรงคึกคักอยู่เลยนะ!
บุรุษผู้นี้อย่าเป็นพวกหมอนปักลาย ภายนอกดูดีภายในใช้การไม่ได้เชียว
หลิงจือเลิกคิ้วอย่างยียวน แล้วหัวเราะเยาะ “ถึงได้บอกอย่างไรเล่าว่าไม่มีความสามารถทางนี้ก็อย่าเลียนแบบผู้อื่น เอาแต่วุ่นวายอยู่ทั้งคืน สุดท้ายก็ต้องมาซื้อ ‘ยาวิเศษ’ พวกนี้ไปบำรุงร่างกายตนเอง หากเล่าลือออกไปแดนเทพของพวกเจ้าคงขายหน้าหมดสิ้นแล้ว!”
อวิ๋นเยี่ยเหล่มองนางนิ่งๆ แล้วจับมือของนางแบออกก่อนจะวางถุงผ้าลงบนฝ่ามือ
“อะไร” หลิงจือมองเขาอย่างแปลกใจ
อวิ๋นเยี่ยตอบเรียบๆ “เปิดดูเองสิ”
หลิงจือเปิดถุงผ้าแล้วก็ค้นพบอย่างประหลาดใจว่าด้านในมิได้ใส่สุดยอดยาบำรุงกำลังรวมสมุนไพรสิบชนิดอะไรไว้ แต่เป็นไข่มุกเคลื่อนย้ายสีเขียวใสเม็ดแล้วเม็ดเล่าต่างหาก “นี่…เป็นเช่นนี้ได้อย่างไรกัน”
อวิ๋นเยี่ยคว้าถุงผ้ากลับมา “แม้แต่เรื่องที่ร้านนี้จริงๆ แล้วขายอะไร เจ้าก็ยังไม่รู้ ยังกล้าบอกว่าตนเองเข้าไปซื้อของอีกหรือ”
ป้ายสุดยอดยาบำรุงกำลังรวมสมุนไพรสิบชนิดนั่นมิใช่ป้ายลวง แต่นั่นเป็นป้ายสำหรับประชาชนคนทั่วไปในเมือง ผู้ฝึกตนที่รู้เส้นสนกลในต่างไปที่นั่นเพื่อไข่มุกเคลื่อนย้ายที่ซื้อหากันในตลาดมืด
หลิงจือกะพริบตาปริบๆ แล้วค่อนแคะ “เจ้า…เจ้าเป็นคนแดนเทพแท้ๆ เหตุใดจึงรู้เรื่องเหล่านี้ก่อนข้าเล่า”
“เจ้าไม่มีสมองหรือไร” อวิ๋นเยี่ยถามสีหน้าดูแคลน
หลิงจือถูกเขาว่าจนสะอึก นางคิดให้ตายก็ไม่เข้าใจว่าเขาไปสืบเรื่องนี้มาได้อย่างไร หรือว่าเขามีอาคมใดอ่านความทรงจำผู้อื่นได้
อวิ๋นเยี่ยเก็บของเสร็จก็ขึ้นไปนั่งบนรถม้า
หลิงจือเกาะขอบหน้าต่างแล้วยื่นศีรษะเล็กๆ เข้าไปด้านใน นางหอบแฮ่กถลึงตาใส่เขา “ข้า…ข้าก็รู้เหมือนกันเถอะ! ข้าก็เข้าไปซื้อไข่มุกเคลื่อนย้ายเหมือนกัน!”
อวิ๋นเยี่ยตอบกลับอย่างไร้อารมณ์ “ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็ไปซื้อสิ”
“ข้า…” หลิงจือล้วงถุงเฉียนคุนที่แฟ่บแบนของตนเอง ด้านในยังมีศิลาศักดิ์สิทธิ์ระดับสูงอยู่บ้าง แต่โลกของมนุษย์ปุถุชนแห่งนี้ใช้เงินทองซื้อของต่างหาก
นางกัดริมฝีปากนุ่มนิ่มสีแดงของตนเองแล้วหลุบตาลงอย่างคับแค้น
ปลายนิ้วเย็นเฉียบข้างหนึ่งจิ้มหน้าผากของนางเบาๆ ดันศีรษะของนางออกไปจากหน้าต่าง
หลิงจือเจ็บแปลบ นางร้องโอ้ยออกมาคำหนึ่งแล้วยกมือนวดหน้าผากที่บวมแดงนิดๆ ขณะที่กำลังจะต่อว่าเจ้าหมอนั่นอีกสักยก จู่ๆ ถุงผ้าไหมใบหนึ่งก็ถูกโยนออกมาใส่อ้อมแขนของหลิงจือ
หลิงจือเปิดถุงผ้าไหมออกดูก็เห็นเงินสีขาวแวววาวเต็มไปหมด
“เลิกตามข้าได้แล้ว”
อวิ๋นเยี่ยกล่าวทิ้งท้ายอย่างเย็นชาแล้วใช้พลังปราณบังคับรถม้าออกไปจากที่แห่งนั้น
หลิงจือกำหมัดดังกรอด ให้เงินนางหรือ เจ้าหมอนั่นเห็นนางเป็นอะไร!
…
เล่าถึงสตรีนางนั้นหลังจากเสียโอกาสเก็บเกี่ยวพลังจากอวิ๋นเยี่ย นางจึงจำเป็นต้องหาบุรุษคนอื่นมาสูบกินพลังชีวิต นางเดินทางไปที่หมู่บ้านบนภูเขาแห่งหนึ่ง ใกล้ๆ ที่แห่งนี้คือจุดที่นางร่วงหล่นลงมาจากแดนเทพ
ที่แห่งนี้ตั้งอยู่ค่อนข้างห่างไกลจึงไม่ค่อยถูกทางการจับตามอง อีกทั้งยังมีฮวงจุ้ยดีอย่างยิ่ง เป็นสถานที่ซึ่งพลังหยินหยางเต็มเปี่ยม พลังชีวิตที่ถูกหล่อเลี้ยงจากที่แห่งนี้ยอดเยี่ยมกว่าที่อื่นอยู่มาก
หญิงสาวสูบกินพลังชีวิตของบุรุษทั้งหมู่บ้านจนเกลี้ยง
อาการมารครอบงำจึงถูกควบคุมในที่สุด นางกินอิ่มหนำก็เกล้าเรือนผมที่ยาวระบั้นเอวขึ้นแล้วใช้ปิ่นหยกสีเขียวเล่มหนึ่งปักไว้ หลังจากนั้นนางจึงขยับหางอสรพิษสีเขียว ออกไปจากหมู่บ้านที่โลหิตนองเป็นสายน้ำอย่างหยิ่งยโส
คนในหมู่บ้านล้วนตายหมดสิ้น เหลือเพียงเด็กน้อยคนเลี้ยงวันคนหนึ่ง
เด็กน้อยกอดกระจกที่เก็บได้บานนั้นเอาไว้พลางสูดน้ำหูน้ำตาอย่างตะลึงงัน
หญิงสาวมาถึงเบื้องหน้าเด็กน้อย นางอมยิ้มมองเขาแล้วก้มลงไปหยิบกระจกในมือเขาขึ้นมา “ในลาภมีเคราะห์ ในเคราะห์มีลาภ อวิ๋นเยี่ย หากมิใช่เพราะเจ้าสลัดข้าทิ้ง ข้าก็คงไม่จับพลัดจับผลูได้กระจกปี้คงกลับมา”
เด็กน้อยมองนางอย่างนิ่งอึ้ง
นางลูบศีรษะของเด็กน้อย จากนั้นสะบัดหางอสรพิษยักษ์จากไปพร้อมกับสีหน้าเย็นชา
หลังจากหญิงสาวออกไปจากหมู่บ้าน สิ่งแรกที่นางทำก็คือตามหาหลิงจือ
หลิงจือเป็นกุญแจสำคัญที่จะกลืนพลังของผานกู่ ต้องตามหานางให้พบจึงจะยึดพลังของผานกู่มาเป็นของตนเองได้จริงๆ
บนร่างของหลิงจือมีปราณปีศาจที่ฉินหลิงเอ๋อร์ถ่ายเทให้อยู่ แล้วก็มีตราประทับที่นางตราไว้อีกด้วย ตามหลักแล้วการตามหานางควรจะง่ายดายอย่างยิ่งจึงจะถูก ทว่าไม่รู้เป็นเพราะเหตุใดนางจึงจับสัมผัสสิ่งใดไม่ได้ทั้งสิ้น “หรือว่ามีคนลบปราณปีศาจกับตราประทับที่ข้าตีตราเอาไว้ในร่างสาวน้อยคนนั้นออกไปแล้ว ผู้ใดมีความสามารถเช่นนั้นกัน อวิ๋นเยี่ยหรือ”
ทว่าโชคของสตรีนางนี้นับว่าดีไม่เลวทีเดียว ขณะที่นางกำลังขบคิดว่าเหตุใดจึงตามหาร่องรอยของหลิงจือไม่พบนั่นเอง หลิงจือก็พาตัวเองมาส่งถึงที่
หลังจากหลิงจือถูกอวิ๋นเยี่ยทิ้งไว้ริมทาง นางก็โกรธจนชั่วชีวิตนี้ไม่อยากพบบุรุษผู้นี้อีกแล้ว ด้วยเหตุนี้เมื่ออวิ๋นเยี่ยมุ่งหน้าไปทางตะวันออก นางจึงมุ่งหน้าไปทางตะวันตก
แม้แต่ในฝันนางก็คงคิดไม่ถึงว่านางจะพบกับ ‘ฉินหลิงเอ๋อร์’ บนถนนของเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่ง ‘ฉินหลิงเอ๋อร์’เองก็คงคาดไม่ถึงว่าจะพบหลิงจือเช่นกัน
ทั้งสองคนมาพบเจอกันโดยไม่คาดคิดเช่นนั้น
หลิงจือหน้าถอดสี!
หญิงสาวคลี่ยิ้ม “ข้ากำลังกลุ้มที่หาเจ้าไม่เจออยู่พอดี เดินตามหาจนรองเท้าเหล็กทะลุไม่เจอ พอบทจะเจอก็ไม่ต้องเสียแรงสักนิดจริงๆ”
คนที่สัญจรไปมารอบๆ ถูกหญิงสาวใช้อาคมอะไรบางอย่างสะกดตรึงไว้
หลิงจือถอยหลังก้าวหนึ่งอย่างหวาดผวา
ใบหน้าของหญิงสาวเผยรอยยิ้มลึกลับเดินเข้ามาหาหลิงจือทีละก้าวๆ นางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “หลบอะไรเล่า ข้าคือศิษย์พี่ของเจ้านะ”
หลิงจือมองนางอย่างระแวดระวัง “เจ้าไม่ใช่ศิษย์พี่ของข้า! เจ้าไม่ใช่ฉินหลิงเอ๋อร์! เจ้าคือจิตมาร!”
ดวงตาของหญิงสาวทอประกายคมกริบเย็นยะเยือกวูบหนึ่ง ชั่วพริบตาต่อมานางกลับยิ้มอย่างอ่อนโยนอีกหน “นั่นแล้วอย่างไร เจ้าหนีจากฝ่ามือข้าพ้นหรือ รู้จักดูสถานการณ์หน่อย ยอมทำตามข้าเสียดีๆ บางทีข้าอาจละเว้นชีวิตของเจ้าก็ได้”
หลิงจือกำไข่มุกเคลื่อนย้ายเม็ดหนึ่งไว้อย่างไม่เผยพิรุธ แต่แล้วหญิงสาวกลับสะบัดแขนเสื้อซัดพลังปราณสายหนึ่งไปตรึงสองมือของหลิงจือเอาไว้ ไข่มุกเคลื่อนย้ายร่วงตกลงไปบนพื้น มันกลิ้งหลุนๆ มาถึงเท้าของหญิงสาว
หลิงจือหน้าซีดเผือดยิ่งกว่าเดิม
หญิงสาวคลี่ยิ้ม “เจ้าคิดว่าข้าจะปล่อยให้เจ้าทำสำเร็จอีกหนหรือไร”
หลิงจือสลัดพันธนาการที่ข้อมือไม่หลุด นางจึงชักเท้าวิ่งหนี!
“ไร้เดียงสา!” หญิงสาวยกมุมปากยิ้มเย็นชาพลางยื่นมือออกมาทางหลิงจือแล้วกำเบาๆ
…
รถม้าของอวิ๋นเยี่ยแล่นออกจากเมืองน้อย ล้อรถเคลื่อนไปตามถนนหลวงที่เป็นหลุมเป็นบ่อ เดินทางไปได้ไม่นานเท่าไร ท้องนภาไร้เมฆไกลหมื่นลี้จู่ๆ ก็มืดทะมึน
ล้อรถม้าบดถูกก้อนหินน้อยก้อนหนึ่งจนรถม้าโคลงวูบ ฝาของกล่องอาหารเอียงเปิด เผยให้เห็นขนมเกาลัดที่หลิงจือบิออกไปกินครึ่งชิ้น
ปลายนิ้วเรียวยาวประหนึ่งหยกของอวิ๋นเยี่ยหยิบขนมเกาลัดที่เหลือครึ่งชิ้นขึ้นมา เทพผีตนใดบันดาลให้เขายกมันขึ้นมาที่ริมฝีปากแล้วกัดเบาๆ คำหนึ่ง ในปากราวกับมีรสหวานละมุนของคืนวานทะลักท่วม
รสชาติของหญิงสาวดีงามจนน่าเหลือเชื่อ
หลังจากรู้สึกตัวว่าตนเองกำลังคิดสิ่งใดอยู่ อวิ๋นเยี่ยก็โยนขนมเกาลัดในมือทิ้งอย่างไม่ไยดี
“กรี๊ดดด!”
ตอนนั้นเองหูของเขาก็เหมือนจะได้ยินเสียงกรีดร้องเลือนรางดังลอยมา
อวิ๋นเยี่ยแววตาเคร่งขรึมทันควัน เขาแผ่จิตสัมผัสออกไป จิตสัมผัสซึ่งเป็นเสมือนคลื่นที่มองไม่เห็นและสัมผัสไม่ได้แผ่ขยายไปตามฟ้าดินทีละน้อย ณ หมู่บ้านที่โลหิตนองเป็นสายน้ำ ชาวบ้านทอดร่างนอนระเกะระกะเต็มพื้น บนลานฝึกยุทธ์ที่ว่างเปล่า มีหญิงสาวนางหนึ่งถูกมัดอยู่บนเสาหิน…
นั่นนางนี่!
อวิ๋นเยี่ยหัวใจกระตุก
เพียงชั่วพริบตา คนบนรถม้าก็หายวับไป
เมื่ออวิ๋นเยี่ยรีบเดินทางมาถึงลานฝึกยุทธ์อันรกร้างแห่งนั้น หลิงจือที่ถูกมัดอยู่กับเสาศิลาก็หน้าซีดเผือดไม่มีสติสัมปชัญญะรับรู้สิ่งใดแล้ว
ทั่วร่างของหลิงจือถูกโซ่เหล็กมัดไว้ ส่วนหญิงสาวลอยตัวอยู่กลางอากาศ ประกายแสงหลากสีหลั่งไหลออกมาจากจุดตันเถียนของหลิงจือก่อนจะผลุบหายเข้าไปในร่างของหญิงสาวอย่างไม่ขาดสาย
กลิ่นอายพลังปราณของหญิงสาวเปลี่ยนแปลงไปอย่างพลิกกลับตาลปัตร นางดูราวกับจะสื่อสารกับพลังแห่งฟ้าดินได้แล้ว มิติรอบด้านเริ่มบิดเบี้ยว
อวิ๋นเยี่ยตั้งข่ายอาคมครอบสถานที่ต่อสู้ระหว่างตนเองกับหญิงสาวเอาไว้ หลังจากนั้นเขาจึงเรียกกระบี่เทพธิดาหนี่ว์วาออกมา ปราณกระบี่อันคมกริบฟาดฟันใส่แผ่นหลังของหญิงสาว ทว่าหญิงสาวเหินร่างหลบ อวิ๋นเยี่ยรีบเร่งตามไปฟันปราณกระบี่สายที่สอง หนนี้มันร่วงลงบนโซ่เหล็กบนร่างหลิงจือ
โซ่เหล็กถูกสะบั้นขาด หลิงจือร่วงลงมาจากกลางอากาศ
อวิ๋นเยี่ยใช้เคล็ดวิชาทะยานร่างขึ้นไปรับหลิงจือไว้ในอ้อมแขนด้วยมือเดียว จิตสัมผัสของเขาแผ่เข้าไปในจุดตันเถียนของหลิงจือ จึงพบว่าเม็ดตันของหลิงจือแตกสลายแล้ว รากปราณก็ถูกดึงออกไปแล้วด้วย
สีหน้าของอวิ๋นเยี่ยดำทะมึนอย่างไม่รู้สาเหตุ เพลิงโทสะในอกเริ่มแผดเผาอย่างมิอาจควบคุมได้ เขากรีดโลหิตของเทพธิดาหนี่ว์วาในร่างตนเองออกมาหนึ่งหยดแล้วหยดลงไปกลางหว่างคิ้วของหลิงจือ หลังจากนั้นเขาก็วางหลิงจือลง ก่อนจะสะบัดกระบี่ฟาดฟันหญิงสาวผู้นั้นสุดกำลัง
หญิงสาวได้รากปราณของหลิงจือมาแล้ว ยามนี้สิ่งสำคัญที่สุดจึงมิใช่การปะทะกับอวิ๋นเยี่ย แต่เป็นการกลืนพลังของผานกู่ต้าตี้ ขอเพียงนางได้ครอบครองพลังนั้น ไม่ต้องพูดถึงอวิ๋นเยี่ยหนึ่งคน ต่อให้มีแปดคน สิบคนก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนาง
หญิงสาวไม่สู้ติดพัน นางใช้พลังปราณขวางกระบี่นี้ของอวิ๋นเยี่ย จากนั้นตั้งใจจะพากระจกปี้คงหนีไป
คิดไม่ถึงว่าวิชากระบี่ของอวิ๋นเยี่ยจะเป็นกระบวนท่าลวง ชั่วพริบตาที่นางตั้งรับกระบี่ หางอสรพิษของอวิ๋นเยี่ยกลับม้วนรัดร่างของนางเอาไว้ มือซ้ายทะลวงมาที่จุดตันเถียนของนางคว้ารากปราณของหลิงจือแล้วกระชากออกมาข้างนอกเต็มแรง!
ทว่าหญิงสาวมิโง่ หลังจากนางตระหนักถึงแผนการของอวิ๋นเยี่ย นางพลันกลายร่างเป็นร่างเดิมของตนเอง แล้วใช้หางอสรพิษแย่งรากปราณครึ่งหนึ่งกลับมา