ตอนพิเศษ 9 ดักจับ พี่ซิวมาแล้ว
“จับได้แล้ว” ศิษย์ใหม่คนหนึ่งของสำนักว่านเซี่ยงหิ้วตาข่ายที่กักตัวใต้เท้าเจ้าตำหนัก รีบเร่งฝีเท้าเดินเข้าไปหาเหลียวเจินเหรินที่กำลังตามหาไอมารมังกรอยู่
เหลียวเจินเหรินเพ่งสายตามอง “นี่มิใช่เด็กกินนมหรอกหรือ”
ฉือเฟิงเดินเข้ามา “ให้ข้าดูหน่อย”
เหลียวเจินเหรินยกมือ ลูกศิษย์ใหม่จึงยื่นตาข่ายพร้อมตัวเด็กไปตรงหน้าฉือเฟิง
ตอนฉือเฟิงเห็นเด็กน้อยที่อายุเพิ่งจะสามขวบนั้น บอกตามตรงว่าเขาตกใจไม่น้อย มารมังกรหลังจากฝึกตนไปถึงขั้นหนึ่งแล้ว จะสามารถแปลงกายตามข้อจำกัดหรือความชื่นชอบของตนได้ แต่เขายังไม่เคยได้ยินว่ามังกรน้อยตัวใดสามารถแปลงกายได้ตั้งแต่ยังเล็กเช่นนี้
เขายังคิดว่าพวกเขาจะเจอมังกรตัวเต็มวัยสักตัวเสียอีก…
เหลียวเจินเหรินเห็นชัดว่าคงจะคิดเช่นเดียวกัน เหลียวเจินเหรินหันมองโดยรอบ บอกเสียงเบาว่า “ฉือเฟิง จับมาผิดตัวหรือไม่”
ฉือเฟิงหันไปมองศิลาเหนี่ยวนำที่อยู่ในมือศิษย์ใหม่ แสงสีดำของศิลาเหนี่ยวนำทอประกาย บอกได้ว่ารับรู้ถึงไอมารมังกรอันเข้มข้น
และตัวฉือเฟิงเองก็ได้กลิ่นไอมารมังกรน้อยจากตัวเขาเช่นกัน
ฉือเฟิงหลับตา สูดกลิ่นเข้าไปลึกๆ เฮือกหนึ่งแล้วจึงลืมตาขึ้นช้าๆ “เป็นมารมังกร ไม่ผิดแน่”
ถึงจะไม่รู้ว่าเหตุใดเจ้ามังกรน้อยตัวนี้ถึงได้แปลงกายได้เร็วเพียงนี้ แต่บนตัวอีกฝ่ายมีไอมารมังกรอันบริสุทธิ์อยู่ เขาไม่มีทางได้กลิ่นผิดแน่
ฉือเฟิงค่อยๆ ยื่นมือไปลูบศีรษะเด็กน้อย “ไม่ได้พบมารมังกรสายเลือดบริสุทธิ์เช่นนี้มานานเท่าไรแล้วนะ”
ใต้เท้าเจ้าตำหนักนิ่งมองมือที่สามารถวางลงบนหน้าผากตนได้ทุกเมื่อ คิดในใจว่าหากกล้าถูกตัวข้า เจ้าได้ตายแน่!
สุดท้ายฉือเฟิงก็ไม่ได้วางมือลงไป แต่ดึงมือกลับ ข่มความตื่นเต้นในใจเอาไว้พลางเอ่ยช้าๆ ว่า “แปลงกายแล้วก็ดี ไอมารไม่เข้มข้นเพียงนั้น คงไม่ถูกพบได้ง่าย วันพรุ่งนี้รีบสู้รีบตัดสิน เราจะต้องเอาตัวมารมังกรออกจากสำนักเชียนหลันให้ได้ก่อนที่พวกเขาจะรู้ตัว”
ใต้เท้าเจ้าสำนักเตรียมจะลงมืออยู่แล้ว แต่เมื่อได้ฟังประโยคนั้นก็เก็บมือตนกลับมาเงียบๆ
ใต้เท้าเจ้าสำนัก “เป็นลม” อยู่ในตาข่าย ให้พวกเขาพาตัวกลับเรือนไปอย่างให้ความร่วมมือเต็มที่
คืนนี้ หลิงจือไม่ได้ให้เฉียวเวยเวยดื่มน้ำก่อนนอน เฉียวเวยเวยไม่ได้ตื่นกลางดึก หลับไปสนิทไปจนฟ้าสว่าง จึงไม่รู้ว่าจันทร์เสี้ยวสีทองของนางไม่ได้อยู่ในเรือนนั้นแล้ว
วันต่อมา ท้องฟ้าโปร่งใส ในเรือนลูกศิษย์ใหม่เริ่มการประลองรอบใหม่อีกครั้ง
ด้วยเพราะก่อนเริ่มประลองไม่ได้ตั้งกฎว่าลูกศิษย์ที่แพ้ไปแล้วจะเข้ามาประลองเป็นครั้งที่สองไม่ได้ ดังนั้นวันนี้เมื่อเริ่มการประลอง เด็กสาวรากปราณสวรรค์จึงใช้วิชาตัวเบาทะยานขึ้นไปบนแท่นประลอง
หลิงจือเห็นนางช่วงชิงโอกาสจากตนไป คิ้วเรียวจึงขมวดมุ่น เมื่อวานทั้งๆ ที่นางเป็นคนชนะ โดยหลักการแล้ววันนี้ควรเป็นนางออกไปประลองก่อนถึงจะถูก คนผู้นี้มีหน้าชิงออกไปก่อนได้อย่างไร
หลิงจือเพ่งสายตามองเด็กสาวรากปราณสวรรค์ แต่เด็กสาวรากปราณสวรรค์ไม่มองหลิงจือสักนิด คล้ายคิดว่าการที่ตนออกมาประลองถูกต้องตามหลักการทุกอย่าง
“อาจารย์!” หลิงจือหันไปมองผู้พิทักษ์ใหญ่
ผู้พิทักษ์ใหญ่เอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบ “เจ้านั่งลง”
นี่หมายความว่าไม่ให้นางชิงดีกับอีกฝ่าย
หลิงจือนั่งลงด้วยสีหน้าบูดบึ้ง
เด็กสาวรากปราณสวรรค์เลิกคิ้วอย่างได้ใจ
ลูกศิษย์คนอื่นๆ ไม่รู้ว่าเด็กสาวรากปราณสวรรค์ลงลานประลองโดยพลการ ยังคิดว่าทั้งหมดผู้พิทักษ์ทั้งสองเป็นคนจัดการ
“คงเพราะผู้พิทักษ์รองเห็นว่าอีกฝ่ายมีอาวุธญาณ เมื่อวานจึงให้อาวุธญาณกับศิษย์อาหลิงเอ๋อร์เช่นเดียวกันอย่างนั้นหรือ” ลูกศิษย์หญิงที่เพิ่งเข้าสำนักมาไม่นานถามขึ้น
ไม่แปลกที่นางจะคาดเดาเช่นนี้ เป็นเพราะเรื่องระฆังทองนั้นแพร่ไปทั่วแล้วจริงๆ คนทั่วสำนักต่างรู้ว่าผู้พิทักษ์รองให้อาวุธวิเศษชั้นเลิศกับเด็กสาวรากปราณสวรรค์เป็นการส่วนตัว เมื่อเป็นเช่นนี้จะแหกกฎอีกสักอย่างด้วยการให้อาวุธญาณสักชิ้นกับนางจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
ไม่เพียงพวกเขาที่คาดเดาเช่นนี้ กระทั่งหลิงจือก็คิดเช่นกัน
หากไม่ใช่เพราะมีอาวุธญาณที่เก่งกาจ เพื่อนบ้านของนางจะขึ้นไปบนแท่นประลองอีกได้อย่างไร จะขึ้นไปรนหาที่ให้ตนถูกหลู่เกียรติหรือ
แต่ไม่เท่าไรทุกคนก็ได้รู้ว่าพวกตนคิดผิด
ที่เด็กสาวรากปราณสวรรค์มีใจกล้าขึ้นไปบนแท่นประลองอีกครั้งนั้นไม่ใช่เพราะในมือนางมีอาวุธญาณที่ดีเลิศแต่อย่างใด แต่เพราะการฝึกตนของนาง…จู่ๆ ก็ถึงขั้นรากฐานสมบูรณ์แล้ว!
แค่ชั่วเวลาสั้นๆ เพียงหนึ่งคืน นางถึงขั้นพื้นฐานสมบูรณ์แล้ว!
ในประวัติศาสตร์สำนักเชียนหลัน ไม่เคยมีศิษย์คนใดที่ฝึกพื้นฐานที่รวดเร็วเช่นนี้มาก่อน กระทั่งอาจารย์บรรพบุรุษผู้บุกเบิกเขาก็ยังต้องใช้เวลาถึงหนึ่งร้อยวันเต็มๆ แต่เด็กสาวรากปราณสวรรค์เข้าสำนักมาถึงเวลานี้ แค่เพียงหกสิบวันเท่านั้น
ด้วยความเร็วนี้…เรียกได้ว่าสร้างความอัศจรรย์ให้กับศิษย์รุ่นหลังเลยทีเดียว
คนของสำนักว่านเซี่ยงก็ประหลาดใจเช่นกัน
เดิมทีเมื่อมีมารมังกรก็ควรละทิ้งศิษย์รากปราณสวรรค์กับรากปราณน้ำ แต่เวลานี้กลับเริ่มมีความคิดเดิมอีกครั้ง
แต่ยอดฝีมือที่พื้นฐานสมบูรณ์ไม่มีทางที่ศิษย์ใหม่จริงๆ จะรับมือได้อยู่แล้ว
ฉือเฟิงก็ไม่อยู่อีก เขาไปคอยอยู่เฝ้าเจ้ามังกรน้อยนั่น
ลูกศิษย์ใหม่ไม่กี่คนที่เหลืออยู่ ถึงแม้จะมีอาวุธญาณในมือกัน แต่ญาณในอาวุธเหล่านั้นล้วนอยู่ในขั้นแรกเริ่มของพื้นฐาน เด็กสาวรากปราณสวรรค์สู้กับคนในระดับเดียวกันได้อย่างสบายๆ แทบจะจบการประลองสองยกแรกไปได้อย่างรวดเร็ว
เหลียวเจินเหรินรู้สึกไม่ยินยอม ในมือเขายังมีอาวุธญาณที่กล้าแกร่งกว่านี้ สามารถเอาออกมาให้ลูกศิษย์ใช้ได้ เพียงแต่อาวุธญาณต้องทำความรู้จักกับเจ้าของก่อน ซึ่งต้องใช้เวลาเล็กน้อย เมื่อเป็นเช่นนี้จึงไม่อาจจะทำได้ในเวลาอันสั้น
เมื่อคิดดูแล้วว่าสำนักเชียนหลันอาจพบว่ามารมังกรหายไปได้ทุกเมื่อ เหลียวเจินเหรินก็คิดว่าจะเสียเวลาเช่นนี้ต่อไปไม่ได้
เพราะถึงอย่างไรต่อให้รากปราณสวรรค์ล้ำค่าเพียงใด ในร้อยปีพันปียังอาจพบได้เป็นคนที่สอง แต่เจ้ามังกรเด็กตัวนั้นกลับมีโอกาสสูงที่จะเป็นมารมังกรตัวสุดท้ายในหกแดน
ไม่ว่าอย่างไรจะต้องพามารมังกรกลับไปอย่างราบรื่นให้ได้
เหลียวเจินเหรินกัดฟันยอมแพ้ ยอมมอบยาหลิงตันสายฟ้าสิบเม็ดให้แต่โดยดี
ยาหลิงตันสายฟ้าได้มาแล้ว เด็กสาวรากปราณสวรรค์กับหลิงจือก็สามารถรักษาไว้ได้ สำนักเชียนหลันได้รับชัยชนะอย่างยิ่งใหญ่ จึงไม่สร้างความลำบากให้สำนักว่านเซี่ยง ห่อของดีประจำสำนักให้หลายหีบอย่างมีน้ำใจ ให้เหลียวเจินเหรินนำกลับไปด้วย
ยาหลิงตันสายฟ้าสิบเอ็ดเม็ด แลกกลับมาได้เพียงของขึ้นชื่อของที่นี่ไม่กี่หีบ หากไม่ใช่เพราะได้มารมังกรมาอยู่ในมือ เหลียวเจินเหรินคงได้เดือดดาลตายไปแล้ว!
ทางด้านนี้ คณะของเหลียวเจินเหรินหามหีบลงเขา อีกด้านหนึ่งหลิงจือก็กลับไปยังห้องของตน
ด้วยเพราะการประลองจบเร็ว เวลานี้จึงยังไม่ทันถึงยามเที่ยง ตามปกติในเวลานี้นางยังอยู่ฝึกวิชาที่เรือนผู้พิทักษ์ใหญ่อยู่ วันนี้เมื่ออยู่ๆ กลับมา เดิมทีคิดจะกลับมาให้เฉียวเวยเวยตกใจเล่น แต่เดินหาจนทั่วเรือนแล้วก็ยังหาตัวเฉียวเวยเวยไม่เจอ
“เจ้าเห็นน้องสาวข้าออกไปทางไหนหรือไม่” หลิงจือถามสาวใช้เรือนข้างเคียงที่กำลังปัดกวาดอยู่
สาวใช้สายหน้า “ไม่เห็นนะ”
นางไม่เห็นจริงๆ เมื่อเช้านางยังเห็นเด็กคนนั้นรถน้ำต้นไม้อยู่ในเรือนอยู่เลย หันไปอีกทีนางก็หายไปเสียแล้ว เหตุการณ์เช่นนี้เกิดซ้ำแทบจะทุกวัน แต่ไม่มีใครคิดว่านางออกไปข้างนอก ยังคิดว่านางกลับเข้าไปอยู่ในห้องเสียอีก
“ไม่อยู่ในห้องหรือ” สาวใช้ถาม
หลิงจือเอ่ยด้วยความเป็นห่วง “ไม่อยู่”
เด็กจากครอบครัวยากจนไม่ได้ถูกเลี้ยงดูอย่างประคบประหงม ตั้งแต่ตอนอยู่ในป่า หลิงจือที่ต้องเลี้ยงท้องคนทั้งสองคน จึงมักต้องออกไปทำงานในสวน บางครั้งไปทำทีก็หายไปครึ่งวัน เฉียวเวยเวยมักจะรออยู่ในบ้านอย่างว่าง่าย หลิงจือไม่เคยเป็นห่วงว่านางจะเดินหายไปไหน เวลานี้เมื่อนางไม่อยู่ หลิงจือจึงอดเป็นห่วงว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับนางไม่ได้!
หลิงจือรีบไปหาผู้พิทักษ์ใหญ่
ผู้พิทักษ์ใหญ่ส่งวิชาตาทิพย์ออกไปค้นหาในยอดเขาลูกศิษย์ใหม่
ฉือเฟิงร่ายวิชาใส่หีบ “เรียบร้อย ข้าปิดกั้นไอมารมังกรไปแล้ว อีกเดี๋ยวตอนออกไป สำนักเชียนหลันไม่มีทางรับรู้ได้แน่นอน”
พวกเขาใช้ไม้คานหามหีบเดินลงจากเขา
ในที่สุดก็จะหลุดพ้นจากเจ้ามังกรแสบตัวนั้นสักที ใต้เท้าเจ้าตำหนักยินดียิ่งนัก ถึงแม้ว่าคนของสำนักว่านเซี่ยงจะเอายาสลบให้เขากิน เขาก็กินลงไปอย่างให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี
แต่ในขณะที่คณะของพวกเขากำลังจะเดินพ้นจากเขาศิษย์ใหม่นั้น ผู้พิทักษ์ใหญ่กับหลิงจือก็ตามมาถึง
เหลียวเจินเหรินเลิกคิ้ว หรือพวกเขาจะรู้ตัวแล้ว
นัยน์ตาเหลียวเจินเหรินมีแววร้อนตัว ระบายยิ้มเต็มใบหน้าเอ่ยว่า “ที่แท้ก็ผู้พิทักษ์ใหญ่นี่เอง ผู้พิทักษ์ใหญ่ออกมาส่งพวกข้าหรือ”
ผู้พิทักษ์ใหญ่เอ่ยเข้าประเด็นทันที “ในหีบนั่นมีอะไร”
นางชี้ไปยังหีบที่ใต้เท้าเจ้าตำหนักอยู่พอดี
เหงื่อเย็นๆ ของเหลียวเจินเหรินถึงกับผุดขึ้นมา ฝืนทำเป็นสงบนิ่งเอ่ยว่า “มิใช่ของดีประจำถิ่นที่พวกเจ้าให้ข้าหรอกหรือ”
ผู้พิทักษ์ใหญ่ “พวกเราให้ไปเพียงสามหีบ หีบที่สี่นี่มาได้อย่างไร”
เหลียวเจินเหริน “พวกเรานำมาเองน่ะสิ!”
ผู้พิทักษ์ใหญ่ตีหน้าขรึม “เปิดออกดูที”
ฉือเฟิงกำมือแน่นด้วยความหนักใจ
เหลียวเจินเหรินเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “นี่ผู้พิทักษ์ใหญ่ เจ้าทำเช่นนี้ไม่ถูกนะ เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาค้นสิ่งของของพวกข้า เจ้ากำลังสงสัยว่าพวกข้าทำอะไรตุกติกหรือ”
ผู้พิทักษ์ใหญ่ “สาวใช้ในสำนักเชียนหลันคนหนึ่งของพวกเราหายไป ข้าใช้วิชาตาทิพย์ออกสำรวจแล้วไม่พบร่องรอยของนาง”
เหลียวเจินเหรินเอ่ยประชดว่า “เช่นนั้นพวกเจ้าสงสัยพวกเราหรือ”
ผู้พิทักษ์ใหญ่หันไปมองหีบใบที่สองที่ฉือเฟิงหามอยู่ “หีบใบนี้ ตาทิพย์ของข้าเข้าไปไม่ได้”
เหลียวเจินเหรินมองหน้านางก็รู้ว่านางไม่ได้โกหก นางไม่ได้มาขวางพวกเขาไปเพราะตามหามารมังกรไม่พบ แต่นางกำลังหาสาวใช้นางนั้นอยู่จริงๆ!
เหลียวเจินเหรินแทบอยากจะเป็นบ้า อะไรที่เรียกว่าคนจะซวยแค่กินน้ำก็ยังติดฟันเป็นเช่นนี้เอง สาวใช้อะไรนั้นจำเพาะจะต้องมาหายไปเอาตอนนี้ เช่นนี้ไม่ใช่เพราะไม่อยากให้พวกเขาออกไปดีๆ หรอกหรือ
เหลียวเจินเหรินยกนิ้วขึ้นมาเอ่ยว่า “ข้าขอสาบานต่อสวรรค์ ข้าไม่ได้ขโมยตัวสาวใช้เจ้าไปจริงๆ ข้าจะขโมยตัวสาวใช้คนหนึ่งไปทำอะไรกัน สำนักว่านเซี่ยงของข้าขาดสาวใช้คนหนึ่งนี้หรือ อีกอย่างเจ้าก็เห็นอยู่ว่าหีบใบนี้เล็กเพียงนี้ สาวใช้เจ้าอายุสามขวบหรือ ถึงได้เข้าไปอยู่ในนี้ได้”
หลิงจือบอกว่า “น้องสาวข้าตัวเล็กเท่านี้จริงๆ!”
เหลียวเจินเหรินอึ้งไป
ชั่วขณะที่อึ้งไปนั้น ผู้พิทักษ์ใหญ่ใช้พลังปราณเอาหีบใบนั้นไปแล้ว
เหลียวเจินเหรินคิดอยากขวางแต่ก็สายไปเสียแล้ว หลิงจือเปิดหีบออกดูแล้ว
ถึงแม้ออกจะผิดแผนอยู่สักหน่อย แต่ใต้เท้าเจ้าตำหนักก็ไม่ตื่นตระหนก เพราะถึงอย่างไรเดิมทีเจ้าของร่างนี้ก็เป็นเด็กกำพร้า ไร้บิดาขาดมารดา ไร้พี่น้อง ไร้ญาติขาดมิตร เป็นดาวโดดเดี่ยวอยู่แล้ว อย่างไรคงไม่เกี่ยวข้องกับสำนักเชียนหลัน อย่างไรตนก็สามารถออกไปได้
แต่ชั่วขณะต่อมา ผู้พิทักษ์ใหญ่ก็เอ่ยเรียกเขา “ศิษย์น้องเล็ก?”
ใต้เท้าเจ้าตำหนัก “?!?!?!”