ตอนพิเศษ 94-1 มาปลูกบุปผา ให้กำเนิดเจ้าตัวน้อยกันเถิด (1)
หมิงซิวน่าจะเป็นเทพโบราณองค์แรกที่ถูกปืนใหญ่ยิงปลิวขึ้นไปบนท้องฟ้า
เสียงดังสนั่นเรียกให้เกือบทุกคนที่อยู่บนเกาะมังกรหันมามอง พวกเขาไม่ทราบว่าจอมมารยิงปืนใหญ่ใส่ผู้อื่น พวกเขาเพียงรู้สึกว่าภาพประหลาดเหนือท้องนภาช่างน่ามอง เปลวเพลิงสีทองกับสีแดงกระหวัดเกี่ยวราวกับมังกรเพลิงนับร้อยพันพ่นเปลวไฟพร้อมกัน ชั่วพริบตาที่เปลวเพลิงระเบิดแลคล้ายดอกกุหลาบหลากสีสัน เหมือนเฟิ่งหวงพ่นแสงห้าสี พวกเขาใช้ชีวิตมาเนิ่นนานไม่เคยเห็นภาพที่งดงามตระการตาเช่นนี้ที่เผ่ามังกรมาก่อน
มังกรเทพทั้งหลายที่เกิดและโตที่นี่ไม่เคยเห็นดอกไม้ไฟบนโลกมนุษย์ กลับเป็นพวกที่บรรลุเป็นเทพเดินทางขึ้นมาจากโลกเบื้องล่างเหล่านั้นที่เคยเห็น ยิ่งตำแหน่งต่ำเท่าใดก็ยิ่งเคยอยู่ในโลกมนุษย์มากเท่านั้น พวกเขาจึงคุยโม้เรื่อง ‘ดอกไม้ไฟ’ เต็มท้องฟ้าได้อยู่บ้าง
“ทุกปีช่วงเทศกาลไม่ว่าจะเป็นเทศกาลชีซี วันสิ้นปี วันขึ้นปีใหม่ โลกมนุษย์ก็จะยิงเจ้าสิ่งนี้ขึ้นฟ้า มันงดงามมากจริงๆ !”
มังกรเทพที่เคยฝึกตนบนโลกมนุษย์ตัวหนึ่งพูดขึ้นมาอย่างภาคภูมิใจ
ความจริงเขาเคยเห็นกับตาตนเองเสียที่ไหนเล่า คูเมืองที่ปกป้องเมืองแคบเสียขนาดนั้น อย่าว่าแต่ซ่อนมังกรตัวหนึ่งเลย ซ่อนงูสักตัวก็แทบจะไม่พอแล้ว เรื่องจริงมีอยู่ว่าเขาเก็บนิยายของพวกมนุษย์ได้ในหุบเขาลึก นิยายเล่มนั้นมีถ้อยคำพรรณนาและภาพวาดประกอบที่ยอดเยี่ยมอย่างยิ่ง มันบรรยายความรุ่งเรืองครึกครื้นของเมืองหลวงไว้อย่างละเอียด แต่น่าเสียดายที่มังกรเทพฝูงนี้ไม่เคยเห็นแม้แต่นิยายด้วยซ้ำ
‘เปลวเพลิง’ สายนี้ช่างงดงาม มันงดงามจนมังกรเทพทั้งหลายเริ่มอิจฉาผู้ที่ได้เห็นทิวทัศน์ในโลกมนุษย์ ก่อนหน้านี้ยามปีศาจน้อยในมหาสมุทรบอกว่ามีผู้ที่ยินยอมละทิ้งกระดูกเซียน ทำลายกายเทพ พวกเขาล้วนแค่นเสียงเยาะหยัน ทว่าตอนนี้พวกเขาดูเหมือนจะเริ่มเชื่อแล้ว
แม้แต่หิมะที่โปรยปรายลงมาจากท้องฟ้าก็หยุดตก บนท้องนภางดงามประหนึ่งดอกไม้ไฟบนโลกมนุษย์
แน่นอนว่าดอกไม้ไฟนี้มีสิ่งที่ต้องจ่าย
ยามหมิงซิวถูกยิงขึ้นไปบนท้องนภา เขายังมีสภาพเป็นมนุษย์อยู่ แต่ยามร่วงตกลงมาบนพื้นเขากลับกลายเป็นถ่านดำปี๋ก้อนหนึ่ง กลายเป็นก้อนถ่านเสี่ยวซิวหน้าตาอัปลักษณ์
ก้อนถ่านเสี่ยวซิวร่วงต๋อมลงไปในทะเล
น้ำทะเลส่งเสียงดังชี่ๆ แล้วมีควันบางๆ ลอยขึ้นมา
หนึ่งเค่อหลังจากนั้นก้อนถ่านเสี่ยวซิวผู้ตัวเปียกมะล่อกมะแล่กก็พาร่างกายที่มีควันสีดำลอยโชยเดินกะโผลกกะเผลกขึ้นมาบนฝั่ง ไอควันสีดำลอยออกมาจากปากของเขา…
“อาเจิง งามหรือไม่” ท่านจอมมารถามถึง ‘ดอกไม้ไฟ’ บนท้องฟ้า
ชิงสุ่ยเจินเหรินมองเมฆหลากสีบนท้องนภาที่เริ่มจางหาย แล้วตอบเหมือนยังไม่หนำใจ “งาม งามกว่าที่ข้าจินตนาการไว้เสียอีก”
ท่านจอมมารหยิบปืนใหญ่ทลายนภาออกมาอีกหน “เอาอีกสักนัดดีหรือไม่”
ก้อนถ่านเสี่ยวซิวที่เดินกลับมาถึงตำหนักบรรทมอย่างยากลำบาก “…”
รู้จักจบจักสิ้นกันบ้างหรือไม่ รู้จักหรือไม่!
แน่นอนว่าสุดท้ายปืนใหญ่ทลายนภานัดนี้ก็ไม่ถูกยิงออกมา เพราะเกาะกลางทะเลของเผ่ามังกรจู่ๆ ก็เริ่มสั่นไหว ทะเลรอบด้านเกิดคลื่นยักษ์โหมรุนแรงรอบทิศ คลื่นยักษ์เหล่านั้นพาพลังอันน่าหวาดหวั่นมาด้วย มันฉีกมิติจนบิดเบี้ยวไปหมด
หนก่อนที่เกิดปรากฏการณ์ประหลาดเช่นนี้ก็คือเมื่อสองเดือนก่อน ท่านจอมมารกำลังฝึกตนอยู่ในน้ำพุมังกร ทันใดนั้นศิลายักษ์บนยอดเขาก็กลิ้งโครมครามลงมา นางคิดว่ามีผู้ใดโจมตีเผ่ามังกร จึงตั้งใจจะออกไปรับศึกด้านนอก ทว่าทันใดนั้นชิงสุ่ยเจินเหรินก็ร่วงลงมาจากฟ้า หล่นตู้มลงมาในน้ำพุมังกรของนาง
คนที่หัวใจคะนึงหาสองร้อยปีปรากฏตัวมาอยู่ตรงหน้านางเช่นนั้น นางคิดว่าตนเองตาฝาดเสียอีก จนกระทั่งได้กดคนผู้นั้นไว้ใต้ร่างย่ำยีให้สาแก่ใจหนึ่งยก กินหัวกินท้ายกินกลางตลอดตัวจนเรียบ ได้ยินเสียงครวญครางกับลมหายใจหอบที่เปล่งออกมาเพราะรับความสุขสมไม่ไหวของเขา นางจึงแน่ใจว่าเขาเดินทางมาอยู่ข้างกายนางแล้วจริงๆ
หรือว่าหนนี้มีผู้ใดจะข้ามมาอีก
จีเสี่ยวซิวหลับตา แผ่จิตสัมผัสของตราพญาเทพออกไป “…มีคนเปิดทางเชื่อมแดนเทพแล้ว”
จอมมารหลับตาลงจับสัมผัสบ้าง “มีปราณมาร”
“มีหรือ” ชิงสุ่ยเจินเหรินจับสัมผัสไม่ได้
เขาเป็นดอกบัวน้ำแข็งหกดินแดน ตามหลักแล้วเขาย่อมจับสัมผัสพลังปราณได้ว่องไวอย่างยิ่ง ใต้หล้านี้มีปราณมารของมารชนิดเดียวที่หลบรอดสัมผัสของเขาได้
“จิตมาร” ท่านจอมมารลืมตา นางมองไปยังทิศทางที่ปราณมารแผ่ออกมาแล้วเอ่ยขึ้นเสียงราบเรียบ
“เหตุไฉนจึงมีจิตมารโผล่มาอีกตนหนึ่งเล่า” ใบหน้าหล่อเหลาของชิงสุ่ยเจินเหรินฉายแววฉงนงงงวย “จิตมารของจอมเทพตายแล้ว จิตมารที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ตนที่สองมาจากไหน คนที่เปิดทางเชื่อมคือจิตมารหรือ”
ท่านจอมมารตอบว่า “ใช่แล้ว ฝีมือจิตมาร”
จิตมารที่เปิดทางเชื่อมแดนเทพได้ย่อมไม่ใช่จิตมารธรรมดาอย่างแน่นอน พลังของมันอาจเหนือกว่าจิตมารของจอมเทพ
ท่านจอมมารเรียกองครักษ์มังกรพิทักษ์ราชามา “ไปดูซิว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น”
“ขอรับ!” องครักษ์มังกรกลายร่างเป็นมังกรเหาะล่องเมฆาฝ่าม่านหมอกไปทางด้านนั้น เขาเพิ่งไปได้ไม่นานนัก หนีฉางก็เร่งรีบเดินทางมาที่เกาะอย่างร้อนรน
ก่อนหน้านี้ตอนศึกคูเมืองสวรรค์ นางถูกพญาดอกบัวทองคำทุบตีจนพลังแต่ซ่าน ต่อมาหมิงซิวใช้พลังของตราพญาเทพฟื้นพลังของนางกลับมาครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งหนึ่งที่เหลือให้นางเลือกเองว่าจะฟื้นพลังด้วยตนเองซึ่งคงต้องใช้เวลายาวนาน หรือจะรอให้หมิงซิวจัดการเรื่องราวทั้งหลายเสร็จแล้วช่วยฟื้นพลังให้นาง
นางเลือกประการหลังอย่างชาญฉลาด
ด้วยเหตุนี้ตอนหมิงซิวมอบยันต์ส่งสารให้นาง แม้นางจะไม่พอใจแต่ก็ยังมุ่งหน้าไปที่ตำหนักเมฆาอย่างไม่หยุดพัก แต่เดิมนางคิดจะไปรวมตัวกับอวิ๋นเยี่ย แต่เมื่อนางก้าวเข้าไปในตำหนักกลับไม่เห็นเงาของอวิ๋นเยี่ยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามนางกลับพบคราบเลือดสองกองที่เกือบจะแห้งแล้วบนพื้นกับหยกพกของอวิ๋นเยี่ยอีกชิ้นหนึ่ง
หยกพกชิ้นนี้เป็นสิ่งที่จอมเทพมอบให้เจ้าตำหนักเมฆา แล้วเจ้าตำหนักเมฆาก็มอบต่อให้อวิ๋นเยี่ย
อวิ๋นเยี่ยมองมันเป็นสมบัติล้ำค่ามาตลอด เขาพกมันไว้ไม่เคยห่างกาย
ชั่วพริบตาที่หนีฉางเห็นเลือดกับหยกพก นางก็รู้ทันทีว่าท่าจะไม่ดีแล้ว นางจึงไม่ใช้ยันต์ส่งสารแต่นำหยกพกมาให้หมิงซิวด้วยตัวเอง ทว่านางมองหาอยู่นานก็ไม่เห็นท่านเทพ นางถามอย่างประหลาดใจ “เอ๋ ท่านเทพเล่า ไหนว่ากลับมาที่เกาะมังกร”
“ข้าอยู่ตรงนี้”
จีเสี่ยวซิวเชิดหน้าแอ่นอก สองมือไพล่อยู่ด้านหลังร่าง ตอบด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
หนีฉางมองเจ้าไข่น้อยตัวดำปี๋ที่จู่ๆ โผล่มาจากความว่างเปล่าด้านข้าง ชั่วพริบตานั้นนางรู้สึกเหมือนมีอีกาฝูงหนึ่งบินผ่านหัวตนเองไป…
ไม่นานหูซื่อไห่กับต้าจ้วงที่แบกไห่คงจื่อไว้บนหลังก็รีบร้อนเดินทางมาที่เกาะ
พลังปราณของทั้งสามคนปั่นป่วนอยู่เล็กน้อย หูซื่อไห่กับต้าจ้วงได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย แต่พวกเขารักษาตนเองแล้ว ทว่าไห่คงจื่อบาดเจ็บค่อนข้างหนัก พวกเขารักษาเขาไม่ได้จึงพาเขากลับมาให้ท่านเทพช่วยคิดหาวิธี
แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาประหลาดใจก็คือเหตุไฉนท่านเทพกลับไปเป็นเด็กน้อยอีกแล้ว แล้วยังกลายเป็นเจ้าไข่น้อยตัวดำปิ๊ดปี๋อีกด้วย!
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น” เจ้าไข่น้อยตัวดำถามสีหน้าเคร่งขรึม
หูซื่อไห่ห้ามตนเองในใจ ช่วงเวลาเร่งด่วนเช่นนี้ เขาจะหัวเราะไม่ได้เด็ดขาด!
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า…” แต่ต้าจ้วงกลับหัวเราะออกมาดังลั่น
หูซื่อไห่ “…”
ชายฉกรรจ์ร่างใหญ่จึงถูกซ้อมจนสภาพอเนจอนาถยิ่งนัก