ตอนพิเศษ 95-2 มาปลูกบุปผา ให้กำเนิดเจ้าตัวน้อยกันเถิด (2)
บุรุษผู้นั้นถูกผู้ฝึกตนรากปราณหลายธาตุสองคนพาเข้าไปในห้องห้องหนึ่ง
รากปราณหลายธาตุเช่นนี้ไม่เหมาะกับการฝึกตน สำนักที่มีชื่อเสียงอยู่บ้างล้วนไม่รับศิษย์เช่นนี้ แต่เมื่อเทียบกับยอดฝีมือทั่วไปในยุทธภพ พวกเขาเก่งกาจว่ามาก
แววตาของสองคนนี้ล้วนเหม่อลอยไร้แวว เห็นชัดว่าพวกเขาถูกฉินหลิงเอ๋อร์ควบคุมอยู่
ยอดฝีมือที่เก่งกาจที่สุดของแดนล่างต่างย้ายเข้าไปอยู่ที่แดนกลางหมดแล้ว ขอบขั้นสูงสุดที่เหลืออยู่ก็คือขั้นบรรลุญาณ พลังของฉินหลิงเอ๋อร์ตัวปลอมแทบจะมากพอให้สยบแดนล่างทั้งหมด
หลิงจือไม่มั่นใจพอจะสู้กับนาง แต่ดูจากสภาพที่พวกเขาลากบุรุษผู้นี้เข้าไปในห้อง ดูเหมือน ‘ฉินหลิงเอ๋อร์’ จะลักพาตัวบุรุษผู้นี้มา
ไม่นาน ‘ฉินหลิงเอ๋อร์’ ก็เข้ามาในห้อง ผู้ฝึกตนสองคนเดินออกไป พวกเขายืนเฝ้าอยู่หน้าประตูราวกับรูปสลักหินสองตัว
หลิงจือใช้เคล็ดวิชาอำพรางกายเดินผ่านหน้าทั้งสองคนไป นางอ้อมมาหลบใต้หน้าต่างแล้วดูดปลายนิ้ว ใช้ปลายนิ้วเปียกชื้นจิ้มแผ่นกระดาษหน้าต่างจนเป็นรู
หลิงจือรู้สึกว่าพลังของตนยังไม่สูงพอที่จะปิดบัง ‘ฉินหลิงเอ๋อร์’ ได้ แต่ฉินหลิงเอ๋อร์กลับจับสัมผัสนางไม่ได้ เรื่องนี้แปลกจริงๆ
หลิงจือรู้เหตุผลอย่างรวดเร็วอย่างยิ่ง
อวิ๋นเยี่ยนั่งพิงหัวเตียง ร่างกายกับใบหน้าถูกม่านมุ้งปิดบังไว้ มองเห็นแต่มืองดงามดุจหยกสลักข้างหนึ่งวางอยู่บนอาภรณ์สีขาวพิสุทธิ์ไร้มลทิน ขาสองข้างของเขาเหยียดตรงเรียวยาว แม้จะมีอาภรณ์หุ้มอยู่แต่ก็ยังมองเห็นลายเส้นกล้ามเนื้ออันทรงพลัง
หลิงจือกลืนน้ำลายลงคอ
สตรีนางนั้นใช้เคล็ดวิชา จู่ๆ บนโต๊ะก็มีสุราเลิศรสไหหนึ่งปรากฏขึ้นมา ‘ฉินหลิงเอ๋อร์’ รินสุราหนึ่งจอกส่งให้อวิ๋นเยี่ย “นี่เป็นสุราที่ข้าหมักเองกับมือยามอยู่ที่ตำหนักเทพเสวี่ยซาน ข้าเก็บมันไว้ในเตาหลอมเฉียนคุนมาตลอด ยังมิเคยนำออกมาลิ้มรส วันนี้ได้อยู่กับอาเยี่ย ฤกษ์งามยามดีทิวทัศน์งดงาม ไม่เมาไม่เลิกรา”
ตำหนักเทพเสวี่ยซานหรือ หลิงจือขมวดคิ้วอย่างแปลกใจ หลังจากนางเข้าไปในแดนเทพก็ไม่เคยย่างเท้าออกจากถ้ำสักก้าว นางย่อมไม่รู้จักว่าตำหนักเทพเสวี่ยซานคือที่ใด แต่ฟังจากคำเรียกขานบุรุษผู้นี้ของ ‘ฉินหลิงเอ๋อร์’ เขาสองคนดูเหมือนจะคุ้นเคยกันอย่างยิ่ง!
อวิ๋นเยี่ยไม่รับ
สตรีนางนั้นถือจอกสุราคลี่ยิ้มอ่อนหวาน “เป็นอะไรไปอาเยี่ย ไม่อยากดื่มสุราที่พี่เสวี่ยรินให้เจ้าหรือ”
อวิ๋นเยี่ยถูกนางใช้อาคมสะกดไว้ พลังอาคมจึงมลายหายสิ้น แม้แต่พูดก็ยังแทบจะไม่เหลือเรี่ยวแรงเช่นวันวาน “เจ้าไม่ใช่เสวี่ยหลันอี”
แววตาของหญิงสาววูบไหวเล็กน้อย บอกว่า “ข้านี่แหละเสวี่ยหลันอี ข้าคือเสวี่ยหลันอีตัวจริง ก่อนหน้านี้ข้าบาดเจ็บหนักหนีออกมาจากแดนเทพ ร่วงหล่นไปยังแดนปีศาจกลายเป็นจอมปีศาจกระจอกๆ ตนหนึ่ง ต่อมาเผชิญมหาอัสนีวิบากล้มเหลวจึงกลับชาติมาเกิดในร่างนี้”
หลิงจือขมวดคิ้วเป็นปมยิ่งกว่าเดิม ฉินหลิงเอ๋อร์คือจอมปีศาจหรือ
อวิ๋นเยี่ยเงยดวงตานิ่งสงบทั้งสองข้างขึ้นมาอย่างเชื่องช้า “ผู้ที่กลับชาติมาเกิดคือเสวี่ยหลันอี มิใช่เจ้า”
สีหน้าของหญิงสาวบึ้งตึงทันควัน
คำพูดของอวิ๋นเยี่ยเสมือนหนึ่งคมดาบทิ่มทะลุหัวใจของนางอย่างแรง “เจ้าเป็นเพียงจิตมารของนาง เจ้าไม่มีวันกลายเป็นเสวี่ยหลันอีตัวจริงได้”
หญิงสาวบีบจอกในมือจนแตกละเอียด!
อวิ๋นเยี่ยหนังตาไม่กระตุกสักนิด
หญิงสาวหัวเราะเยาะหยัน “ใช่ ต่อให้ข้ามิใช่นางแล้วอย่างไร รอข้าสยบหกดินแดนได้แล้ว ผู้ใดยังจะจดจำเสวี่ยหลันอีได้อีก”
อวิ๋นเยี่ยมองนาง แล้วเอ่ยอย่างเวทนา “จะไม่มีผู้ใดจดจำเจ้าเช่นกัน”
หญิงสาวกำหมัดสีหน้าเย็นชา ปราณมารรอบตัวเคลื่อนไหวอย่างรุนแรง ยากจะกดเอาไว้อีก
หลิงจือถูกปราณมารอันแข็งแกร่งสายนี้ทิ่มแทงจนเกือบจะเผยร่องรอย
แต่แล้วหญิงสาวก็ข่มเพลิงโทสะในใจไว้ได้ นางยื่นมืองามดุจต้นหอมข้างหนึ่งมาบีบปลายคางของอวิ๋นเยี่ย แล้วเอ่ยเหมือนขบขัน “คนที่ตายไปแล้วเหล่านั้นย่อมไม่มีวันจดจำข้าได้ แต่มิเป็นไร เจ้าจดจำได้ก็พอแล้ว”
“เจ้าไม่สังหารข้าหรือ” อวิ๋นเยี่ยถาม
หญิงสาวยิ้มงดงาม ปลายนิ้วไล้ผ่านใบหน้าหล่อเหลาขาวผ่องของอวิ๋นเยี่ย ดวงตาค่อยๆ ฉาบย้อมด้วยความปรารถนาจางๆ “เหตุใดข้าต้องสังหารเจ้าเล่า เจ้าเป็นทายาทของเทพธิดาหนี่ว์วา รอข้าสยบหกดินแดนได้แล้ว ข้าหวังให้เจ้าสร้างหกดินแดนให้ข้าใหม่อีกหนอยู่”
อวิ๋นเยี่ยเบ้หน้าหลบมือนาง เขาไม่แสดงสีหน้าอันใดทั้งสิ้น “เจ้าหวังมากเกินไปแล้ว ข้าไม่มีความสามารถมากถึงเพียงนั้นหรอก”
มือของหญิงสาวจับใบหน้าหล่อเหลาของเขาอีกหน “เจ้ามีแน่ รอข้าดูดซับพลังปราณของเจ้าพวกนั้นมาแล้ว ข้าจะแบ่งให้เจ้าครึ่งหนึ่ง”
อวิ๋นเยี่ยตอบด้วยสีหน้าสงบนิ่ง “ถ้าเช่นนั้นก็รอเจ้าดูดมาแล้วค่อยว่ากันเถิด”
หญิงสาวมองสีหน้าเฉยชาของเขา แล้วยิ้มอย่างมีเลศนัย “เป็นอันใด รังเกียจข้าหรือ”
“เจ้าคิดมากไปแล้ว”
“ถ้าเช่นนั้นก็รังเกียจที่ข้าเป็นจิตมารหรือไร”
“ข้ามิเคยพูดเช่นนั้น”
หญิงสาวเชยปลายคางของอวิ๋นเยี่ยขึ้นมา ส่วนมืออีกข้างหนึ่งป้อนจอกสุรามาถึงริมฝีปากของอวิ๋นเยี่ย “ในเมื่อมิรังเกียจ ถ้าเช่นนั้นมิสู้…ดื่มสุราจอกนี้เสียดีหรือไม่”
อวิ๋นเยี่ยพูดว่า “ข้ามิดื่มสุรา”
“หรือจะบอกว่า…เจ้ายินดีจะยอมข้าทั้งแบบนี้เล่า” หญิงสาวช้อนดวงตาทรงเสน่ห์ขึ้นมอง มือเรียวลากลงไปที่หน้าท้องของอวิ๋นเยี่ยอย่างเชื่องช้า
ร่างของอวิ๋นเยี่ยแข็งทื่อในทันใด
หญิงสาวชักมือกลับ แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเฉยเมย “ดื่มเสียเถิด”
อวิ๋นเยี่ยเผยอริมฝีปากสีแดงนุ่มนิ่มออกเล็กน้อย มือของหญิงสาวป้อนสุราผสมยาปลุกกำหนัดฤทธิ์แรงจอกนั้นลงไปในท้องเขาหลายอึก
หญิงสาวเลิกคิ้วอย่างพึงพอใจ มือเรียวคลายออก จอกสุราร่วงลงบนพื้นพรมนุ่มนิ่ม
ยาปลุกกำหนัดนี่มีฤทธิ์รุนแรงอย่างยิ่ง แทบจะทันทีที่ลงไปในท้อง ภายในร่างของอวิ๋นเยี่ยก็ราวกับจะลุกเป็นไฟ แต่ใบหน้าของอวิ๋นเยี่ยกลับไม่แสดงอาการผิดปกติแม้แต่น้อย
หญิงสาวเป็นจิตมาร นางต้องเผชิญกับหายนะที่ผู้ฝึกตนมารทุกตนปรารถนาจะหลีกเลี่ยงสุดชีวิตเป็นระยะ สิ่งนั้นก็คือการถูกความเป็นมารครอบงำ หลังจากผ่านช่วงเวลามายาวนานนางก็ได้ทดลองสารพัดวิธีเพื่อควบคุมอาการถูกความเป็นมารครอบงำ หนหนึ่งนางบังเอิญได้สูบกินพลังชีวิตของเทพเป่ยไห่ผ่านน้ำกำหนัด ทันใดนั้นอาการมารครอบงำก็หยุดลง
หลังจากนั้นนางจึงสูบกินทุกร้อยปี เดิมทียังเหลืออีกยี่สิบปีกว่าจะครบรอบร้อยปี แต่การออกมาจากแดนเทพหนนี้ผลาญปราณมารไปมากเหลือเกินจึงทำให้นางอาการกำเริบก่อนเวลา
โลกมนุษย์มีบุรุษมากมาย เพียงแต่ว่านางเป็นกึ่งมารกึ่งเทพ บุรุษในโลกมนุษย์ไหนเลยจะมีพลังมากพอให้นางเก็บเกี่ยวมาใช้
ริมฝีปากของอวิ๋นเยี่ยเริ่มมีสีแดงเข้มแผ่ลามไปทั่ว
ปลายนิ้วของหญิงสาวบดขยี้ริมฝีปากสีแดงสดของเขา “เจ้าวางใจเถิด ข้าจะทำให้เจ้าสัมผัสความสุขที่ไม่เคยพานพบมาก่อน”
“เดี๋ยว!” อวิ๋นเยี่ยคว้ามือของนางไว้ แล้วเอ่ยอย่างข่มกลั้น “เจ้าไปอาบน้ำก่อน! ข้ามิชอบสตรีมีกลิ่นเหงื่อ!”
บนร่างของกึ่งมารกึ่งเทพย่อมไม่มีกลิ่นแปลกอันใด แต่วันนี้นางร่วงตกลงไปในบึงน้ำมาจริงๆ อวิ๋นเยี่ยเป็นคนรักสะอาด เรื่องนี้นางรู้ดี
อวิ๋นเยี่ยเป็นทายาทของเทพธิดาหนี่ว์วา พลังชีวิตของเขามีพลังมากว่าของเทพเป่ยไห่ร้อยเท่า หากเขาหลั่งน้ำกำหนัดออกมาพรมร่างนางสักหน นางคงจะอาการไม่กำเริบไปอีกสักพันปี
เมื่อคิดเช่นนี้ หญิงสาวก็รู้สึกว่ายอมเขาสักหน่อยไม่ใช่ว่าจะไม่ได้ นางก้มตัวลงมาจุมพิตมุมปากของอวิ๋นเยี่ยแล้วบอกว่า “ได้ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”
ถังอาบน้ำของโรงเตี๊ยมรองรับร่างจริงของหญิงสาวมิได้ นางจึงใช้เคล็ดวิชาเดินทางไปยังบ่อน้ำแร่แห่งหนึ่งบนภูเขาห่างออกไปสิบกว่าลี้
หน้าต่างของโรงเตี๊ยมถูกเปิดออกในเวลานี้เอง
หลิงจือมองบุรุษผู้รูปงามจนสวรรค์แค้นเคืองที่กำลังหอบหนักหน่วงอยู่ตรงหน้าอย่างอึ้งๆ “เรื่องนั้น…ข้า…ข้ามิตั้งใจจะแอบฟังนะ…ข้า…ว้ายยย!”
นางยังเอ่ยไม่ทันจบ อวิ๋นเยี่ยก็เอื้อมมือข้างหนึ่งมากระชากนางเข้าไปในห้อง