ตอนพิเศษ 95-1 มาปลูกบุปผา ให้กำเนิดเจ้าตัวน้อยกันเถิด (2)
หลิงจือตื่นขึ้นมาก็ได้ยินเสียงเครื่องดนตรีบรรเลงดังอื้ออึง แม้จะมีข่ายอาคมปกป้องอยู่ แต่การร่วงจากแดนเทพมาจนถึงแดนล่างก็ยังทำให้บาดเจ็บจนถึงเส้นเอ็นกระดูกอยู่ดี นางขยับร่างกายที่เจ็บร้าว ลุกขึ้นนั่งอย่างเชื่องช้า ศีรษะเจ็บปวดมึนตึ้บทำให้นางต้องยกมือขึ้นมานวดหน้าผากเบาๆ
แกรก!
ประตูเปิดออก สายลมพัดกลิ่นหอมแปลกๆ เข้ามา เสียงเครื่องดนตรีที่บรรเลงคลออยู่ดังขึ้นเป็นเท่าตัวในพริบตา
หลิงจือลืมตามองไปที่ประตูอย่างประหลาดใจ นางเห็นสาวใช้อายุน้อยสวมกระโปรงคาดเอวสีชมพูกุหลาบนางหนึ่งยิ้มแย้มแจ่มใสเดินเข้ามา นางปิดประตูแล้วเดินมาที่เตียง ก่อนจะทักทายเหมือนคุ้นเคยกันมานานว่า “แม่นางตื่นแล้วหรือ รู้สึกเป็นเช่นไรบ้าง ไม่สบายตรงที่ใดหรือไม่ ต้องการให้ยวนยางเรียกท่านหมอสักคนมาหรือไม่”
หลิงจือมองนางแต่จับสัมผัสพลังปราณจากบนร่างนางไม่ได้แม้แต่น้อย หากนี่มิใช่มนุษย์ธรรมดาที่ไม่มีรากปราณสักคนก็ต้องเป็นผู้ฝึกตนที่ขั้นพลังสูงกว่านางมากกว่าหนึ่งขั้น
หลิงจือรั้งสายตากลับมามองตนเองจากนั้นจึงหันไปสำรวจห้องแห่งนี้
ที่แห่งนี้เป็นห้องที่หลิงจือรู้สึกไม่คุ้นตาอย่างยิ่งแห่งหนึ่ง หลิงจือเป็นผู้ฝึกตน สถานที่อาศัยล้วนเรียบง่ายกว้างขวาง ไหนเลยจะเหมือนห้องแห่งนี้ที่ทั้งโต๊ะ เก้าอี้ ตู้และเตียงต่างงดงามหรูหราจนเหลือจะพรรณนา
ไม่ว่าม่านมุ้งหรือผ้าปูผ้าห่มล้วนเป็นสีชมพูอ่อนทั้งหมด อาภรณ์ของหลิงจือก็เป็นสีแดงสดงามหยดย้อย หลิงจือใช้ชีวิตอยู่มานานถึงเพียงนี้ยังไม่เคยเห็นสีสันที่สดจัดจ้านเช่นนี้มาก่อนเลย
สาวใช้อายุน้อยเริ่มแรกก็รู้สึกว่าอาภรณ์ชุดนี้สีสดจัดจ้านดูไร้ความสง่างามเกินไป แต่ไม่รู้ว่าอย่างไรหลังจากหลิงจือลุกขึ้นมานั่งบนเตียง ความคิดที่ว่าไร้ความสง่างามอะไรนั่นก็ไม่เหลืออยู่อีก ทั่วทั้งห้องประหนึ่งอาบด้วยไอเซียน!
สาวใช้น้อยตกตะลึงนิ่งอึ้ง
หนนี้ท่านแม่เล้าได้กำไรแล้ว ได้กำไรแล้วจริงๆ!
แม่นางรูปงามเช่นนี้จะต้องเป็นดาวเด่นแห่งหอร้อยบุปผาอย่างแน่นอน นางจะต้องทำให้หอร้อยบุปผาเป็นหอคณิกาอันดับหนึ่งชื่อเสียงเลื่องลือในเมืองหลวงอย่างสมภาคภูมิแน่!
หลิงจือค้นพบว่าที่นี่ไม่มีพลังปราณแม้แต่น้อย นางจึงแน่ใจแล้วว่าแม่นางผู้นี้คงไม่ใช่ผู้ฝึกตนที่พลังสูงกว่านาง ที่แห่งนี้คงเป็นโลกมนุษย์จริงๆ
“ที่นี่คือโลกมนุษย์หรือ” หลิงจือถาม
สาวใช้ตัวน้อยงุนงง โลกมนุษย์หมายความว่าอย่างไร แม่นางผู้นี้คงไม่ได้ล้มหัวกระแทกจนเสียสติใช่หรือไม่ แต่ก็อาจจะเป็นเช่นนั้น ตอนพ่อค้าทาสส่งนางมา หลังศีรษะของนางมีแผลอยู่!
หลิงจือเคยอยู่ในโลกมนุษย์มาก่อน ไม่นานนางจึงตระหนักได้ว่าคำพูดของตนเองฟังดูแปลกพิกล นางจึงคลี่ยิ้มแล้วเปลี่ยนเป็นถามว่า “ข้าหมายถึงข้าอยากถามว่า ที่นี่คือเมืองอะไร”
“อ้อ” สาวใช้ตัวน้อยทำหน้าเข้าใจแล้วพยักหน้าตอบว่า “ที่นี่คือลั่วหยาง”
หลิงจือพึมพำเสียงเบา “ลั่วหยางหรือ ที่นี่คือโลกมนุษย์จริงๆ ด้วยสินะ แปลกแล้ว ข้าอยู่ที่แดนเทพมิใช่หรือ เหตุไฉนจึงกลับมาที่โลกมนุษย์ได้ หรือว่าข้าจะตายแล้ว…กลับชาติมาเกิดใหม่”
“แม่นาง เจ้าพูดอะไรนะ” สาวใช้ตัวน้อยได้ยินไม่ค่อยถนัด
หลิงจือลงจากเตียงเดินมาหน้ากระจกทองเหลืองแล้วมองดูใบหน้าของตนเอง “ไม่เปลี่ยนนี่นา”
สาวใช้ตัวน้อยมองนางอย่างไม่เข้าใจ “แม่นาง เจ้า…เจ้าเป็นอะไรไป”
หลิงจือตอบว่า “ข้ากำลังคิดอยู่ว่าข้ามาที่นี่ได้อย่างไร”
สาวใช้ตัวน้อยอึกอักไม่กล้าตอบ
หลิงจือนึกย้อนดูก็จำได้รางๆ ว่าตนเองถูก ‘ฉินหลิงเอ๋อร์’ ไล่ล่า หลังจากนั้นนางจึงใช้ไข่มุกเคลื่อนย้าย หรือว่าไข่มุกเคลื่อนย้ายส่งนางกลับมาที่แดนมนุษย์
นางเหมือนจะร่วงตกลงมาจากท้องฟ้า ชนกับใครคนหนึ่ง หลังจากนั้นก็หมดสติไป
หลิงจือมองดูตนเอง “อาภรณ์ชุดนี้เจ้าช่วยเปลี่ยนให้ข้าหรือ เจ้าช่วยข้าไว้หรือ”
สาวใช้ตัวน้อยท่าทางเหมือนยังงงๆ “อ๋า”
หลิงจือตบหัวไหล่ของนาง “ขอบใจเจ้ามาก หากมีวาสนาคงได้พบกันอีก”
แม่นางผู้นี้กำลังพูดอะไรกันแน่
ไม่รอให้สาวใช้ตัวน้อยขบคิดเรื่องราวให้กระจ่าง แม่นางอาภรณ์สีแดงเบื้องหน้าก็หายตัวไปราวกับเล่นกล!
ตรงจุดที่นางเคยยืนอยู่มีเงินตำลึงทองกองพะเนินทิ้งเอาไว้ มากพอจะซื้อหอคณิกาแห่งนี้ทั้งหอ
สาวใช้ตัวน้อยตกตะลึงนิ่งอึ้ง
…
แดนมนุษย์พลังปราณเบาบาง ยังดีที่หลิงจือมีรากปราณผสม นางจึงดูดซับพลังจากดวงตะวันจันทราแปรเปลี่ยนมาเป็นพลังปราณที่ตนเองต้องการได้ ทำให้นึกถึงสมัยก่อนที่นางเคยต้องใช้พลังปราณอันเบาบางเหล่านี้เลี้ยงมังกรน้อยตัวแสบตัวนั้น
ไม่ได้พบหน้ามังกรน้อยตัวแสบมาสองเดือนแล้ว จู่ๆ ก็คิดถึงนางอย่างยิ่ง
หลิงจือถอนหายใจอย่างเศร้าสร้อย
ลั่วหยางกำลังอยู่ในฤดูเหมันต์ บนหลังคาบ้านเรือนมีหิมะทับถมหนาเตอะ เชิงชายของหลังคามีแท่งน้ำแข็งแวววาวห้อยย้อย
บนถนนใหญ่ผู้คนคลาคล่ำเสียงดังอื้ออึง ร้านรวงเปิดประตูกว้าง ถนนปูด้วยหินเขียวมีรถม้าแล่นต่อกันเป็นสาย คนเดินเท้าเดินเบียดไหล่แทบจะเหยียบเท้ากัน เป็นภาพอันรุ่งเรืองมีชีวิตชีวายิ่งนัก
สภาพของหลิงจือในตอนนี้โดดเด่นจากผู้คนมากเกินไปเล็กน้อย เมื่อรวมกับอาภารณ์สีแดงสดตัวนั้น นางก็เด่นสะดุดตาเหลือจะพรรณนา ท้องถนนอันงดงามราวกับถูกจุดให้สว่างไสวเพราะนางเพียงคนเดียว
ผู้คนที่สัญจรไปมาเหลือบมองนางเป็นระยะ
บรรยากาศรอบตัวนางดูเงียบสงบมากเกินไปจนทำให้ผู้คนกล้าเพียงมองชื่นชม แต่ไม่เกิดความคิดอยากล่วงเกินสักนิด
ถนนเส้นนี้ เดินสบายนักเชียว
หิมะห่าใหญ่โปรยปรายลงมาจากท้องนภาไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใด เหล่าคนเดินเท้าต่างเร่งฝีเท้า ท้องถนนหนาวเย็นขึ้นมาก หลิงจือเดินอยู่บนถนนใหญ่ไม่คุ้นตาพลางขบคิดว่าจะกลับไปแดนกลางได้อย่างไร ฉินหลิงเอ๋อร์ถูกยึดร่างไปแล้ว นางต้องรีบแจ้งเรื่องนี้กับสำนักเชียนหลันให้เร็วที่สุดจึงจะถูก
ขณะที่กำลังขบคิด รถม้าคันใหญ่คันหนึ่งก็แล่นมาทางด้านนี้
เวลานี้ผู้คนบนท้องถนนบางตาลงมากแล้ว เมื่อรถม้าคันนี้แล่นผ่านมาจึงสะดุดตาเป็นอย่างยิ่ง ทว่าสิ่งที่ทำให้หลิงจือสังเกตเห็นมันไม่ใช่เพราะตัวรถม้า แต่เพราะพลังปราณที่แผ่ออกมาจากในตัวรถ
นี่เป็นพลังปราณที่นางคุ้นเคย…
ฉินหลิงเอ๋อร์!
นางก็ร่วงมาที่โลกมนุษย์ด้วยหรือ!
หลิงจือรีบเก็บซ่อนพลังปราณแล้วเดินเข้าไปในโรงเตี๊ยมที่อยู่ด้านข้าง
หลิงจือกังวลว่าอีกฝ่ายจะจับพลังปราณของตนเองได้ นางรีบกำกริชในแขนเสื้อ โชคดีที่รถม้าไม่หยุดจอด มันแล่นผ่านโรงเตี๊ยมไปราวกับรอบข้างไม่มีใคร
“แม่นาง เจ้าจะพักหรือไม่” ลูกจ้างของโรงเตี๊ยมเดินเข้ามาต้อนรับอย่างมีไมตรี
“ข้าไม่พัก” หลิงจือตอบกลับเรียบๆ นางโผล่ศีรษะออกไปมองรถม้าแล่นหายไปในราตรี
แต่เดิมหลิงจือคิดว่าหลังจากแน่ใจว่ารถม้าไปแล้ว นางจะคิดหาวิธีกลับไปสำนักเชียนหลัน ทว่าผ้าม่านด้านหลังรถม้ากลับถูกสายลมหนาวพัดเปิดจนหลิงจือเห็นใบหน้าหล่อเหลาซีดเผือดดวงนั้น
สมองของหลิงจือเหมือนมีเสียงระเบิดบึ้มดังกังวาน
ประเดี๋ยวก่อนนะ นั่นไม่ใช่บุรุษที่ตนเองร่วงลงมาใส่จนสลบไปหรอกหรือ
เหตุใดเขามาอยู่ที่นี่ได้ แล้วยังนั่งอยู่บนรถม้าของฉินหลิงเอ๋อร์อีก
หลิงจือรู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกๆ หลังจากชั่งน้ำหนักครู่หนึ่งนางจึงลอบติดตามไปอย่างเงียบเชียบ ขาของหลิงจือไม่กะเผลกแล้ว “ร่วงตกลงมากระแทก ดันกระแทกกลับเข้าที่เสียได้” หลิงจือหัวเราะเยาะตนเอง รอจนกระทั่งรถม้าจอดตรงลานน้อยที่แยกออกมาส่วนตัวของโรงเตี๊ยมหลังหนึ่ง นางก็กระโดดข้ามกำแพงเข้าไปอย่างเงียบเชียบ