ตอนพิเศษ 93-1 ท่านเทพเป็นอันธพาล จับได้คาหนังคาเขา
เด็กสาวรากปราณสวรรค์ออกไปจากถ้ำนานแล้วก็ยังไม่กลับมาเสียที หลิงจือรอแล้วรอเล่า ในที่สุดก็รอต่อไปไม่ไหว จึงตัดสินใจออกไปดู
ก่อนหน้านี้หลิงจือไม่ชอบขี้หน้าเด็กสาวรากปราณสวรรค์ แต่ช่วงที่นางบาดเจ็บหนัก เด็กสาวรากปราณสวรรค์กลับพยายามดูแลนางอย่างสุดความสามารรถ แล้วยังชำระล้างปราณปีศาจในร่างของตนเองเปลี่ยนเป็นพลังปราณมาให้นางอีก หากบอกว่านางไม่ซาบซึ้งก็คงจะโกหกแล้ว
ฉินหลิงเอ๋อร์คนนั้น เป็นคนหยิ่งยโสไม่เห็นหัวใครในสายตรา ทั่วพสุธาทั้งใต้หล้ามีเพียงนางเลิศล้ำอยู่ผู้เดียว คบหาด้วยแล้วชวนให้คนเกลียดชังเสียเหลือเกิน แต่ความจริงแล้วหากจะบอกว่านางเคยทำเรื่องเลวร้ายอันใดหรือไม่ ก็ไม่เคย
หลิงจือรู้ว่าตัวนางยังไม่ชอบฉินหลิงเอ๋อร์อยู่เหมือนเดิม แต่นางข่มความเป็นห่วงที่มีต่อฉินหลิงเอ๋อร์ไม่ได้ นางไม่ต้องการให้ฉินหลิงเอ๋อร์เป็นอันใดไป นี่ช่างเป็นมิตรภาพของสหายร่วมสำนักที่ซับซ้อนและน่าพิศวงจริงๆ
ถ้ำใหญ่โตมาก ขาขวาของหลิงจือก็เคลื่อนไหวได้ไม่ดีนัก นางเดินโขยกเขยกอยู่พักใหญ่กว่าจะเดินมาถึงปากถ้ำ นางมองเห็นร่างสีขาวประดับสีเหลืองนวลอยู่ไกลๆ ด้านล่างคือหางอสรพิษสีเขียวงดงามเส้นหนึ่ง
ทั้งที่ตอนเพิ่งลืมตาตื่น นางถูกหางอสรพิษเส้นนี้ทำเอาตกใจกลัวแทบตายแท้ๆ ยามนี้เพิ่งจะผ่านไปไม่นานเท่าใด นางกลับคิดว่ามันงดงามเสียแล้ว หลิงจือแค่นเสียงออกมาทางจมูก นี่ตนเองผีเข้าแล้วหรือไร
“ฉินหลิงเอ๋อร์!”
หลิงจืออ้าปากเรียกนาง แม้ดูจากอายุกับช่วงเวลาที่เข้าสำนักแล้ว นางสมควรเรียกฉินหลิงเอ๋อร์ว่าศิษย์พี่ แต่นางไม่เคยเรียกเช่นนั้น
อีกฝ่ายได้ยินเสียงของนางก็หันกลับมาอย่างแช่มช้า แล้วคลี่รอยยิ้มอ่อนโยนสนิทสนมให้นาง
หลิงจือตัวสั่นสะท้าน
นางไม่ได้ตาลายใช่หรือไม่ ฉินหลิงเอ๋อร์ยิ้มให้นางหรือ
ใบหน้ายังคงเป็นใบหน้าเดิม หางอสรพิษก็ยังเป็นหางอสรพิษเส้นเดิม แต่เหตุไฉนจึง…ดูแปลกประหลาดยิ่งนัก
หลิงจือมองสำรวจอีกฝ่ายตั้งแต่หัวจรดเท้า
อีกฝ่ายสะบัดหางอสรพิษเลื้อยมาหานาง ท่วงท่าการสะบัดหางนั่นงดงามเย้ายวนแฝงความเอาแต่ใจ แตกต่างจากท่าทางเย็นชาเป็นก้อนน้ำแข็งตลอดเวลาราวกับผู้คนในหกดินแดนต่างติดเงินนางของฉินหลิงเอ๋อร์ราวฟ้ากับเหว!
กระดิ่งเตือนภัยในใจของหลิงจือกรีดร้องดังลั่น “เจ้าไม่ใช่ฉินหลิงเอ๋อร์!”
อีกฝ่ายชะงักกึก มุมปากยกโค้งอย่างชั่วร้าย “รู้ตัวแล้วหรือ”
คนผู้นี้กลายร่างเป็นฉินหลิงเอ๋อร์ คงไม่ใช่ว่าอีกฝ่ายยึดร่างของฉินหลิงเอ๋อร์มาได้แล้วหรอกนะ สภาพของหลิงจือในยามนี้ แม้แต่ฉินหลิงเอ๋อร์ นางก็สู้ไม่ชนะ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเทพที่ยึดร่างของฉินหลิงเอ๋อร์เลย!
หลิงจือขว้างไข่มุกเคลื่อนย้ายเม็ดหนึ่งออกไป
นี่ไม่ใช่ไข่มุกเคลื่อนย้ายธรรมดา แต่เป็นอาวุธเซียนชิ้นหนึ่งที่ชิงสุ่ยเจินเหรินมอบให้นางตอนเขาตามหาเฉียวเวยเวยพบ นางต้องสำเร็จขั้นบรรลุญาณก่อนจึงจะใช้ได้ ยามนี้นางไม่รู้ว่าตนเองพลังอยู่ขั้นใดแล้ว จำได้ว่าก่อนมาแดนเทพนางเพิ่งประสานเม็ดตันได้อย่างหวุดหวิด ทว่านางได้พลังของฉินหลิงเอ๋อร์บำรุงมานานถึงเพียงนี้ จะมากจะน้อย จะมากจะน้อยก็คงก้าวหน้าบ้างกระมัง
นางหลับตา พลังปราณที่เหลือน้อยนิดไม่เท่าไรในร่างไหลพรวดเข้าไปในไข่มุกเคลื่อนย้ายจนหมด
สตรีนางนั้นเห็นนางกำลังจะหนีจึงรีบกางข่ายอาคมชั้นหนึ่งรอบกายนาง แต่น่าเสียดายที่สายไปก้าวหนึ่ง ไข่มุกเคลื่อนย้ายทำงานแล้ว หลิงจือหายตัวไป
สตรีนางนั้นเก็บข่ายอาคม พลางจับจ้องท้องนภาเหนือศีรษะแล้วยิ้มหยัน “คิดว่าจะหนีพ้นหรือ ในร่างเจ้ามีพลังปราณที่ ‘ข้า’ ถ่ายทอดให้เจ้าอยู่ การตามหาเจ้าไยมิใช่ง่ายดายดุจพลิกฝ่ามือ”
กล่าวจบ สตรีนางนี้ก็ยกแขนขึ้นมองร่างกายร่างใหม่ของตนเอง “เข้ากันได้ดีจริงๆ เสวี่ยหลันอีเจ้าว่าใช่หรือไม่”
ตอนที่พวกไห่คงจื่อตามหาถ้ำพบ ภายในถ้ำก็ไม่มีหลิงจือหรือผู้ใดอยู่อีกแล้ว
หูซื่อไห่มองกระต่ายป่าที่ถูกย่างอยู่เหนือกองไฟจนมันไหลเยิ้ม “กระต่ายยังย่างอยู่เลย ผลไม้ก็เพิ่งเด็ดมาใหม่ๆ ด้วย แล้วคนเล่า ไปที่ใดแล้ว”
…
หลังจากกวาดทรัพย์สมบัติที่ตำหนักเทพเป่ยไห่เสร็จ หมิงซิวกับอวิ๋นเยี่ยก็ออกจากตำหนักเทพเป่ยไห่ทันที หมิงซิวออกเดินทางไปดินแดนเนรเทศเพื่อไปรับผู้คนตำหนักเมฆาที่ต้องโทษทัณฑ์กลับมายังแดนกลาง อวิ๋นเยี่ยไม่ได้ร่วมเดินทางไปกับเขา แต่เดินทางไปยังที่ตั้งเดิมของตำหนักเมฆา
ที่แห่งนี้ถูกปล่อยทิ้งร้างมาสองหมื่นปี มันว่างเปล่าไม่มีผู้ใดอยู่มานานแล้ว สภาพจึงเละเทะจนดูไม่ได้ ท่ามกลางเศษซากปรักหักพังอวิ๋นเยี่ยพบพัดเล่มหนึ่งที่อวิ๋นซิวเคยใช้ อาคมบนพัดสลายไปแล้ว อวิ๋นเยี่ยหยิบมันขึ้นมาได้เพียงอึดใจเดียว มันก็สลายเป็นขี้เถ้าราวกับถูกเผา แหลกสลายไปอย่างเงียบเชียบ
‘พี่ใหญ่ ข้าให้ท่าน! ขอให้ชีวิตทุกปีของท่านเหมือนเช่นวันนี้ ขอให้ทุกวันคืนเป็นเช่นตอนนี้ตลอดไป!’
‘อาเยี่ยวาดภาพบนพัดเองหรือ พี่ใหญ่จะเก็บไว้อย่างดีแน่นอน’
ขอบตาของอวิ๋นเยี่ยขัดเคืองขึ้นมาทันใด บางสิ่งที่ร้อนผะผ่าวเอ่อล้นขึ้นมาตรงขอบตาของเขาก่อนจะร่วงพรูลงมาอย่างมิอาจห้าม
ชั่วพริบตาที่น้ำตาร้อนผ่าวไหลริน ท้องนภาสีครามเหนือศีรษะก็พลันมีลำแสงสีขาวสว่างวาบ วัตถุปริศนาบางอย่างร่วงลงมาอย่างรวดเร็ว แล้วหล่นโครมลงบนศีรษะของอวิ๋นเยี่ยอย่างจัง
ร่างของอวิ๋นเยี่ยสะดุ้งเฮือก เขายังไม่ทันเข้าใจว่าเกิดสิ่งใดขึ้น เบื้องหน้าก็มืดดับ ฟุบลงไปกองกับพื้น
ศีรษะของหลิงจือเองก็กระแทกเข้ากับม้านั่งหินด้านข้าง นางยังไม่ทันทำอะไรก็สลบกองอยู่บนร่างอวิ๋นเยี่ยอย่างงดงาม
เมื่อสตรีนางนั้นไล่ตามพลังปราณของหลิงจือมาถึงที่ตั้งเก่าของตำหนักเมฆา นางก็เห็นหลิงจือกับคุณชายรองแห่งตำหนักเมฆา
สตรีนางนั้นย่อตัวลง ปลายนิ้วขาวผ่องดุจต้นหอมเขี่ยเรือนผมที่หล่นลงมาปรกหน้าของอวิ๋นเยี่ย ก่อนจะคลี่ยิ้ม “วันนี้ข้าโชคดีเกินไปหน่อยหรือไม่ แม้แต่คุณชายรองแห่งตำหนักเมฆาก็ถูกข้าเก็บมาได้เหมือนกัน”
…
กล่าวถึงหมิงซิวหลังจากแยกกับอวิ๋นเยี่ยแล้ว เขาก็ออกเดินทางไปยังดินแดนเนรเทศที่อยู่ทางฝั่งตะวันตกของแดนเทพ ด้วยพลังของเขา แม้อยู่ห่างไกลสุดหล้าฟ้าเขียวก็ห่างเพียงชั่วเอื้อมแขน ทว่าสิ่งที่เดินทางไวยิ่งกว่าเขาก็คือข่าวเกี่ยวกับจอมเทพกับจิตมาร
เมื่อข่าวเรื่องตำหนักเมฆาถูกใส่ร้ายรวมไปถึงเรื่องที่เจ้าตำหนักเมฆาได้กลับมาครองศาลเทพสวรรค์อีกหนแพร่ไปทั่วดินแดนเนรเทศ ขุนนางเทพเหล่านั้นก็รู้ว่าผู้คนของตำหนักเมฆาตั้งแต่บนจรดล่างล้วนรอดแล้ว
ศาลเทพสวรรค์แห่งนี้แต่เดิมก็เป็นสิ่งที่เทพธิดาหนี่ว์วาสร้างขึ้นมา ต่อมานางมุ่งมั่นกับการฝึกตน และต้องการสงบใจพิทักษ์ตราพญาเทพ จึงมอบศาลเทพสวรรค์ให้ผู้อื่น แล้วตั้งตำแหน่งจอมเทพขึ้นมาปกครองแดนเทพ
ความสัมพันธ์ระหว่างจอมเทพแต่ละรุ่นกับตำหนักเมฆาสนิทสนมแน่นแฟ้นอย่างยิ่ง หากไม่ใช่เพราะจอมเทพรุ่นนี้เกิดจิตมารขึ้นมา เขาก็คงดีต่อเจ้าตำหนักเมฆากับอวิ๋นเยี่ยอย่างยิ่งเช่นกัน หากท่านผู้เฒ่าในปรโลกล่วงรู้ เขาเองก็คงยินดีส่งมอบศาลเทพสวรรค์ให้แก่ทายาทของเทพธิดาหนี่ว์วาเหมือนกัน
หมิงซิวมาถึงแดนเนรเทศภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งจิบถ้วยชา แต่เขากลับไม่เห็นญาติร่วมสายเลือดกับบ่าวรับใช้ของตำหนักเมฆาสักคน
“เรียนท่านเทพ” ขุนนางเทพผู้ดูแลดินแดนเนรเทศองค์หนึ่งเดินเข้ามาหาพร้อมกับใบหน้ายิ้มแย้ม เขาประสานมือคำนับอย่างนอบน้อมแล้วบอกว่า “ข้าน้อยส่งคนของตำหนักเมฆากลับไปยังศาลเทพสวรรค์แล้วขอรับ รอพวกเขาลบชื่อออกจากบัญชีนักโทษก็เดินทางกลับตำหนักเมฆาได้”
“ไฉนเจ้ามิรีบแจ้งแต่เนิ่นๆ” ทำเขาเดินทางเสียเที่ยวหนึ่งหน
ก็ ก็ ก็…ก็ไม่ใช่เพราะต้องการจะให้ท่านประหลาดใจหรือไร ขืนรอท่านเดินทางมารับตัวคนแล้ว เช่นนั้นก็ช้าเกินไปแล้วสิ อีกอย่างท่านไปปล้นบ้านของเทพเป่ยไห่มามิใช่หรือ ผู้ใดจะคิดว่าท่านจะปล้นเสร็จเร็วเพียงนี้กันเล่า
ขุนนางเทพบ่นก็ส่วนบ่น ตัวเขาเข้าใจดีว่าตนเองลงมือช้าไป หากรู้ก่อนว่าท่านเทพจะเดินทางมาเร็วถึงเพียงนี้ เขาก็คงเร่งส่งคนไปถึงศาลเทพสวรรค์ก่อนท่านเทพปล้นตำหนักเทพเป่ยไห่เสร็จแล้ว ท่านเทพจะได้มิต้องเดินทางมาเสียเที่ยวเปล่าเที่ยวหนึ่ง
“ข้าน้อยทำงานมิรอบคอบเอง ขอท่านเทพโปรดลงโทษ” ขุนนางเทพก้มศีรษะ เอ่ยอย่างหวาดหวั่น
ใบหน้าหล่อเหลาของหมิงซิวมิปรากฏสีหน้าอย่างใด สายตาเฉยเมยกวาดมองที่อยู่อาศัยของคนตำหนักเมฆา “ช่วงเวลาที่ผ่านมาพวกเขาอยู่กันดีหรือไม่”
ขุนนางเทพรีบตอบว่า “ดีขอรับๆ! ข้าน้อยสาบานต่อท่านเทพว่าไม่เคยมีการทารุณคนของตำหนักเมฆาคนใดอย่างแน่นอน!”
ที่แห่งนี้มีพายุทรายตลอดทั้งปี ปราณเทพก็ขาดแคลน เหล่าผู้ฝึกตนเทพทั้งหลายอยู่ที่นี่ก็เหมือนกับอยู่บนที่ราบสูงในโลกมนุษย์ที่มีอากาศน้อย ย่อมรู้สึกอึดอัดไม่สบายอย่างยากจะเลี่ยง แต่นี่มิใช่เพราะขุนนางเทพเจตนากลั่นแกล้ง
เมื่อเทียบกับอวิ๋นเยี่ยที่ถูกขังอยู่ในหอคอยผนึกปีศาจ ผู้คนในตำหนักเมฆาทั้งหลายโชคดีกว่ามากนัก
หมิงซิวมิใช่ผู้ฝึกตนแห่งตำหนักเมฆาตัวจริง นอกจากอวิ๋นเชียนรั่วกับอวิ๋นเยี่ย เขาไม่มีความผูกพันใดๆ กับผู้คนในตำหนักเมฆา ที่มาช่วยพวกเขาออกจากดินแดนเนรเทศก็เพื่อทำหน้าที่ของเขาให้ดีที่สุดเท่านั้น เขาไม่ถึงขั้นจะวิ่งไปทำนู่นทำนี่ให้พวกเขา