ตอนพิเศษ 91-1 ครอบครัวพร้อมหน้า คลั่งรักลูกสาว
ชั่วอึดใจที่หัวใจถูกขยี้จนแหลก ใบหน้าของจิตมารพลันถอดสี ทว่าหน้าถอดสีได้ไม่ทันไร ร่างกายของเขาก็เริ่มสลายไปทีละน้อย เสาแสงสีดำที่ล้อมรอบร่างก่อนหน้านี้พังทลายดังครืน พลังที่ถูกเสาแสงสูบเข้าไปแตกกระจายพัดกวาดออกมารอบด้านอย่างรุนแรง
พลังของตัวเขาเองก็กระจัดกระจายออกไปราวกับไม่มีค่าเช่นเดียวกัน
พลังที่เป็นของมังกรมารน้อยกับตราพญาเทพย้อนกลับมายังร่างของทั้งสองคนอย่างรวดเร็ว เกล็ดมังกรที่หม่นหมองของมังกรมารน้อยค่อยๆ กลับมาดำขลับแวววาวทีละนิด เส้นผมขาวโพลนทั้งศีรษะของหมิงซิวกลับกลายมาเป็นเส้นไหมสีดำขลับดุจหมึกย้อมอีกหน รอยย่นบนขมับของเขาจางหายไป แผ่นหลังที่ค่อมงองุ้มกลับมาเหยียดตรง ใบหน้าซีดเผือดเริ่มมีสีเลือดแดงระเรื่อปนอยู่นิดๆ
เท้าสองข้างของจิตมารหายไปแล้ว ตามมาด้วยขาสองข้าง บั้นเอว แขนทั้งสอง…ไล่ขึ้นไปด้านบนทีละนิด จิตตั้งต้นของจิตมารลอยหลุดออกจากร่าง เขาอยากจะคว้าจิตตั้งต้นของตนเอง ทว่าแม้กระทั่งสองมือก็สลายกลายเป็นธุลี จวบจนความตายมาเยือนเขาก็ยังไม่เข้าใจว่าตนพ่ายแพ้ได้อย่างไร เขาคือผู้อยู่สูงสุดบนแดนเทพ เป็นตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดในหกดินแดน จอมมารกระจอกๆ ตนหนึ่ง ไม่คู่ควรแม้แต่จะหิ้วรองเท้าให้เขา เหตุใดมันจึงสังหารเขาได้
บางทีไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้จริงๆ เพียงแต่เขาไม่ยินดีจะยอมรับก็เท่านั้น มังกรมารเป็นทายาทของมังกรโบราณจู๋หลง ส่วนมังกรโบราณจู๋หลงก็เป็นสิ่งที่ถือกำเนิดมาจากกายาของผานกู่ต้าตี้หลังสิ้นลม พลังที่มังกรมารครอบครองอยู่ก็คือพลังของผานกู่ต้าตี้
แม้จิตมารจะแข็งแกร่งแต่เมื่อเผชิญหน้ากับผู้อยู่สูงสุดเหนือฟ้าดิน มันจึงเป็นตัวตนที่ต้อยต่ำเล็กกระจ้อยร่อยเหลือเกิน
ยามจิตมารเหลือเพียงศีรษะ ท่านจอมมารก็ตะปบหัวไหล่ที่เลือนรางของเขาแล้วพูดว่า “หนุ่มน้อย เจ้าช่างมิรู้อันใดเกี่ยวกับพลังเอาเสียเลย”
พลังเสี้ยวสุดท้ายของจิตมารสลายไปท่ามกลางสายลมหนาว
การต่อสู้สิ้นสุดลงแล้ว มังกรมารกลายร่างกลับเป็นร่างมนุษย์
ในชั่วอึดใจที่นางกลายร่าง พวกอวิ๋นเยี่ยพากันคิดว่าร่างมังกรมารของนางใหญ่โตมโหฬาร ร่างมนุษย์ของนางก็คงเป็นหญิงอัปลักษณ์รูปร่างบึกบึนล่ำสัน คิดไม่ถึงว่านางกลับมีรูปโฉมดุจนางสวรรค์งดงามล่มเมือง นางคือสตรีที่ทำให้สรรพสิ่งในโลกหม่นหมองไร้สีสันโดยแท้ ผิวประหนึ่งหยก ดวงหน้าดุจภาพวาด ผิวพรรณนวลเนียนเกลี้ยงเกลา เรือนร่างสูงระหง เอวอ้อนแอ้นไม่ถึงกำมือ แต่กลับมีสัดส่วนโค้งเว้างดงามทรงเสน่ห์
นางสวมกระโปรงยาวกับเสื้อแขนกว้างสีดำสนิท เสื้อชั้นกลางมีปกคอตั้งสีแดงฉาน ยามสายลมหนาวพัดปลายแขนเสื้อปลิวเปิดมองเห็นอาภรณ์ด้านในอยู่เลือนราง มันเป็นสีแดงสดเด่นสะดุดตาเช่นเดียวกัน
ยามนางนิ่งเงียบ พลังอันน่าเกรงขามแผ่ออกมาประหนึ่งเป็นผู้ปกครองฟ้าดิน ทว่ายามนางหันมาแย้มยิ้มให้กลับเสมือนหนึ่งน้ำแข็งถูกกะเทาะ แสงสว่างอันงดงามที่ซุกซ่อนความร้ายกาจสาดส่องออกมาแทน
ครั้งนี้มิใช่เพียงบุรุษที่ถูกนางสะกดให้ลุ่มหลง แม้แต่จู๋อีกับอวิ๋นเชียนรั่วก็หัวใจเต้นตึกตักคล้ายหัวใจจะเต้นหลุดออกมาจากลำคอเช่นกัน
มังกรมารน้อยก็นิ่งอึ้งไปด้วย นางมองมารดาบังเกิดเกล้าของตนเองนิ่งงัน
แม้จะเคยเห็นภาพวาด แต่ตัวจริงงามกว่าภาพวาดสิบเท่า ร้อยเท่า!
อีกฝั่งหนึ่งหมิงซิวได้รับพลังที่จิตมารแย่งชิงไปกลับมาแล้ว เขาจึงเก็บตราผนึกเหนือคูเมืองสวรรค์กลับไป เมื่อตราผนึกชิ้นสุดท้ายสลายกลายเป็นพลังปราณสีทองไหลบ่าเข้ามาในดวงวิญญาณของเขา เขาก็มองเห็นเงาของเจ้าตำหนักเมฆาปรากฏอยู่ไกลๆ ตรงขอบฟ้า
เจ้าตำหนักเมฆามองเขาแล้วหันไปมองอวิ๋นเยี่ยที่อยู่ข้างกายเขา ก่อนจะคลี่ยิ้มอย่างสบายใจ จากไปอย่างไร้ห่วง
เจ้าตำหนักเมฆาไม่รู้ว่าความทรงจำของอวิ๋นเยี่ยไม่ถูกลบ ในเมื่อความทรงจำไม่ถูกลบ อวิ๋นเยี่ยย่อมยังมองเห็นเงาของเขาอยู่
อวิ๋นเยี่ยยกมือปาดดวงตาที่แดงระเรื่อแล้วหันหลังกลับเดินเข้าไปในตัวเรือ
หลังจากตราผนึกสลาย พลังอันแข็งแกร่งของผานกู่ใต้คูเมืองสวรรค์ก็เริ่มทะลักออกมา สิ่งที่แตกต่างจากพลังของมังกรโบราณจู๋หลงก็คือพลังในที่แห่งนี้เป็นพลังของจิตตั้งต้นมากกว่า
มังกรมารน้อยน้ำลายไหล
หมิงซิวเก็บพลังสายนั้นเข้าไปในกระจกปี้คง แล้วใช้พลังสองส่วนผนึกมันไว้ หลังจากผนึกเสร็จ ท่านจอมมารก็รับกระจกไป ไม่รู้ว่านางใช้เคล็ดวิชาอันใด พลังด้านในจึงกลายมามีรสหวาน มังกรมารน้อยแปลงกายเป็นดอกบัวน้ำแข็งน้อยในพริบตา ดอกบัวน้ำแข็งน้อยคว้ากระจกปี้คงมาถือแล้วเคาะกับพื้นแรงๆ ทันใดนั้น ‘ขนมหวานชิ้นน้อย’ ชิ้นหนึ่งก็ร่วงออกมา
หลังจากนั้นทุกครั้งที่ดอกบัวน้ำแข็งน้อยเคาะก็จะมีพลังชิ้นหนึ่งร่วงออกมาจากในกระจก กระจกปี้คงถูกเคาะจนหน้าบวมจมูกเขียว ส่วนดอกบัวน้อยกินจนน้ำลายไหลเยิ้มเป็นสาย
ท่านจอมมารอุ้มดอกบัวน้ำแข็งน้อยมาขึ้นเรือรบ
ชิงสุ่ยเจินเหรินเห็นลูกสาวก็ดีใจยิ่งนัก ก่อนหน้านี้ชิงสุ่ยเจินเหรินถูกเท้าขนาดสามสิบเก้าของเทพธิดาปี้สยาถีบเข้ามาในแดนเทพ ตอนเขาถูกถีบเข้ามาเวยเวยยังไม่ปรากฏตัว เขาจึงคิดว่าบุตรสาวยังอยู่ที่แดนกลางหรือแดนเซียน จนกระทั่งพบพวกไห่คงจื่อที่กำลังจ้างวานรวบรวมกำลังพลมาถึงอาณาเขตของจอมมาร แต่เดิมเขาคิดจะสังหารคนพวกนี้เสีย แต่เมื่ออ่านความทรงจำของทั้งสามคนกลับพบว่าพวกเขารู้จักเวยเวย อีกทั้งเวยเวยก็อยู่ในแดนเทพด้วย
ความทรงจำเกี่ยวกับเวยเวยของทั้งสามคนเริ่มต้นขึ้นที่หุบเขาซือกั้ว เวลานั้นเวยเวยบาดเจ็บหนัก แต่ทั้งสามคนไม่รู้ว่าเฉียวเวยเวยบาดเจ็บได้อย่างไร ในความทรงจำมีแต่ภาพเจ้าตำหนักเมฆาคอยดูแลเฉียวเวยเวย ทั้งยังตามหายามารักษาเฉียวเวยเวยอย่างไม่ยอมแพ้
ชิงสุ่ยเจินเหรินพอเดาได้รางๆ ว่าเจ้าตำหนักเมฆาคนนี้ก็คือเทพที่ร่วงหล่นไปยังแดนยมโลกเมื่อครานั้น ส่วนบุตรสาวเดินทางมาได้อย่างไร เขาก็เดาว่าบุตรสาวอาจตัดใจพรากจากเขาไม่ลง เมื่อเห็นเขาเดินทางมาจึงไล่ตามเข้ามาในแดนเทพด้วย
ท่านเทพองค์นั้นดูแลบุตรสาวของเขามากเพียงนี้ ในใจเขาเต็มไปด้วยความซาบซึ้งต่อท่านเทพ ทว่าในตอนที่เขาคิดจะไปกล่าวขอบคุณท่านเทพด้วยตนเอง เขาก็สัมผัสกลิ่นอายอันแสนคุ้นเคยได้จากตัวของอีกฝ่าย