หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรักตอนพิเศษ 92-2 น้ำลดตอผุด ธิดาเทพตัวจริงหรือตัวปลอม

ตอนพิเศษ 92-2 น้ำลดตอผุด ธิดาเทพตัวจริงหรือตัวปลอม

ตอนพิเศษ 92-2 น้ำลดตอผุด ธิดาเทพตัวจริงหรือตัวปลอม

อวิ๋นเยี่ยหยิบกระจกปี้คงในมือขึ้นมา

หมิงซิวถ่ายเทพลังปราณเทพสายน้อยเข้าไปด้านใน กระจกปี้คงฉายแสง มันสร้างม่านแสงกว้างแถบหนึ่งบนท้องนภาสีคราม ภาพบนม่านแสงคือจอมเทพกับหมิงซิวที่กำลังประมือกัน

หมิงซิวกับเจ้าตำหนักเมฆาหน้าตาเหมือนกันทุกประการจึงไม่มีผู้ใดคลางแคลงว่าบุรุษในม่านแสงมิใช่เจ้าตำหนักเมฆา

ในภาพนั้นเจ้าตำหนักเมฆาซัดฝ่ามือใส่จอมเทพจนเขาลงไปกองกับพื้น จากนั้นจึงชักกระบี่ที่เอวออกมาแทงกลางหน้าอกของจอมเทพ ชั่วพริบตาที่กระบี่เทพแทงเข้าไปในกายา ปราณดำสายหนึ่งก็ทะลักออกมาจากร่างของจอมเทพในทันใด

ปราณสีดำก่อตัวกลายเป็นร่างของจอมเทพอีกคนหนึ่งด้านข้าง เขาหัวเราะอย่างโอหังเหิมเกริม “ฮ่าๆ…ข้ากำลังกลุ้มเรื่องที่สังหารเขาไม่ตายเสียทีอยู่เชียว ขอบใจเจ้ามากนะ! หลังจากนี้ตำแหน่งจอมเทพก็เป็นของข้าแล้ว! ข้าก็คือจอมเทพ จอมเทพก็คือข้า! แดนเทพเป็นของข้า ตราพญาเทพก็เป็นของข้า! ทุกสิ่งเป็นของข้า! ข้าคือผู้ปกครองทั้งหกดินแดน!”

ดูมาถึงตรงนี้ เทพทั้งหลายยังจะมีสิ่งใดไม่เข้าใจอีกเล่า ที่แท้ก็เป็นฝีมือจิตมารจริงๆ คิดไม่ถึงเลยว่าจิตมารจะปิดบังพวกเขามาได้เนิ่นนานถึงเพียงนี้ มันหลอกพวกเขาทุกคนจนหัวหมุนติ้ว

ทว่าเมื่อคิดทบทวนอีกที เรื่องนี้ก็ดูเหมือนจะโทษพวกเขาไม่ได้ แม้จิตมารจะเป็นมาร แต่เพราะมันเป็นสิ่งที่แยกออกมาจากร่างต้นจึงมีจิตตั้งต้นของร่างต้นอยู่ด้วย ชาวเผ่าเทพระดับธรรมดาย่อมสัมผัสปราณมารของจิตมารไม่ได้ สัมผัสได้แต่ปราณจากดวงจิตของร่างต้นเท่านั้น

นี่จึงเป็นสาเหตุที่จิตมารจัดการยากเย็น

หลังจากนั้นกระจกปี้คงก็ฉายภาพที่จิตมารสูบพลังของเทพเป่ยไห่เข้าไป ความจริงเบื้องหลังการตายของเทพเป่ยไห่จึงนับว่ากระจ่างแล้ว

เทพเป่ยไห่ทำลายความบริสุทธิ์ของธิดาเทพ ตามกฎของเผ่าเทพคือต้องถูกริบทรัพย์ประหารทั้งตระกูล โชคดีที่เขาตายแล้ว ตำหนักเทพเป่ยไห่ของเขาจึงรอดตัวไป

ทว่าเมื่อนึกถึงครั้งตำหนักเมฆาถูกริบทรัพย์เมื่อในอดีต เทพเป่ยไห่เคยพาคนบุกเข้ามาในตำหนักเมฆาอย่างยโสโอหังเพียงใด วันนี้หมิงซิวก็พาอวิ๋นเยี่ยไปทำเช่นนั้นด้วย

ตำหนักเทพเป่ยไห่จึงถูก ‘ปล้นจนเกลี้ยง’

ในหมู่ของที่ยึดมาเหล่านั้นมีทรัพย์สมบัติเดิมของตำหนักเมฆาที่เคยถูกเทพเป่ยไห่ปล้นไป แล้วก็มีสมบัติลับของตัวเทพเป่ยไห่เองจำนวนมากมายนับไม่หวาดไม่ไหวด้วย

หนีฉางติดตามขบวนมาด้วย เมื่อนางค้นตำหนักบรรทมของเทพเป่ยไห่ นางก็ร้องเอ๋ออกมาอย่างประหลาดใจ

หมิงซิวไพล่มือทั้งสองไว้ด้านหลังร่างแล้วเดินเข้ามาหาประหนึ่งกำลังเดินชมสวน “มีอันใดหรือ”

ศพของหลันอีหายไปแล้ว หนก่อนนางมาเยือนที่แห่งนี้ นางเห็นเทพเป่ยไห่วางศพของหลันอีไว้ในโลงศพใบนี้ชัดๆ เจ้าหมอนั่นกลัวว่านางจะกลับคำจึงจงใจย้ายศพของหลันอีเช่นนั้นหรือ

น่าเสียดายที่เจ้าหมอนั่นตายไปแล้ว จะถามก็ถามไม่ได้แล้ว

หนีฉางส่ายหน้า “ไม่มีอะไร”

หมิงซิวจดจ้องโลงศพใบนั้น ขณะที่หนีฉางหมุนกายจะจากไป หมิงซิวก็เอ่ยปากถามว่า “เสวี่ยหลันอีเป็นปีศาจอสรพิษใช่หรือไม่”

หนีฉางหันมามองเขาอย่างประหลาดใจ “จากที่ข้ารู้มามิใช่ เหตุใดจึงถามเช่นนั้น”

หลังจากได้รับพลังของตราพญาเทพกลับคืนมา ความทรงจำในอดีตของหมิงซิวก็ฟื้นกลับคืนมาพร้อมกันด้วย ในสมองของเขามีภาพเสวี่ยหลันอีผู้มีหางอสรพิษคอยดูแลเขาอยู่ริมสระน้ำ ยามนั้นเขาเติบใหญ่แล้ว หน้าตาไม่เหมือนอวิ๋นเยี่ยแล้ว แต่เหมือนเจ้าตำหนักเมฆามากขึ้นทุกที หนแรกที่เขาดื่มสุรา เขาดื่มมากเกินไปจนเดินโซเซออกมาพบเสวี่ยหลันอีที่ลอบมาพบเจ้าตำหนักเมฆาพอดี

เสวี่ยหลันอีจึงตามเขาออกไปด้วย

เขาดื่มมากเกินไปจนเริ่มสะลึมสะลือ เมื่อเขาตื่นขึ้นมาอีกหนก็พบว่าตนเองนอนอยู่ในน้ำพุที่มีปราณเซียนลอยอ้อยอิ่งแห่งหนึ่ง ส่วนเสวี่ยหลันอีขดหางอสรพิษนั่งอยู่บนก้อนศิลาด้านข้าง เริ่มแรกเขามองเห็นแต่หางอสรพิษสีเขียวจึงคิดว่าเป็นอาเยี่ย แต่เมื่อมองเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายจึงทราบว่าเป็นเสวี่ยหลันอี

เสวี่ยหลันอีพบว่าเขาตื่นแล้วจึงใช้อาคมลบความทรงจำของเขา

หลังจากนั้นเขาก็จดจำเรื่องที่เสวี่ยหลันอีมิใช่มนุษย์ไม่ได้อยู่เนิ่นนาน เวลานี้พลังของตราพญาเทพหวนกลับมา ความทรงจำที่ถูกผนึกไว้ของเขาจึงผุดขึ้นมาทั้งหมดด้วย

หมิงซิวหยุดความคิดในหัวแล้วเอ่ยกับหนีฉางว่า “ข้าเคยเห็นหางอสรพิษของนาง”

หนีฉางครุ่นคิดก่อนจะตอบว่า “แต่บนร่างของนางหามีปราณปีศาจไม่ หรือว่า…นางก็เป็นคนของตำหนักเมฆาเช่นกัน”

หมิงซิวหรี่ตาลง “ตำหนักเมฆาไม่เคยมีคุณหนูคนใดหายตัวไป เรื่องนี้ข้ามั่นใจ”

หนีฉางขมวดคิ้ว “เจ้าคิดว่านางอาจเป็นปีศาจอสรพิษธรรมดาตัวหนึ่งเช่นนั้นหรือ”

หมิงซิวไม่ตอบนาง แต่พึมพำคำพูดที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แต่อย่างใดออกมาพร้อมกับท่าทีคลางแคลง “เสวี่ยหลันอีในความทรงจำของข้าผ่องแผ่วพิสุทธิ์ ไม่เหมือนคนที่จะทำเรื่องน่าอับอายเช่นนั้น”

เรื่องน่าอับอายเช่นนั้น หมายถึงเรื่องระหว่างหลันอีกับเทพเป่ยไห่น่ะหรือ

หนีฉางหน้าบึ้งทันตา “เจ้ายังมีหน้ามาพูดอีกหรือ ที่นางตกต่ำไปถึงจุดนั้น มิใช่เพราะเจ้าทอดทิ้งนางจนทำให้นางธาตุไฟเข้าแทรกร่วงหล่นกลายเป็นมารหรอกหรือ”

“มารหรือ” หมิงซิวครุ่นคิดบางสิ่ง

หนีฉางแค่นเสียงหยันเอ่ยว่า “เพื่อที่จะสะกดพลังมารในร่าง ทุกร้อยปีนางจึงต้องมีสัมพันธ์กับบุรุษหนึ่งหน สาเหตุที่นางกลายเป็นเช่นนี้ ทั้งหมดก็ล้วนเป็นเพราะเจ้า!”

หมิงซิวคิดในใจ หากมิใช่เพราะนางเปิดเผยเรื่องตน ตนกับเจ้าตำหนักเมฆาก็คงจะไม่ถูกจอมเทพตลบหลัง พวกเขาทั้งสองคนคงสำเร็จวิชาบรรลุเป็นเทพกันทั้งคู่ ผู้ใดเป็นฝ่ายทำร้ายผู้ใดกันแน่

หมิงซิวไม่คิดจะถกเถียงโต้คารมต่อ เมื่อคิดอะไรขึ้นมาได้จึงถามหนีฉางอีกว่า “ตอนเสวี่ยหลันอีตาย ศพมีสภาพเป็นเช่นไร เป็นคนหรือว่าเป็นงู”

“คน” หนีฉางตอบอย่างมั่นใจอย่างยิ่ง

หมิงซิวจึงเอ่ยว่า “เช่นนั้นก็มิถูกต้องแล้ว ชาวต่างเผ่าทั้งหลายยามสิ้นใจจะคืนร่างเดิมของตนเอง หากนางยังมีร่างเป็นมนุษย์ นั่นก็หมายความว่านางยังไม่ตาย”

“ที่นี่หรือ แน่ใจใช่หรือไม่” หูซื่อไห่เดินขึ้นไปบนเนินเขาพลางมองสำรวจรอบด้าน

“เมื่อครู่กระจกปี้คงฉายภาพที่แห่งนี้ไม่ผิดแน่” ไห่คงจื่อถือกระจกปี้คงพลางเอ่ยตอบ น่าเสียดายเพิ่งเอ่ยจบ ภาพบนกระจกปี้คงก็หายไปแล้ว

ต้าจ้วงตบแขนทั้งสองคน “นี่มันหน้าผาที่หนก่อนคุณชายรองตกลงไปมิใช่หรือ พวกเจ้าดูสิ ป่าผืนนั้นคือสถานที่ที่พวกเราพบคุณชายรองไม่ใช่หรือไร”

จะว่าไปแล้วก็ใช่จริงๆ ด้วย

วันนี้พวกเขาสามคนได้รับคำสั่งจากท่านจอมมารน้อยให้ออกมาตามหาร่องรอยของหลิงจือ สถานที่ที่กระจกฉายให้เห็นก็คือถ้ำแห่งหนึ่งที่อยู่บริเวณนี้

ต้าจ้วงนึกทบทวนภาพที่ปรากฏในกระจก “นอกถ้ำมีต้นไม้อยู่มากมายนัก แต่บนเนินเขาแห่งนี้กลับโล่งเตียน ข้าดูแล้วน่าจะอยู่ด้านล่าง”

ไห่คงจื่อพยักหน้าแล้วพาทั้งสองคนลงไปยังป่าหนาทึบที่มีไอหมอกรายล้อม

พวกเขายังไม่ทันเดินได้สักกี่ก้าว ต้าจ้วงก็ตะโกนเสียงดังขึ้นมาว่า “พวกเจ้าดูนั่นด้านนั้นมีถ้ำอยู่แห่งหนึ่งไม่ใช่หรือ”

ภายในถ้ำหลิงจือเสกดวงไฟริบหรี่ขึ้นมาหนึ่งดวง นี่เป็นครั้งที่เท่าไรแล้วก็ไม่ทราบที่นางรีดเค้นพลังปราณไฟออกมา ก่อนหน้านี้นางบาดเจ็บหนักเกินไปจึงทำไม่สำเร็จมาตลอด ในที่สุดวันนี้ก็เสกดวงไฟดวงน้อยออกมาได้เสียที

อาการบาดเจ็บของนางหายดีไปมากกว่าครึ่งแล้ว เหลือเพียงขาขวาที่ยังไม่หายสนิทพอจะเดินได้

นางโยนฟืนแห้งท่อนหนึ่งเข้าไปในกองไฟด้านข้าง รอจนกระทั่งกองไฟน้อยลุกโชติช่วงดีแล้ว นางจึงหันไปควักไส้กระต่ายป่าล้างทำความสะอาดก่อนจะจับมันพาดเหนือกองไฟ

เนื้อกระต่ายป่าส่งกลิ่นหอมอบอวลลอยมาจากเหนือกองไฟทีละน้อย

หลิงจือพลิกกระต่ายป่าย่างไปพลางก็เปิดห่อสัมภาระไปด้วย นางหยิบผลไม้สีแดงเม็ดน้อยสีสดสวยออกมาสองเม็ดแล้วส่งให้เด็กสาวรากปราณสวรรค์ “ให้เจ้า”

เด็กสาวรากปราณสวรรค์ตอบสีหน้าเฉยชา “ข้าไม่กินหรอก”

หลิงจือเลิกคิ้ว “เจ้าเด็ดมาเองแล้วทำไมเจ้าไม่กิน ไม่กินแล้วเจ้าเด็ดมาทำไม ข้ากินมากขนาดนี้ไม่ไหวเสียหน่อย!”

เด็กสาวรากปราณสวรรค์กอดอกเถียงว่า “เจ้าเคยเห็นปีศาจอสรพิษกินเจ้าสิ่งนี้ด้วยหรือ”

หลิงจือเหล่มองหางงูสีเขียวของนาง “ข้าไม่ใช่ปีศาจอสรพิษสักหน่อย ข้าจะรู้ได้อย่างไร”

เด็กสาวรากปราณสวรรค์กลอกตาใส่

หลิงจือคลี่ยิ้ม นางกระเถิบไปข้างอีกฝ่ายจนหัวไหล่แนบชิดกับนาง “ความจริงต่อให้เจ้าเป็นปีศาจอสรพิษก็ไม่เห็นเป็นอะไร ข้าไม่กลัวเจ้าหรอก”

เด็กสาวรากปราณสวรรค์ขยับหัวไหล่หนีอย่างรังเกียจ “ผู้ใดห่วงว่าเจ้าจะกลัวกัน เจ้ารีบรักษาอาการบาดเจ็บให้หายแล้วรีบไสหัวออกไปเลยนะ อย่ามารบกวนความสงบของข้า”

หลิงจือจิ๊ปากถลึงตาใส่นาง แล้วเขยิบกลับไปนั่งที่เดิมของตนเอง นางแค่นเสียงดังเหอะแล้วพึมพำว่า “เจ้าคนปากไม่ตรงกับใจ ถ้าอยากให้ข้าไสหัวไปจริงๆ แล้วช่วยข้าไว้ทำอะไรเล่า อย่าคิดว่าข้าไม่รู้เชียวว่าเจ้าเปลืองพลังปราณรักษาอาการบาดเจ็บให้ข้าอยู่ทุกวัน กลัวข้าจะตายเสียยิ่งกว่าอะไรดี”

เด็กสาวรากปราณสวรรค์ตวัดสายตาเย็นยะเยือกมองมาทันควัน!

หลิงจือแลบลิ้นใส่

เด็กสาวรากปราณสวรรค์คร้านจะสนใจนางแล้ว

หลิงจือย่างกระต่ายป่าต่อ “จะว่าไปแล้ว เจ้ากับราชาปีศาจมีความสัมพันธ์อย่างไรกัน เหตุใดเขาจึงดึงดันจะส่งเจ้ามาที่แดนเทพให้ได้ แล้วยังยอมสละพลังของตนเองทั้งหมดให้เจ้าอีก ข้าคิดว่าเขาจับตัวเจ้าไปเพราะจะทำร้ายเจ้าเสียอีก”

เด็กสาวรากปราณสวรรค์ไม่ตอบอะไร

หลิงจือยกมือขึ้นมาจับสาบเสื้อ “เจ้านี่นะ จิตใจก็ไม่ร้ายกาจเสียหน่อย เหตุไฉนต้องทำให้คนโมโหอยู่เรื่อยกัน”

แกรก!

จู่ๆ ด้านนอกถ้ำก็มีเสียงกิ่งไม้หักดังลอยมา

หลิงจือตื่นตัวทันที “ผู้ใด”

เด็กสาวรากปราณสวรรค์เอ่ยขึ้นเสียงคลางแคลง “ข้าจะไปดูสักหน่อย”

เด็กสาวรากปราณสวรรค์สะบัดหางอรพิษสีเขียวเลื้อยออกไปจากถ้ำ ที่ปากถ้ำมีสตรีผู้มีร่างเป็นมนุษย์หางเป็นอสรพิษเหมือนนางทุกประการยืนอยู่คนหนึ่ง สตรีนางนั้นมีบาดแผลอยู่ทั่วร่าง เลือดเปรอะเปื้อนเป็นด่างดวง แววตาเย็นยะเยือกฉายแววเหี้ยมเกรียม

เด็กสาวรากปราณสวรรค์มองนางอย่างระแวง “เจ้าคือ…”

ริมฝีปากสีแดงฉานของสตรีนางนั้นบิดโค้งเป็นรอยยิ้มน้อยๆ “ไม่พบกันนานนะ เสวี่ยหลันอี”

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

Score 10
Status: Completed
นิยายแปลไทยเรื่อง : หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก ผู้เขียน : เพียนฟางฟาง (偏方方) แนะนำเรื่องย่อ เมื่อหมอสาวยุคปัจจุบันต้องทะลุมิติมาอยู่ในยุคโบราณแถมพ่วงด้วยลูกแฝดอีกสอง ทำขนม ดักสัตว์ ทำไร่ ทำทุกอย่างที่ได้เงิน! เฉียวเวย เด็กกำพร้าไร้ญาติขาดมิตรจู่ๆ ก็ทะลุมิติมายังยุคโบราณที่ไม่รู้จัก นอกจากจะมาอาศัยร่างคนอื่นอยู่แล้ว ร่างเดิมนี้ยังมีลูกแฝดอีกสองชีวิตให้ต้องเลี้ยงดู! นางที่ไร้ซึ่งความทรงจำใดๆ ในโลกใบใหม่แต่พราะทักษะติดตัวสมัยยังต้องดิ้นรนในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าทำให้ชีวิตไม่ลำบากเกินไปนัก ทำขนม ดักสัตว์ ปลูกพืช รักษาคน จากนี้นางจะเลี้ยงลูกๆ ให้เติบใหญ่ด้วยมือของนางเอง! เจ้าซาลาเปาน้อยจูงมือบุรุษใบหน้าเคร่งขรึมเข้ามา "ท่านแม่ ท่านลุงบอกว่าเขาเป็นพ่อของข้า" เฉียวเวยยิ้มละไม "ลูกรัก บอกพ่อเจ้าหน่อย ว่าต้องทำเช่นไรถึงจะพิสูจน์ว่าเป็นพ่อของเจ้าได้" เจ้าซาลาเปาน้อยเปิดสมุดทองคำ พูดอย่างชื่อๆ ว่า "ข้อที่หนึ่งร้อยหนึ่งของ 'กฎครอบครัวเฉียว' หลอกลวงเด็กสาวที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะมีโทษตัดอวัยวะสืบพันธุ์ ท่านลุง หากท่านเป็นพ่อของข้าจริงๆแล้วล่ะก็..." โดยไม่รอให้เจ้าซาลาเปน้อยจะพูดจบ ปลายนิ้วอันย็นเฉียบของชายคนนั้นก็บีบคางของเฉียวเวย เผยให้เห็นรอยยิ้มที่เย็นชาและเป็นอันตราย "หากข้าจำไม่ผิด คืนนั้น เหมือนเจ้าจะเป็นคนบังคับขืนใจข้า!"

Options

not work with dark mode
Reset