ตอนพิเศษ 97-2 มาปลูกบุปผา ให้กำเนิดเจ้าตัวน้อยกันเถิด (4)
ผู้ฝึกตนทั่วไปหลังจากบรรลุขั้นประสานเม็ดตันจึงจะได้รับอายุขัยหลายร้อยหรือนับพันปี แต่ภูตน้ำเป็นภูตผีประเภทหนึ่ง มิจำเป็นต้องประสานเม็ดตันก็ครอบครองอายุขัยยาวนานอย่างยิ่งได้
ทว่าหากหยุดฝึกตนเมื่อใด พวกมันก็ไม่แตกต่างกับมนุษย์ธรรมดามากนัก
มิใช่ว่าหลิงจือไม่เข้าใจเหตุผล แต่หลิงจือกำลังมีเพลิงโทสะสุมอกอยู่
เหตุใดนางจึงต้องเป็นฝ่ายพบเจอเรื่องเลวร้าย เจ้าหมอนั่นก็เดินทางมาทางถนนเส้นนี้เหมือนกัน เหตุใดไม่เห็นพวกมันดักปล้นเขาเล่า
ภูตน้ำเหลือบตาล่อกแล่กมองหลิงจือ “ท่านเซียนหญิง…ท่านกำลังคิดสิ่งใดอยู่หรือ”
หลิงจือถามว่า “ข้าจะถามเจ้าว่าเมื่อครู่มีรถม้าคันหนึ่งวิ่งผ่านทางเส้นนี้มาหรือไม่ รถม้าที่ไม่มีสารถี แต่ม้าวิ่งไปเองน่ะ!”
ภูตน้ำผงกศีรษะราวกับตำกระเทียม “มี มีๆ ขอรับ! เขามุ่งไปทางด้านนั้น!”
“พวกเจ้าได้ดักปล้นเขาหรือไม่” หลิงจือถาม
“เอ่อ…” ภูตน้ำส่ายหน้า รถม้าคันนั้นวิ่งเร็วเกินไป เพียงพริบตาเดียวก็แล่นผ่านไปแล้ว พวกมันไล่ตามอยู่ตั้งนานก็ตามไม่ทันจึงล้มเลิก “ท่านเซียนหญิง…ต้องการตามหาเขาหรือขอรับ”
ดวงตาทรงเมล็ดซิ่งของหลิงจือเบิกถลน “ผู้ใดอยากตามหาเขา ข้าอยากจะสังหารเขาต่างหาก!”
ภูตน้ำเหลือบตาขึ้นมอง มันกวาดสายตาไปเห็นลำคอของหลิงจือ แต่เดิมไม่ทันสังเกต แต่ยามนี้เพ่งดูให้ดีจึงพบว่าบนนั้นมีร่องรอยน่าสงสัยอยู่เต็มไปหมด
เกรงว่านี่คงมิใช่อยากจะสังหารเพราะหนี้เลือด แต่เป็นอยากจะสังหารเพราะหนี้รักสินะ…
ภูตน้ำลูบปลายคาง ดวงตาของมันทอประกายวิบวับ บอกหลิงจือว่า “ท่านเซียนหญิง ข้าน้อยไร้ความสามารถ แต่ก็กระเสือกกระสนมีชีวิตอยู่ในโลกมนุษย์มาหลายร้อยปี เรื่องในโลกมนุษย์ ข้าน้อยรู้ดียิ่งกว่าท่านเซียนหญิงเสียอีก หัวใจของบุรุษ ข้าน้อยยิ่งล่วงรู้เป็นอย่างดี!”
หลิงจือหันไปมองมัน “เจ้าหมายความว่าอย่างไร”
ภูตน้ำหัวเราะอย่างเก้อเขิน “ขอเพียงท่านเซียนหญิงยอมปล่อยพวกข้า ข้าน้อยจะแนะนำเคล็ดลับให้ท่านเซียนหญิง ให้ท่านเซียนหญิงสั่งสอนบุรุษผู้นั้นให้หนักๆ!”
หลิงจือเริ่มสนใจ “สั่งสอนเช่นไร”
“พลังระดับท่านเซียนหญิงจะสังหารเขาคงเป็นเรื่องง่ายดุจดีดนิ้ว” ภูตน้ำยกยอปอปั้นหลิงจือก่อน หลังจากทำให้หลิงจือพอใจแล้ว มันจึงเปลี่ยนหัวข้อเรื่อง “แต่บทลงโทษที่ดีที่สุดสำหรับบุรุษผู้หนึ่งมิใช่การสังหารเขา แต่เป็นการทำให้เขาไม่อาจได้สิ่งที่ปรารถนา รักแต่มิอาจครอบครอง ได้แต่ใช้ชีวิตทุกๆ วันอย่างแค้นใจและเฝ้าคะนึงหา”
หลิงจือลูบปลายคาง “ฟังดูเหมือนจะไม่เลว”
ภูตน้ำตบหน้าอกบอกว่า “แน่นอนอยู่แล้ว! ข้าน้อยเฝ้ามองมนุษย์มานับไม่ถ้วน มีบุรุษสตรีที่คับแค้นจากรักเช่นไรบ้างที่ข้าไม่เคยพบเจอ ไม่มีภูตผีตนใดรู้จักบุรุษดีไปกว่าข้าน้อยแล้ว! ขอเพียงท่านเซียนหญิงทำตามสิ่งที่ข้าน้อยบอก จะต้องทำให้บุรุษผู้นั้นสำนึกเสียใจกับสิ่งที่ทำในอดีตอย่างแน่นอน!”
หลิงจือมองมันอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
ภูตน้ำคลี่ยิ้มพลางกวักมือให้หลิงจือ
หลิงจือเอียงหูไปหา ภูตน้ำจึงกระซิบบอกนางสองสามประโยค
หลิงจือขมวดคิ้ว “นี่ เรื่องนี้…ดูเหลือเชื่อเกินไปแล้วกระมัง จะสำเร็จจริงหรือ”
ภูตน้ำเหล่มองหลิงจือเชิงตำหนิ แล้วใช้พลังวิญญาณเสกกระจกวารีบานหนึ่งออกมายื่นไปตรงหน้าหลิงจือ “ท่านเซียนหญิงมิทราบว่าใบหน้าของตนเองงดงามเพียงใดสินะ”
หนึ่งเค่อหลังจากนั้นหลิงจือก็ทิ้งศิลาศักดิ์สิทธิ์ระดับสูงจากแดนกลางไว้ให้หนึ่งถุงแล้วจากไป
ภูตน้ำน้อยอีกตนหนึ่งเห็นเงาร่างของนางหายลับไปใต้แสงจันทร์แล้วจึงเดินเข้ามาหา “วิธีที่เจ้าว่าทำได้จริงหรือ”
ภูตน้ำตอบว่า “ทำได้ข้ายอมเปลี่ยนไปใช้แซ่เจ้าเลย”
ภูตน้ำน้อย “…”
…
จันทราอับแสง วาโยโหมแรง
รถม้าของอวิ๋นเยี่ยแล่นเข้ามาในเมืองเล็กอีกแห่งหนึ่ง เมืองเล็กแห่งนี้เจริญรุ่งเรืองกว่าเมืองแห่งก่อนเล็กน้อย ตกกลางคืนเสียงผู้คนดังครึกครื้น บรรยากาศคึกคักไม่ธรรมดา เขาจอดรถม้าไว้หน้าร้านแห่งหนึ่ง
หลิงจือวิ่งมาหนึ่งร้อยกว่าลี้ วิ่งจนสองขาแทบหักถึงไล่ตามเขาทัน
ต้องโทษที่แดนล่างแห่งนี้พลังปราณแร้นแค้น หากอยู่แดนกลางนางคงขี่กระบี่ไล่ตามทันอย่างสบายๆ ไปแล้ว หลิงจือเกาะกำแพงพลางหอบหายใจเข้าปอด
‘ก้าวแรก สร้างจังหวะบังเอิญพบแล้วดึงความสนใจของอีกฝ่าย ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าพวกท่านสองคนมีวาสนาต่อกันยิ่งนัก จำไว้ว่าอย่าให้เขาจับได้ว่าท่านจงใจเป็นอันขาด จะต้องเป็นธรรมชาติ ต้องเยือกเย็น ต้องสุขุม แล้วก็อย่าแสดงออกอย่างกระตือรือร้นเกินไป บุรุษล้วนเป็นพวกไม่เห็นค่าสิ่งในมือ ยิ่งท่านรุกรุนแรงเท่าใด เขายิ่งไม่ใส่ใจ’
เสียงของภูตน้ำผุดขึ้นมาในหัว หลิงจือฝืนทนความเหนื่อยล้าแทบสิ้นเรี่ยวแรงของตนเอง นางทุบขาที่ใกล้จะหักสองข้างนั้น ก่อนจะยืดเรือนร่างเล็กๆ ให้เหยียดตรง จับปอยผมที่ร่วงตกมาตรงพวงแก้มไปทัดหลังหูอย่างแผ่วเบา
หลังจากนั้นหลิงจือจึงเชิดหน้าอกผายไหล่ผึ่ง ใช้อาคมเสกพัดไม้จันทน์หอมของสตรีสูงศักดิ์ออกมาเล่มหนึ่ง นางสะบัดพัดพลางเดินเข้าไปในร้านอย่างเย่อหยิ่ง
คนในร้านต่างพากันหันมามองนาง ทุกคนต่างตาโตอ้าปากค้างเหมือนเห็นผี
ก่อนหน้านี้หลิงจือไม่รู้ว่าตนเองเป็นคนงาม วันนี้ถูกภูตน้ำเอ่ยทักจึงเพิ่งตระหนักว่ารูปโฉมของตนเองมีคุณสมบัติพอจะชำระหนี้แค้นแทนตนเองได้
คนกลุ่มนี้เหม่อมองนางคงเป็นเพราะตะลึงในรูปโฉมของนางสินะ
นางก็ว่าแล้ว ยาปลุกกำหนัดบ้าบออะไรมีฤทธิ์อยู่ได้ตลอดทั้งคืน เพราะลุ่มหลงรูปโฉมอันงดงามของนางมิใช่หรือถึงทรมานนางไม่หยุดหย่อน ทรมานจนนางสลบไปแล้วก็ยังทรมานนางต่อ!
หลิงจือเดินไปถึงหน้าโต๊ะคิดเงินด้วยท่าทางไม่แยแส
อวิ๋นเยี่ยยืนอยู่ที่นั่น ในโลกมนุษย์รูปโฉมของอวิ๋นเยี่ยเด่นสะดุดตาเกินไป เขาจึงสวมหมวกปีกกว้างใบหนึ่งเพื่อปิดบังใบหน้าครึ่งหนึ่งของตนเอง ทว่าคางคมสันกับริมฝีปากแดงสดยิ่งกว่าอิสตรีก็ยังคงดึงดูดสายตาของผู้คนไม่น้อย
หลิงจือคิดว่าหากมิใช่เพราะนิสัยของเขาน่ารังเกียจถึงเพียงนั้น บางทีนางอาจถือว่าช่วยเขาให้พ้นภัยสักหน ไม่คิดแค้นวางไม่ลงอะไรถึงขั้นนั้น
น่าเสียดาย…ยามนี้นางรู้สึกว่าตนเองถูกสุนัขกัด!
อวิ๋นเยี่ยสัมผัสได้ว่ามีสายตาไม่เป็นมิตรคู่หนึ่งจับจ้องอยู่ เขาหันกลับมาก็เห็นหลิงจือ “เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้เช่นไร”
“แน่นอนว่าเพราะ…”
จะสั่งสอนเจ้าน่ะสิ!
หลิงจือพูดได้ครึ่งหนึ่งก็สะบัดพัดแล้วคลี่ยิ้มอย่างสง่างาม “อ้อ บังเอิญเช่นนี้เชียว เจ้าก็อยู่ด้วยหรือ”
อวิ๋นเยี่ยมองสำรวจนางตั้งแต่หัวจรดเท้าเหมือนมองคนโง่คนหนึ่ง หลังจากนั้นเขาจึงหันหน้ากลับไปไม่มองนางอีก “ข้าแนะนำเจ้าว่าอย่าได้สะกดรอยตามข้าอีก”
หลิงจือหุบพัดดังฉับ “ผู้ใดสะกดรอยตามเจ้า ข้าต้องการกลับสำนักเชียนหลันแต่บังเอิญผ่านร้านแห่งนี้จึงเข้ามาซื้ออะไรสักหน่อยก็เท่านั้น!”
อวิ๋นเยี่ยเลิกคิ้ว “ของที่เจ้าใช้หรือ”
หลิงจือแอ่นหน้าอกอย่างหยิ่งทะนง “ข้าซื้อ ข้าย่อมเป็นคนใช้”
อวิ๋นเยี่ยเหยียดยิ้มหยัน สายตาเหลือบไปมองป้ายร้านด้านหลังของหลิงจือ
หลิงจือรู้สึกถึงสายตาไม่เป็นมิตรของเขา นางหันไปมองทางที่เขามองก็เห็นป้ายสีทองอร่ามเขียนตัวอักษรตัวโตตวัดลายเส้นพลิ้วไหวสามบรรทัด…
สุดยอดยาบำรุงกำลังรวมสมุนไพรสิบชนิด บำรุงไตเสริมธาตุหยาง ข่าวดีของเหล่าบุรุษ