ตอนพิเศษ 86-2 ศึกระหว่างท่านเทพ ความลับคูเมืองสวรรค์ (1)
หนีฉางเข้าใจเช่นเดียวกับคนอื่นๆ ว่าตราพญาเทพเกิดจากความทรงจำของพญาเทพ ที่ทุกคนนึกถึงมันก็เป็นเพราะภายในของมันเก็บซ่อนวิชาที่ยิ่งใหญ่เอาไว้ ใครเลยจะคิดว่ามันจะมีจุดกำเนิดที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้
“เรื่องพวกนี้ใครเป็นคนบอกเจ้า” หนีฉางถาม
เทพเป่ยไห่ “ข้าเห็นจากกระจกปี้คง”
“เจ้ายังเห็นอะไรอีก” หนีฉางถามต่อ
เทพเป่ยไห่บอกว่า “ไม่มีอะไรแล้ว กระจกปี้คงถึงอย่างไรก็เป็นอาวุธวิเศษของผานกู่ต้าตี้ เทพตัวเล็กๆ อย่างข้าเรียกใช้งานมันไม่ได้ มันแค่แสดงให้ข้าเห็นเพียงครั้งเดียว หลังจากนั้นก็ไม่สนใจข้าอีก”
ที่เทพเป่ยไห่ไม่ได้บอกก็คือครั้งนั้นเป็นเพราะกระจกปี้คงเบื่อหน่ายเกินจะทน จึงฉายอะไรแก้เบื่อเล่นอยู่พักหนึ่งจนเขาไปแอบเห็นเข้า แต่เขาแอบดูอยู่ไม่เท่าไร กระจกปี้คงก็รู้ตัวเสียก่อน
ท่านเทพเป็นเทพที่เป็นรองเพียงพญาเทพกับจอมเทพ แต่กับผานกู่ต้าตี้ยังไม่อาจเอามาเปรียบเทียบกันได้
เทพเป่ยไห่ยกมุมปากยิ้ม “ตราพญาเทพมีอำนาจน่าเกรงขาม คนทั่วไปขโมยมันไปไม่ได้ แต่กับตำหนักเมฆานั้นต่างออกไป เขาเป็นผู้ปกปักษ์ตราพญาเทพ เขาจะต้องมีหนทางขโมยตราพญาเทพไปแน่นอน!”
หนีฉางเอ่ยด้วยความฉุนเฉียว “เช่นนั้นพวกเราจะยังชักช้าอยู่ไย ยังไม่รีบไปแย่งตราพญาเทพมาอีก”
…
จุดประสงค์ที่เทพเป่ยไห่เรียกหนีฉางมาก็เพื่อต้องการให้นางร่วมมือกับเขาเล่นงานหมิงซิว ความเก่งกาจของหมิงซิวเป็นเช่นไรจอมเทพได้ด้วยทดสอบให้แล้ว เขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขาสองคนเลยสักนิด ทั้งสองระดมองครักษ์เทพกลางดึกมาได้หนึ่งหมื่นนาย ฟ้ายังไม่ทันสางก็เดินทัพมุ่งหน้าไปยังดินแดนลับของหมิงซิวแล้ว
แต่คณะของหมิงซิวไม่ได้อยู่ที่ดินแดนลับกันแล้ว
เทพเป่ยไห่สั่งให้คนตามหาทันที
หมิงซิวพาทุกคนออกไป เดิมทีก็ไปได้ไม่ไกลนัก แดนเทพกว้างใหญ่เพียงนี้แต่ทุกที่แทบจะเป็นถิ่นฐานของจอมเทพไปเสียหมด คณะของพวกเขาไม่มีที่ให้หลบหนี หมิงซิวพลันหัวไว พาทุกคนเหาะไปยังคูเมืองสวรรค์
เทพเป่ยไห่และหนีฉางเหาะตามมาติดๆ
แต่จังหวะที่กำลังจะเหาะเข้ามายังน่านฟ้าเหนือคูเมืองสวรรค์นั้น ทั้งสองก็รีบรั้งตัวเองไว้
บนเรือเหาะที่หมิงซิวแปลงมาจากข่ายอาคมมีอวิ๋นเยี่ย อวิ๋นเชียนรั่วรวมถึงพวกจู๋อียืนอยู่
หมิงซิวลอยตัวอยู่กลางอากาศเหนือคูเมืองสวรรค์ ส่วนมารมังกรน้อยเหาะไปมาอยู่ข้างกายเขา
เทพเป่ยไห่หรี่ตาลงด้วยความฉงน “เจ้าไม่ถูกคูเมืองสวรรค์กดพลังฝึกตนเอาไว้เลยหรือ”
หมิงซิวหัวเราะเสียงเย็น “ถูกต้อง หากไม่กลัวตายก็เข้ามาได้เลย”
เทพเป่ยไห่ทำสัญญาณมือ อินทรีดำหกปีกตัวหนึ่งก็พุ่งทะยานเข้าหาหมิงซิวทันที!
แต่มันยังไม่ทันได้เข้าใกล้หมิงซิวก็ถูกมารมังกรน้อยงับคอขาดก่อนแล้ว
หากสู้กันตัวเปล่าแล้ว สัตว์ร้ายในที่นี้ทั้งหมดล้วนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมังกรน้อย หากสู้กันที่พลังฝึกตน พวกเขามาอยู่ที่คูเมืองสวรรค์ก็เป็นเพียงคนธรรมดา คนธรรมดาหมื่นคนเมื่อตกมาอยู่ในมือท่านเทพก็เป็นเพียงมดแมลงกลุ่มหนึ่งเท่านั้น
เทพเป่ยไห่ขี่อยู่บนหลังวิหคเฟิ่งห้าสีของเสวี่ยหลันอี เขาเหยียดยิ้มมุมปาก “ดูท่าเจ้าจะมีความสามารถมากกว่าที่ข้าคิด แต่ก็ไม่เป็นไร เจ้าอยู่ที่คูเมืองสวรรค์ไปก็แล้วกัน ข้าจะคอยดูว่าพวกเจ้าอยู่กันได้นานแค่ไหน ข้าไม่เชื่อหรอกว่าชั่วชีวิตนี้เจ้าจะไม่ก้าวเท้าออกจากคูเมืองสวรรค์เลย”
อวิ๋นเยี่ยเหลือบมองหมิงซิวก่อนจะพึมพำประชดว่า “ข้าบอกแต่แรกแล้วว่าให้เจ้ารีบเก็บพลังในคูเมืองสวรรค์กลับมา เจ้าก็ไม่ฟัง เวลานี้คงนึกเสียใจแล้วกระมัง ข้าจะบอกให้นะ ข้าไม่ยอมถูกกักตัวอยู่ในนี้ไปชั่วชีวิตหรอก!”
หมิงซิวอยากจะบีบคอน้องชายตัวเองให้ตายจริงๆ “ไม่ให้เจ้าอยู่ที่นี่ไปชั่วชีวิตหรอกน่ะ”
เทพเป่ยไห่เอ่ยกลั้วหัวเราะ “มิสู้พวกเรามาทำข้อตกลงกันดีไหม เจ้ามอบตราพญาเทพมาแล้วข้าจะไปขอร้องจอมเทพ ให้สร้างตำหนักเมฆาให้เจ้าใหม่ นับตั้งแต่นี้ไปเจ้าจะยังคงเป็นเจ้าตำหนักเมฆา หากเจ้าไม่ยินดีอยู่ในแดนเทพ ข้าก็สามารถเปิดเส้นทางสู่แดนเทพ ปล่อยเจ้ากลับแดนล่างไปได้เช่นกัน ว่าอย่างไร ข้าจริงใจพอแล้วกระมัง”
หมิงซิวตอบเสียงเย็น “อย่าว่าแต่ตราพญาเทพไม่ได้อยู่กับข้าเลย ต่อให้อยู่ข้าก็ไม่มีทางให้มันกับคนชั้นต่ำเช่นพวกเจ้า”
มุมปากเทพเป่ยไห่กระตุกเบาๆ “ดูท่าสุรามงคลเจ้าไม่ดื่ม แต่อยากดื่มสุราลงทัณฑ์สินะ เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าเมื่อเจ้าอยู่เหนือคูเมืองสวรรค์แล้ว ข้าจะทำอะไรเจ้าไม่ได้”
เขาพูดจบก็ชักกระบี่ตรงเอว ฟันแหวกอากาศจนเกิดเป็นรูโหว่ ตรงจุดที่เป็นรูโหว่นั้นมีควันสีดำกลุ่มหนึ่งมุดตัวเข้าไปก่อนจะควบรวมกลายเป็นฝ่ามือใหญ่ข้างหนึ่ง
ฝ่ามือนั้นค่อยๆ ลอยตัวขึ้นเหนือคูเมืองสวรรค์เข้าต่อสู้กับกฎภายในคูเมืองแล้วตบทุกคนตกลงไป!
หมิงซิวกางข่ายอาคมออกทันที
น่าเสียดายที่ข่ายอาคมกางอยู่ได้แค่พริบตาเดียวก็ถูกฝ่ามือใหญ่หนึ่งร้อยฉื่อตบจนแหลกละเอียด
หมิงซิวเจ็บที่หน้าอก มีเลือดไหลออกมาจากมุมปาก
ฝ่ามือใหญ่ยังคงรุกรานต่อไป
“อ๊า…พี่ใหญ่…” ข่ายอาคมที่พวกอวิ๋นเชียนรั่วอยู่ถูกตบขาดไปแล้ว ตัวนางลอยละลิ่วลงสู่เบื้องล่าง อีกด้านหนึ่งอวิ๋นเยี่ยก็กำลังตกลงไปเช่นกัน
มารมังกรน้อยกับหมิงซิวช่วยไว้ได้คนละคน แต่ข้างหลังยังมีมากกว่านั้นอีก
พวกจู๋อีตกลงไปในคูเมืองสวรรค์ราวกับโยนเกี้ยวลงหม้อต้ม
มารมังกรน้อยจับอวิ๋นเชียนรั่วโยนขึ้นหลังแล้วพุ่งทะยานลงไปคว้าตัวจู๋อีขึ้นมา
ฝ่ามือใหญ่หันไปจะปัดใส่หมิงซิว
หมิงซิวอุ้มอวิ๋นเยี่ยไว้ทะยานตัวออกไป
ฝ่ามือใหญ่คว้าได้แต่อากาศ แต่กลับทำให้เกิดคลื่นใหญ่หนึ่งจั้งขึ้นที่ผิวน้ำ คลื่นน้ำป่ายปัดเข้าไปหามารมังกรน้อย มารมังกรน้อยถูกคลื่นซัดจนกลิ้งไปหลายตลบ จู๋อีกับอวิ๋นเชียนรั่วจับเขามังกรของนางอยู่คนละข้างเลยถูกคลื่นซัดจนสะบักสะบอมไปด้วย
หมิงซิวใช้มือหนึ่งคว้าอวิ๋นเยี่ยไว้ อีกมือหนึ่งคว้าหางมารมังกรน้อย มารมังกรน้อยจึงนับว่าประคองตัวไว้ได้เสียที
มารมังกรน้อยสำลักน้ำเข้าไปหลายอึก
ฝ่ามือใหญ่รุกไล่กดดันเข้าหาทุกคนอีกครั้ง ทุกคนถูกคว้าตัวเข้าไปอยู่ในมือมัน จากนั้นมันค่อยๆ ออกแรงกำทุกคนทีละนิด
“อ๊าก…เจ็บเหลือเกิน!” กระดูกของอวิ๋นเชียนรั่วแทบจะแหลกคามือมันแล้ว
มารมังกรน้อยก็ร้องโอดโอยด้วยความทรมาน
อวิ๋นเยี่ยเปลี่ยนร่างเป็นร่างเดิม
ส่วนหมิงซิวรู้สึกว่าจิตตั้งต้นของตนกำลังถูกฝ่ามือใหญ่ฉีกทึ้ง เจ็บปวดจนสมองแทบจะระเบิด
ในขณะที่ทุกคนใกล้จะถูกขยำจนกลายเป็นเศษเนื้อนั้น จู่ๆ ผิวน้ำที่เต็มไปด้วยระลอกคลื่นก็เริ่มแข็งตัวทีละนิด บรรยากาศที่อบอุ่นก็พลันเปลี่ยนเป็นเยือกแข็ง
น้ำแข็งนั้นไม่ได้อยู่แค่เพียงผิวน้ำ แต่ยังแข็งเลยมาถึงฝ่ามือใหญ่นั้นด้วย
ฝ่ามือใหญ่ถูกแช่แข็ง
ก่อนที่วินาทีต่อมา มือที่เป็นน้ำแข็งนั้นจะระเบิดแตกออก
เทพเป่ยไห่เห็นท่าไม่ดีจึงรีบตะโกนสั่งว่า “พลธนู ยิง!”
ลูกธนูนับพันนับหมื่นพุ่งออกไปราวกับห่าฝน แต่ยังไม่ทันจะยิงถูกใคร ลูกธนูก็แข็งค้างอยู่กลางอากาศไปแล้ว
หนีฉางตะลึงค้าง “นี่มัน…นี่มันอะไรกัน”
ระหว่างนั้นน้ำแข็งที่ดำมืดทางด้านล่างก็ปริแตกออก คลื่นยักษ์ลูกหนึ่งพุ่งขึ้นมาก่อนจะม้วนเอาตัวทุกคนลงใต้น้ำไป
…
หมิงซิวถูกบางอย่างกดทับหนักๆ จนได้สติ เขาลืมตาขึ้นมาเห็นว่าตนนอนอยู่ในเปลือกหอยขนาดใหญ่ยักษ์ เปลือกหอยนี้วางอยู่บนหินก้อนหนึ่ง ส่วนข้างใต้ก้อนหินเป็นพืชน้ำแห้ง อวิ๋นเยี่ยกับอวิ๋นเชียนรั่วนอนอยู่ในกองพืชน้ำนั้นเอง
ทั้งสองหายใจสม่ำเสมอ ดูกำลังหลับสบาย
พวกจู๋อีนอนกระจัดกระจายกันอยู่อีกด้านหนึ่ง กำลังหลับอยู่เช่นกัน แต่ไม่ได้เป็นอะไรมาก
มารมังกรน้อยกลับตื่นอยู่ เวลานี้กำลังนอนซบอยู่กับอกเขา อุ้งมือน้อยกอดคอเขาไว้ ส่วนหางโอบรอบเอวเขา ท่าทางคล้ายกำลังขวัญผวา
หมิงซิวนึกถึงภาพน้ำแข็งใต้พิภพเมื่อครู่ ก็ไม่แปลกที่นางจะตกใจจนเป็นเช่นนี้
หมิงซิวลุกขึ้นนั่งแล้วลงจากเปลือกหอย
มารมังกรน้อยห้อยอยู่บนตัวเขาไม่ยอมปล่อย
หมิงซิวกอดนางไว้ กวาดตามองสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยนี้ ดูเหมือนพวกเขาจะอยู่ใต้น้ำ แต่ด้วยข่ายอาคมอันกล้าแข็งได้ตัดขาดมันออกจากน้ำ มีฝูงปลาจำนวนมากว่ายอยู่ด้านนอกข่ายอาคม
ด้านหลังเขาเป็นตำหนักผลึกน้ำแข็ง
ไม่รู้เพราะเหตุใดเขาถึงได้รู้สึกว่าตนมาอยู่ที่วังแห่งหนึ่ง
หมิงซิวมองมังกรน้อยที่ห้อยอยู่ตรงหน้าอกตน “พวกเราเข้าไปดูกันไหม”
มารมังกรน้อยพยักหน้า
หมิงซิวบอกว่า “หากเจ้ากลัวก็แปลงร่างเป็นบัวน้ำแข็งเถิด เดี๋ยวข้าเอาเจ้าใส่กระเป๋า”
มารมังกรน้อยส่ายหน้า หางน้อยๆ ยื่นออกไปนอกข่ายอาคม คว้าปลาตัวหนึ่งมาเอาเข้าปากหน้าตาเฉย
หมิงซิวอุ้มมารมังกรน้อยเข้าไปในวังที่เต็มไปด้วยบรรยากาศที่ไม่คุ้นเคย
ระหว่างสองข้างทางเดินเล็กๆ มีต้นไม้ใบหญ้าที่ไม่เคยเห็นที่ไหนขึ้นอยู่ คอยส่งกลิ่นหอมให้เป็นระยะๆ
“มีคนอยู่รึไม่” หมิงซิวถาม
ต๊อก ต๊อก ต๊อก
ตรงสุดทางเดินมีเสียงวางหมากดังลอยมาให้ได้ยิน
มารมังกรน้อยใช้หางตวัดเกี่ยวปลามาอีกด้วย ศีรษะซุกอยู่กับอกของหมิงซิวก่อนจะแอบเอาปลาเข้าปาก
หมิงซิวอุ้มมารมังกรน้อยค่อยๆ เดินเข้าไปจนสุดทาง จนไปถึงสวนดอกไม้บรรยากาศวิจิตรงดงามสวนหนึ่ง
ใต้ต้นเถาภายในสวนดอกไม้ มีบุรุษในอาภรณ์สีขาวคนหนึ่งนั่งอยู่
เสื้อผ้าอาภรณ์ของบุรุษผู้นั้นดูคุ้นตา เหมือนว่าเคยเห็นที่ไหนมาก่อน
หมิงซิวนิ่งไปพักหนึ่ง มองประเมินอีกฝ่ายด้วยสายตาประหลาด แต่ยิ่งเขาพิจารณาอีกฝ่ายเท่าไรก็ยิ่งยากที่จะข่มความรู้สึกที่พลุ่งพล่านในใจเอาไว้
“ข้ารู้จักเจ้าหรือไม่” หมิงซิวเดินเข้าไปในสวนดอกไม้
บุรุษผู้นั้นหันมาช้าๆ เผยให้เห็นดวงหน้าหล่อเหลาที่ต่อให้ทาเสียดำเมี่ยมเขาก็ยังจำได้ ใครคนนั้นระบายยิ้มสุภาพ “ในที่สุดเจ้าก็มาเสียที”
“พี่ใหญ่! พี่ใหญ่!”
อวิ๋นเชียนรั่วฟื้นแล้ว นางเริ่มตามหาหมิงซิวด้วยความร้อนใจ นางวิ่งตรงเข้าไปในสวนดอกไม้ก็เห็นบุรุษที่นั่งวางหมากอยู่ที่โต๊ะในสวน นางพุ่งเข้าไปสวมกอดอีกฝ่ายด้วยความยินดี “พี่ใหญ่!”
หมิงซิวตะโกนเรียกน้องสาว “รั่วเอ๋อร์!”
“เอ๋?” อวิ๋นเชียนรั่วหันกลับไปมองด้วยความแปลกใจ นางหันไปมองหมิงซิวแล้วหันกลับมามองบุรุษที่ตนกอดอยู่ ใบหน้างามถอดสีขณะขณะทะลึ่งตัวลุกขึ้น “เหตุใดถึงมีพี่ใหญ่สองคนได้”
หมิงซิวนิ่งมองอีกฝ่าย “เจ้าเป็นใคร”
บุรุษผู้นั้นระบายยิ้มบาง “เจ้าตำหนักเมฆา”
หมิงซิวพลันกำหมัดแน่น “เช่นนั้นข้าเป็นใคร”