ตอนพิเศษ 92-1 น้ำลดตอผุด ธิดาเทพตัวจริงหรือตัวปลอม
เผ่ามังกรอาศัยอยู่บนเกาะแห่งหนึ่งทางตะวันตกของแดนเทพ ตัวเกาะรายล้อมด้วยผืนน้ำทั้งสี่ทิศ มีปราณเซียนวนเวียนรายล้อม ทิวทัศน์งามเพลินตาเพลินใจ เป็นทรงสวรรค์ที่หลีกเร้นจากโลกอันหาได้ยาก
ที่แห่งนี้มีมังกรนานาชนิดอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก ส่วนหนึ่งเป็นมังกรเทพของเกาะแห่งนี้ อีกส่วนหนึ่งเป็นมังกรที่บรรลุเป็นเทพขึ้นมาจากแดนเซียนหรือเผ่ามาร โลกภายนอกเล่าลือว่าเผ่ามังกรชอบต่อสู้ แต่ความจริงมิใช่เช่นนั้น อย่างน้อยในที่แห่งนี้มังกรส่วนมากก็ชอบความสงบ
บนเนินเขามังกรเหลืองตัวหนึ่งนอนกรนคร่อก ในสระน้ำมีมังกรเขียวแหวกว่ายส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าว ในป่า ในสุมทุมพุ่มไม้ ทุกมุมที่สอดส่ายสายตามองเห็นแทบจะมีมังกรปรากฏตัวอยู่ทุกที่
เกาะแห่งนี้เป็นสรวงสวรรค์ของเผ่ามังกร
แน่นอนว่าสำหรับเด็กน้อยบางคนก็ไม่ใช่เช่นนั้น
หมิงซิวถูกสะกดไว้ ทำให้ต้องอยู่ในร่างของเสี่ยวซิววัยไม่หย่านมอายุสามขวบ
แม้พลังของตราพญาเทพจะทำลายอาคมสะกดใดๆ ได้อย่างง่ายดาย แต่หากอาคมสะกดนี้เป็นสิ่งที่ท่านพ่อตาเสกเอาไว้ ถ้าเช่นนั้นเขาก็ได้แต่จำใจยอมรับโดยดุษฎี
เสี่ยวซิววัยยังไม่หย่านมเดินดุกดิกตามหลังชิงสุ่ยเจินเหริน ดวงตาของเขาเฝ้ามองมังกรมารน้อยพบเจอมังกรหนุ่มโตเต็มวัยร่างกายบึกบึนแข็งแรงตัวแล้วตัวเล่า จากนั้นก็ถูกพวกมังกรหนุ่มขอจับคู่หนแล้วหนเล่าด้วยแววตาคับแค้น…
ร่างมังกรของเฉียวเวยเวยงดงามเกินไปแล้วจริงๆ นางงดงามไร้ที่ติเช่นเดียวกับร่างมังกรของจอมมาร แม้แต่จอมมารที่มีนายสนมแล้ว (มังกรหนุ่มในเผ่ามังกรไม่มีวันยอมรับว่าเจ้าดอกบัวตุ้งติ้งเป็นพระสวามีของท่านจอมมารหรอก!) ก็ยังถูกมังกรหนุ่มขอจับคู่อยู่บ่อยครั้ง ดังนั้นมังกรสาวโฉมงามที่ยังไม่แต่งงานอย่างเฉียวเวยเวยยิ่งเนื้อหอมในเผ่ามังกรมากกว่า
ใบหน้าของจีเสี่ยวซิวดำทะมึนเหมือนถ่าน!
คนที่ใบหน้าดำทะมึนยิ่งกว่าเขาก็คือชิงสุ่ยเจินเหริน
ตลอดทางที่เดินผ่านมา ดาบยักษ์ยาวสี่สิบเมตรของชิงสุ่ยเจินเหรินไม่เคยได้เก็บเข้าฝัก เมื่อเดินมาถึงวังมังกร เฉียวเวยเวยก็พบมังกรวัยเยาว์ผู้องอาจไปทั้งสิ้นหนึ่งร้อยยี่สิบตัว มีมังกรหนึ่งร้อยยี่สิบเอ็ดตัวขอจับคู่กับนาง ส่วนอีกตัวหนึ่งที่เหลือเป็นมังกรสาว
ไม่มีสิ่งใดทำให้ชิงสุ่ยเจินเหรินอัดอั้นตันใจไปมากกว่าเรื่องนี้แล้ว เดี๋ยวก็มีมังกรมาขอจับคู่กับชิงหลวน เดี๋ยวก็มีมังกรมาขอจับคู่กับเวยเวย สตรีที่สำคัญที่สุดในชีวิตเขาทั้งสองคน ทำไมจึงถูกเจ้ามังกรน่าเกลียดฝูงนี้ตามตื๊ออยู่เรื่อยเลยนะ!
เมื่อหนึ่งเด็กหนึ่งผู้ใหญ่เดินมาถึงวังมังกร ใบหน้าของพวกเขาก็ดำทะมึนจนดูไม่ได้
อวิ๋นเชียนรั่วกำลังเบิกบานใจ ระหว่างทางนาง ‘ฉก’ ลูกมังกรที่เพิ่งเดินเตาะแตะเป็นตัวหนึ่งมาด้วย ลูกมังกรน้อยเอาแต่แทะหางมังกรของตนเองมาตลอดทาง น่ารักจนอวิ๋นเชียนรั่วใจละลาย
อวิ๋นเชียนรั่วหันมาบอกจีเสี่ยวซิว “พี่ใหญ่ หลังจากนี้ท่านกับเวยเวยก็ให้กำเนิดลูกมังกรน้อยสักตัวเถิด! ท่านดูสิลูกมังกรน่ารักมากเพียงใด!”
จีเสี่ยวซิวกำลังจะเอ่ยปาก ดาบยักษ์ยาวสี่สิบเมตรของชิงสุ่ยเจินเหรินก็ฟาดลงมา
จีเสี่ยวซิวหุบปากอย่างรู้จักดูสถานการณ์
ค่ำคืนนี้พวกเขาพักอยู่ในวังมังกรของท่านจอมมาร
วังมังกรใหญ่โตมาก เพื่อไม่ให้ใครบางคนลักตัวหัวผักกาดขาวน้อยของเขาไป ชิงสุ่ยเจินเหรินจึงจัดให้จีเสี่ยวซิวกับน้องชายน้องสาวพักอยู่ในตำหนักที่ทิวทัศน์งดงามที่สุด แต่อยู่ไกลจากตำหนักบรรทมของจอมมารที่สุด
จีเสี่ยวซิวยิ้มหยัน ไม่มีประโยชน์หรอก เวยเวยจะต้องตามมาแน่ ทุกคืนนางต้องจ้องหน้าข้าถึงจะนอนหลับ
ขณะที่นึกเช่นนี้จีเสี่ยวซิวก็ยิ้มกระหยิ่ม ทว่าเมื่อเขาหันหลังกลับไปก็ต้องประหลาดใจที่ค้นพบว่ามังกรมารน้อยที่แต่เดิมสมควรเดินตามหลังเขามาหายไปแล้ว!
เขาหันกลับไปสอดส่ายสายตามองหาอีกหนจึงเห็นมังกรมารน้อยจูงมือมารดาเดินไปอาบน้ำพุร้อนอย่างเบิกบานใจ!
จีเสี่ยวซิว “…”
เจ้าตัวน้อยไร้หัวใจคนนี้!
ใช้งานกันเสร็จก็โยนทิ้งเลยสินะ!
จีเสี่ยวซิวเดินไปที่ตำหนักเยาเย่ว์อย่างฮึดฮัด
ค่ำคืนนี้จีเสี่ยวซิวนอนกระสับกระส่ายพลิกไปมาอยู่บนเตียง เขาคาดว่าเวลานี้ชิงสุ่ยเจินเหรินกับท่านจอมมารน่าจะนอนหลับแล้ว พวกเขาทั้งคู่น่าจะไม่สังเกตความเคลื่อนไหวของเขา เขาจึงตัดสินใจคลายอาคมสะกดกลับคืนร่างเดิม
‘ข้าต้องนอนที่นี่หรือ นอนกับเจ้าไม่ได้หรือไร’
‘ไม่ได้!’
‘ก่อนหน้านี้ก็นอนได้มาตลอดนี่’
‘ก่อนหน้านี้เจ้ายังเด็ก ตอนนี้เจ้าโตแล้ว’
จีหมิงซิวลุกขึ้นมานั่งที่โต๊ะ แล้วยิ้มหยันรินชาที่เย็นแล้วให้ตัวเองหนึ่งถ้วย “ตอนแรกอ้อนวอนขอนอนห้องข้าเสียขนาดนั้น ตอนนี้พอกลายเป็นองค์หญิงแห่งเผ่ามังกร มีคนเทียวไล้เทียวขื่อมากเข้าก็ลืมแล้วหรือว่าเมื่อก่อนเคยเกาะติดข้าอย่างไร กล่าวกันว่าใจมนุษย์แปรเปลี่ยนง่าย ข้าว่าใจมังกรนี่ก็ดีกว่ากันไม่ถึงไหนหรอก อุตส่าห์เลี้ยงมานานขนาดนี้ เลี้ยงเสียข้าวสุกจริง!”
‘ยังโกรธอยู่หรือ ต้องทำเช่นไรเจ้าจึงจะหายโกรธข้าเล่า’
‘ทำอันนี้’
จีหมิงซิวเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันกระตุกยิ้ม จากนั้นจึงกรอกน้ำชาเย็นเฉียบเข้าปาก “เหอะ เจ้าลองมาขอทำอันนั้นอีกสิ ถ้าข้าไม่ยอมทำให้เจ้า ข้ายอมถูกด่าว่าสารเลว!”
“ข้ามาแล้ว” จู่ๆ เฉียวเวยเวยก็โผล่มาด้านหลังเขา
หมิงซิวสำลักอย่างแรง
…
เหตุการณ์วุ่นวายที่คูเมืองสวรรค์ถูกเล่าลือไปทั่วตั้งแต่วันที่เกิดเรื่องแล้ว เวลานั้นอาณาบริเวณร้อยลี้รอบคูเมืองสวรรค์ล้วนอัดแน่นด้วยพลังของจิตมารกับท่านจอมมาร ไม่มีผู้ฝึกตนคนใดเข้าใกล้ได้ ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องใดขึ้น ทว่ากระดาษย่อมห่อไฟไม่มิด เทพเป่ยไห่พาองครักษ์เทพหนึ่งหมื่นองค์ออกเดินทัพไปแต่ไม่หวนกลับมาอีก คนของตำหนักเทพเป่ยไห่ตามไปหาถึงตำหนักบรรทมของจอมเทพ คิดไม่ถึงว่าจอมเทพเองก็ไม่หวนกลับมาตลอดคืนเช่นกัน
ยามฟ้าสว่างวันถัดมา หนีฉางเจ้าของตำหนักเทพเสวี่ยซานจึงออกมาบอกเล่าความจริงในตอนนั้น
เริ่มแรกหนีฉางกับตำหนักเมฆาไม่มีความแค้นใดต่อกัน แต่นางโทษเจ้าตำหนักเมฆาว่าทรยศเสวี่ยหลันอี ทำให้นางมองเทพแซ่อวิ๋นในแง่ร้ายเสียหมด หลังจากนั้นยังเข้าใจผิดว่าเจ้าตำหนักเมฆาขโมยศพของเสวี่ยหลันอีไปจนบุกไปหาถึงตำหนักอย่างไม่เกรงกลัวแล้วต่อสู้กับอีกฝ่ายยกใหญ่
ยามนี้ความจริงทุกสิ่งกระจ่างแล้ว
ผู้ที่ทำให้เสวี่ยหลันอีเปื้อนมลทินก็คือเทพเป่ยไห่ ผู้ที่ใส่ร้ายคนตำหนักเมฆาคือจิตมารของจอมเทพ ส่วนเรื่องที่นางต้องการแย่งชิงพลังของผานกู่ต้าตี้มาฟื้นคืนชีพเสวี่ยหลันอี ยามนี้นางไม่สามารถทำสิ่งนั้นได้แล้ว
หากนางมิใช่คนโง่ นางย่อมไม่ทิ้งชีวิตตัวเองไปกับเรื่องนี้ด้วย
ในตำหนักเทพ หนีฉางมองบรรดาเทพที่แห่แหนมาจากทั่วทุกสารทิศ จากนั้นจึงเล่าทุกสิ่งที่ตนเองได้ยินและได้เห็นในช่วงหลายวันที่ผ่านมาให้ฟัง “…ทุกท่านเข้าใจเจ้าตำหนักเมฆาผิด เขาเป็นผู้บริสุทธิ์ ผู้ที่ขโมยตราพญาเทพไปมิใช่เขา ผู้ที่ทำลายความบริสุทธิ์ของธิดาเทพก็มิใช่เขา ข้าใช้ชื่อเสียงของตำหนักเทพเสวี่ยซานสาบานต่อหน้าทุกท่าน วันนี้หากถ้อยคำที่หนีฉางผู้นี้กล่าวออกมามีถ้อยคำลวงหลอกแม้แต่ครึ่งคำ ขอให้สวรรค์ส่งอสนีบาตมาลงทัณฑ์ให้ข้าไม่ตายดี ไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดอีกชั่วนิรันดร์!”
ผู้ฝึกตนล้วนมิกล่าวคำสาบานกันง่ายๆ เพราะคำสาบานที่พวกเขาเอื้อนเอ่ย สุดท้ายย่อมเป็นไปตามนั้น
หนีฉางกล้ากล่าวคำสาบานร้ายแรงเช่นนี้ต่อหน้าทุกคน เทพทุกองค์ที่อยู่ที่นั่นจึงเชื่อไปแล้วมากกว่าครึ่ง ทว่าก็มีเทพบางองค์ยังคลางแคลงว่าตัวหนีฉางจะปิดบังสิ่งใดจากพวกเขาอยู่ เทพองค์หนึ่งจากตำหนักเทพเป่ยไห่เอ่ยขึ้นมาว่า “เจ้าบอกเต็มปากเต็มคำว่าจอมเทพสิ้นแล้ว สองหมื่นปีที่ผ่านมาจอมเทพที่พวกเราเห็นคือจิตมาร เจ้ามีหลักฐานอันใดเล่า”
นางไม่มีหลักฐานจริงๆ
หนีฉางถอนหายใจ “ข้าคิดไว้แล้วว่าจะต้องมีคนถามเช่นนี้ วันนี้ข้าจึงเชิญเจ้าตำหนักเมฆามาด้วย ทุกท่านถามเขาเองก็แล้วกัน” นางกล่าวจบก็หลีกทางไปด้านข้าง
หมิงซิวผู้สวมอาภรณ์สีขาวทั้งร่างกับอวิ๋นเยี่ยผู้มีร่างเป็นคนหางเป็นงูเดินออกมาจากทางเดินเส้นน้อยที่นางยืนอยู่ก่อนหน้านี้ พร้อมกับสีหน้าเคร่งขรึม
ในหมู่เทพที่อยู่ตรงนั้นเกิดเสียงฮือฮาขึ้นมาทันควัน
“เจ้าตำหนักเมฆากับน้องชายของเขาหรือ”
“พลังของน้องชายเขาถูกสูบไปจนแห้งเหือดแล้วมิใช่หรือ อีกอย่างเหตุไฉนข้าจึงรู้สึกว่ายามนี้เขามีพลังระดับเดียวกับจอมเทพ”
หากบอกว่าพลังของอวิ๋นเยี่ยทำให้เทพทั้งหลายตกตะลึงแล้ว ถ้าเช่นนั้นพลังของหมิงซิวก็ยิ่งทำให้เทพทุกองค์ที่นั่นคาดไม่ถึงอย่างสิ้นเชิง
หรือว่าความผิดของเขาจะเป็นเรื่องจริง เขาขโมยตราพญาเทพไปแล้วแอบร่ำเรียนวิชาที่ซ่อนอยู่ในตราพญาเทพจนกลายเป็นเทพที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าจอมเทพเช่นนั้นหรือ
สายตาเย็นยะเยือกของหมิงซิวกวาดผ่านเทพทั้งหลายที่หันไปคุยกระซิบกระซาบกัน เมื่อสัมผัสได้ถึงแรงกดดันจากสายตาคู่นั้น เสียงกระซิบกระซาบของเทพทั้งหลายก็ค่อยๆ เบาลง
หมิงซิวยืนอยู่บนขั้นบันได เขาก้มมองเทพทั้งหลายจากด้านบนแล้วกล่าวว่า “ข้ารู้ว่าทุกท่านกำลังคิดสิ่งใด พวกท่านสงสัยว่าข้าขโมยตราพญาเทพไป ข้าคือคนที่สังหารจอมเทพ ข้าเป็นคนทำลายเทพเป่ยไห่กับองครักษ์เทพหมื่นองค์ของเขาจนย่อยยับ ข้าอธิบายมากอีกเท่าใดก็คงจะไร้ประโยชน์ ข้าจะให้พวกท่านดูด้วยตาตนเองว่าแท้จริงผู้ใดกันแน่ที่สังหารจอมเทพ”