ตอนพิเศษ 94-2 มาปลูกบุปผา ให้กำเนิดเจ้าตัวน้อยกันเถิด (1)
หูซื่อไห่เล่าเรื่องที่พบให้จีเสี่ยวซิวฟังอย่างเห็นภาพ “…พวกเราเดินทางไปตามสถานที่ซึ่งกระจกปี้คงฉายให้ดูแล้วก็ค้นพบถ้ำแห่งนั้น แต่เมื่อพวกเราไปถึงถ้ำแห่งนั้น คนด้านในถ้ำก็หายไปแล้ว บนกองไฟยังมีกระต่ายย่างอยู่ พวกเราเดาว่าแม่นางหลิงจืออาจยังไปไม่ไกล พวกเราจึงรีบเร่งออกตามหานาง แต่ระหว่างทางกลับมีหญิงสาวร่างมนุษย์หางอสรพิษนางหนึ่งเข้ามาโจมตีพวกเราจนสลบ ไห่คงจื่อประมือกับนางสองกระบวนท่าจนถูกนางทำร้ายบาดเจ็บหนัก ส่วนกระจกปี้คง…กระจกปี้คงก็ถูกนางชิงไป…”
“สตรีที่มีร่างเป็นมนุษย์แต่มีหางอสรพิษเช่นนั้นหรือ” จีหมิงซิวกลับคืนร่างเดิมแล้วพึมพำ “หรือว่าจะเป็นเสวี่ยหลันอี”
เมื่อนึกอะไรขึ้นมาได้ หูซื่อไห่ก็พูดขึ้นมาอีกว่า “จริงสิ มีเรื่องหนึ่งลืมบอกท่านเทพมาตลอด”
“เรื่องใดหรือ” หมิงซิวถาม
หูซื่อไห่เหลือบมองต้าจ้วงที่กำลังนั่งหน้าบวมจมูกเขียวน้ำตาซึมอยู่ตรงมุมกำแพงประหนึ่งแม่นางน้อย แล้วกระแอมเบาๆ “พวกเราเคยไปเยือนสถานที่แห่งนี้มาก่อน หนก่อนที่คุณชายรองถูกองครักษ์เทพของหอคอยผนึกปีศาจไล่ล่า เขาเคยกระโดดลงไปในป่าหมอก ยามนั้นพวกเราแยกย้ายตามหาเขา ต้าจ้วงกับไห่คงจื่อแยกไปทางหนึ่ง ไห่คงจื่อเคยบอกว่าเขาเห็นคุณชายรองสองคน”
หมิงซิวตอบว่า “เรื่องนี้เจ้าเคยพูดกับข้าแล้ว”
“ท่านเทพทราบแล้วหรือ” หูซื่อไห่ถาม
จีเสี่ยวซิวครุ่นคิดครู่หนึ่งก็ผงกศีรษะหงึกหงักถามว่า “สตรีที่เจ้าพบวันนี้หน้าตาเป็นเช่นไร”
“เรื่องนี้…” หูซื่อไห่รู้สึกว่าหากตนได้พบนางอีกครั้ง เขาน่าจะจำนางได้ แต่หากให้เขานึกหน้าตาของนางอย่างละเอียดในสมอง เขากลับนึกไม่ออก
ในตอนนี้เององครักษ์มังกรที่ไปสอดส่องสถานการณ์ก็กลับมา “เรียนท่านจอมมาร ทางเชื่อมของแดนเทพถูกเปิดออกจริงๆ มีคนสามคนออกไปผ่านทางเชื่อม หนึ่งในนั้นคือคุณชายรองแห่งตำหนักเมฆา”
“อีกสองคนเล่า ใช่พวกนางหรือไม่” หมิงซิวใช้อาคมวาดภาพหลิงจือกับเสวี่ยหลันอีแบบเต็มตัวออกมา
เฉียวเวยเวยเหาะเข้ามาหา นางเห็นหญิงสาวในภาพมายาก็รีบตะโกนเรียก “หลิงจือ หลิงจือ!”
องครักษ์มังกรตอบว่า “มีนางอยู่ด้วยขอรับ”
เขาหมายถึงหลิงจือ
หลังจากนั้นสายตาขององครักษ์มังกรก็หันไปจับจ้องบนร่างของเสวี่ยหลันอีผู้มีร่างมนุษย์กับหางอสรพิษ “ใบหน้ามิใช่เช่นนี้ขอรับ”
สมองของชิงสุ่ยเจินเหรินฉับพลันนึกอะไรขึ้นมาได้ เขาใช้อาคมลบใบหน้าของเสวี่ยหลันอีออกแล้วเปลี่ยนเป็นใบหน้าของเด็กสาวรากปราณสวรรค์
องครักษ์มังกรกับหูซื่อไห่ตอบออกมาเป็นเสียงเดียวกัน “ใช่แล้ว นางผู้นี้ขอรับ!”
ผู้เปิดทางเชื่อมคือจิตมาร หลิงจือกับอวิ๋นเยี่ยย่อมไม่มีทางเป็นจิตมาร ครั้งแรกที่ชิงสุ่ยเจินเหรินพบฉินหลิงเอ๋อร์ ในร่างนางมีทั้งปราณปีศาจและปราณมาร แต่เพราะมีร่างหยินบริสุทธิ์ นางจึงฝืนเก็บลมหายใจเฮือกหนึ่งเอาไว้ได้ ต่อมาชิงสุ่ยเจินเหรินกำจัดปราณปีศาจกับปราณมารของนาง แล้วปลูกรากปราณให้ หวังว่านางจะรักษาชีวิตน้อยๆ ชีวิตนี้เอาไว้ได้
หากบอกว่านางร่วงหล่นสู่วิถีมารหรือปีศาจอีกหน ชิงสุ่ยเจินเหรินอาจเชื่อ แต่จิตมาร…
เผ่ามารที่แท้จริงไม่มีจิตมาร พวกเขาเป็นมารตั้งแต่แรก ยังจะมีจิตมารอีกตนหนึ่งแยกออกมาอีกได้อย่างไร พวกเขามีแต่จะถูกความเป็นมารเข้าครอบงำจนสูญเสียสติสัมปชัญญะหลงลืมตัวตน สุดท้ายก็สังหารผู้คนและจบชีวิตอันน่าเวทนาของตนด้วยการถูกสังหาร
ปราณปีศาจในร่างฉินหลิงเอ๋อร์เข้มข้นกว่าปราณมาร หากเทียบกันแล้วนางน่าจะกลายเป็นปีศาจเร็วกว่าถูกความเป็นมารครอบงำ
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่” ชิงสุ่ยเจินเหรินไม่เข้าใจ
ท่านจอมมารเปรยขึ้นมาเรียบๆ “นางคงถูกจิตมารแย่งชิงร่างไปแล้ว”
จิตมารจับตัวหลิงจือกับอวิ๋นเยี่ยแล้วชิงกระจกปี้คงไป หลิงจือมีรากปราณผสมที่ยากจะหาพบในรอบหลายหมื่นปี นางดูดซับพลังปราณและพลังทั้งมวลในหกดินแดนได้ทั้งสิ้น ขอเพียงได้รากปราณของหลิงจือไป จิตมารก็จะดูดซับพลังของผานกู่ที่ถูกผนึกอยู่ในกระจกปี้คงได้
จิตมารคิดจะใช้พลังของผานกู่ทำลายหกดินแดนให้ย่อยยับ แล้วใช้พลังของเทพธิดาหนี่ว์วาของอวิ๋นเยี่ยสร้างเผ่าพันธุ์และโลกของตนเองขึ้นมา
…
หลังจากจิตมารชิงร่างของเด็กสาวรากปราณสวรรค์ได้แล้ว มันก็ฟื้นพลังขึ้นมาได้มากกว่าครึ่งอย่างรวดเร็ว นางเปิดทางเชื่อมของแดนเทพ ก่อนจะใช้ปราณเทพกางข่ายอาคมหุ้มร่างกายของทั้งสามคนแล้วพุ่งเข้าไปในทางเชื่อมอย่างเร็วไว
ด้านล่างของทางเชื่อมคือแดนเซียนที่มีปราณเซียนลอยเวียนวน ยอดเซียนเสกสรรค์ผลงานที่ราวกับเทพดลบันดาลชิ้นสุดท้ายสำเร็จแล้ว เขาวางกระเบื้องแก้วชิ้นสุดท้ายปิดลงบนหลังคาตำหนักเซียน
ยามนี้ตำหนักเซียนที่ถูกทำลายกลับมางามวิจิตรเหมือนเดิมแล้ว
ยอดเซียนมองตำหนักเซียนโฉมใหม่ของตนเองอย่างอิ่มเอมใจ เขาล้วงกระจกส่งสารออกมาแล้วส่งข่าวไปบอกเทพธิดาปี้สยา ‘ตำหนักเซียนสร้างเสร็จแล้ว ทว่าช่างว่างเปล่าเป็นเท่าทวี หากเทพธิดามีเวลาว่าง มอบต้นกุ้ยฮวาจันทราให้ข้าสักสองต้นจะได้หรือไม่’
แล้วพวกเรามาปลูกบุปผา ให้กำเนิดเจ้าตัวน้อยกันเถิด!
ประโยคสุดท้ายหน้าไม่อายเกินไป ยอดเซียนจึงกระแอมเบาๆ แล้วลบมันทิ้งอย่างเด็ดขาด
ในตอนที่ยอดเซียนรอคอยการตอบกลับจากเทพธิดาปี้สยาอย่างสุขใจนั่นเอง ท้องนภาพลันเกิดเสียงดังสนั่น แสงสีดำสลับทองสายหนึ่งพุ่งลงมา บึ้ม! บึ้ม! มันถล่มตำหนักเซียนที่ยอดเซียนวางอิฐแต่ละก้อน วางกระเบื้องแต่ละแผ่นตามแบบที่เทพธิดาปี้สยาชอบอย่างยากลำบากกลายเป็นเศษซากอย่างไม่เกรงใจแม้แต่น้อย!
เพลิงพิโรธของยอดเซียนลุกโชติช่วงทันที “เจ้าหน้าไม่อายตัวเหม็นคนไหนนนน”
บึ้ม!
ลำแสงสีทองระเบิดใส่ตัวเขา
ร่างเฟิ่งหวงของเขาลุกพรึ่บติดไฟขึ้นมาทันที เวลาเพียงพริบตาเดียว เฟิ่งหวงสีทองผู้สง่างามองอาจก็หายไป เหลือไว้เพียงวิหคเซียนน้อยที่ถูกเผาจนเกรียมตัวหนึ่ง
วิหคเซียนน้อยไม่เหลือแม้แต่ขนจะพองอีกต่อไป มันทำได้แต่ตีปีกที่ถูกย่างจนหอมฉุยสองข้างดังพรึ่บพรั่บแล้วกระโดดไปมาอยู่กับที่ พลางคำรามอย่างเกรี้ยวกราด “จิ๊บ!”
…
ดวงแสงสีทองที่แผ่ปราณสีดำออกมาดวงนั้นยังไม่หยุดเพราะเหตุการณ์นี้ มันหล่นลงมาพังตำหนักเซียนของยอดเซียนจนย่อยยับ สร้างหลุมขนาดใหญ่บนดินแดนเซียน หลังจากนั้นก็พุ่งลัดท้องฟ้าของแดนกลางราวกับดาวตก
วันนี้เป็นงานฉลองการแต่งตั้งรองหัวหน้าสหพันธ์คนใหม่ของสหพันธ์แห่งแดนกลาง ทุกสำนักในแดนกลางต่างตอบรับคำเชิญมายังสหพันธ์แห่งแดนกลาง
รองหัวหน้าสหพันธ์คนเก่าถูกทุกสำนักร่วมกันลงนามปลดออกจากตำแหน่ง รองหัวหน้าสหพันธ์คนใหม่ก็คือสวี่หย่งชิงเจ้าสำนักเชียนหลันผู้มีพลังระดับครึ่งเซียน
หากกล่าวถึงพลัง เจ้าสำนักสวี่มิใช่คนที่เก่งกาจที่สุด ทว่าหากกล่าวถึงผู้สนับสนุนเบื้องหลัง ไม่มีผู้ใดเหนือกว่าเขาแล้ว
เจ้าสำนักได้เป็นรองหัวหน้าสหพันธ์ ทุกคนในสำนักเชียนหลันก็รู้สึกเหมือนได้หน้าไปด้วย พวกเขาแต่งตัวอย่างพิถีพิถัน เดินทางไปเป็นสักขีพยานในงานอันทรงเกียรติหนนี้ของสำนักเชียนหลัน
ประมุขเหลยมาถึงนานแล้ว ระหว่างที่รอเขาก็หยิบหวีเล่มหนึ่งออกมาหวีเส้นผมยาวสลวยที่กลับมางอกดกดำอีกครั้ง เขาหวีเรือนผมอันงดงามมาได้ครึ่งหนึ่ง ทันใดนั้นเองแสงเจิดจ้าสายหนึ่งก็พุ่งผ่านเหนือศีรษะของเขา มันรวดเร็วจนน่าเหลือเชื่อ อากาศถูกเสียดสีเป็นสะเก็ดไฟ
ประมุขเหลยรู้สึกร้อนวาบที่ศีรษะ เมื่อเรียกสติกลับมาได้ เรือนผมยาวสลวยดกดำของเขาก็กลายเป็นแอ่งทะเลล้านเตียนอีกแล้ว…
แสงสีทองสายนั้นยังร่วงหล่นลงไปต่อ หลังจากมันทะลวงแดนกลางจนทะลุ มันก็หล่นร่วงไปยังแดนล่าง ร่วงตกเข้าไปในหุบเขาแห่งหนึ่ง ภายในหุบเขามีพืชพันธุ์ขึ้นรกครึ้ม ดวงแสงแตกกระจาย ปล่อยให้คนสามคนร่วงตุ้บลงมา
แรงปะทะหนนี้หนักหนาเกินไปแล้ว แม้แต่จิตมารเองก็ยังทนไม่ไหวสลบไป
อวิ๋นเยี่ยกับหลิงจือย่อมไม่ต้องพูดถึง พวกเขาหมดสติอยู่ตลอดเวลา
จิตมารหล่นลงไปในพงหญ้า กระจกปี้คงกลิ้งร่วงออกมา
หลิงจือร่วงลงมาในอ้อมแขนของอวิ๋นเยี่ย
สายลมยามราตรีพัดผะแผ่ว
เด็กน้อยคนเลี้ยงวัวคนหนึ่งเดินผ่านที่แห่งนี้ เขายืนนิ่งจ้องหางท่อนล่างของอวิ๋นเยี่ยอยู่ครู่ใหญ่ สุดท้ายก็เก็บกระจกบนพื้นแล้วเดินโง่งมจากไป