ตอนพิเศษ 86-1 ศึกระหว่างท่านเทพ ความลับคูเมืองสวรรค์ (1)
อวิ๋นเยี่ยเดินอยู่หนึ่งวันหนึ่งคืน ขาขาวเรียวยาวแทบขาดสะบั้น เท้าก็บวมจนดูไม่ได้ แต่ในที่สุดเขาก็กลับถึงดินแดนลับเสียที
หมิงซิวนั่งอยู่บนเก้าอี้ม้าหินใต้ชายคา หันหลังให้ประตูใหญ่
อวิ๋นเยี่ยพอเห็นแผ่นหลังที่ส่องประกายดุจแสงจันทร์ก็รู้สึกว่าไฟโทสะในกายสุมรุมขึ้นมาอีกครั้ง เดิมทีเขาเหนื่อยสายตัวแทบขาดอยู่แล้ว แต่ไม่รู้ตอนนั้นไปเอาพละกำลังมาจากไหน คว้าท่อนไม้บนพื้นขึ้นมาพุ่งเข้าใส่หมิงซิวพร้อมไอสังหารหนาแน่น!
ท่อนไม้ถูกเงื้อขึ้นแล้วแต่สองเท้ากับสะดุดกันเอง ล้มหน้าคะมำลงกับพื้นหญ้าแข็งเย็น
…
กลับมาเอ่ยถึงตำหนักเสวี่ยซาน หลังจากถูกมารมังกรน้อยพังตำหนักไปแล้ว เจ้าตำหนักหนีไม่รู้จะไปอยู่ที่ใด จำน้องพาลูกศิษย์ของตนไปขอพักอาศัยที่ตำหนักจอมเทพเป็นการชั่วคราว
หนีฉางพอไปถึงตำหนักจอมเทพแล้วก็แสดงความเคารพต่อฝ่ามือใหญ่ที่ทำให้ท้องผ้าเกิดเงาดำนั้น “ขอบคุณท่านจอมเทพ!”
ฝ่ามือใหญ่นั้นค่อยๆ หายไป มีลูกศิษย์ในตำหนักเข้ามาต้อนรับ เป็นลูกศิษย์สตรีนางหนึ่ง ในตำหนักจอมเทพถึงแม้โดยมากจะเป็นศิษย์ผู้ชาย แต่ตำหนักเสวี่ยซานมีแต่สตรี ดังนั้นคนที่ออกมาต้อนรับพวกนางจึงเป็นสตรีเช่นกัน
ศิษย์สตรีนางนั้นเอ่ยทักทายหนีฉางอย่างมีมารยาท “เจ้าตำหนักหนี จอมเทพมีคำสั่งให้ข้ามารับท่าน วันนี้พวกท่านพักกันที่หอชีเย่ว์ก็แล้วกัน”
หอชีเย่ว์เป็นสถานที่ที่คอนข้างเงียบสงบ มีพลังปราณเทพอุดมสมบูรณ์ซึ่งเหมาะกับเจ้าตำหนักหนีในเวลานี้เป็นอย่างยิ่ง
หนีฉางเอ่ยขอบคุณ
ศิษย์สตรีนางนั้นพาหนีฉางรวมถึงลูกศิษย์ตำหนักเสวี่ยซานคนอื่นๆ เข้าไปในหอชีเย่ว์
“ข้าวของทุกอย่างจัดเตรียมไว้ให้เจ้าตำหนักหนีเรียบร้อยแล้ว ข้าจะคอยเฝ้าอยู่ข้างนอก เจ้าตำหนักและพี่หญิงทุกคนต้องการอะไรเรียกใช้ข้าได้ทุกเมื่อ” ศิษย์สตรีนางนั้นเอ่ยพร้อมอมยิ้มน้อยๆ
หนีฉางพยักหน้า “ลำบากแม่นางแล้ว”
ศิษย์สตรีนางนั้นถอยออกไปเงียบๆ
พอนางไปแล้วสีหน้าหนีฉางก็ขรึมลง
เจ้าตำหนักเมฆาหมิ่นเกียรติศิษย์รักของนาง มารมังกรน้อยทำลายตำหนักของนาง บัญชีแค้นนี้นางจะต้องทวงคืนกลับมาทั้งหมดให้ได้!
จังหวะนั้นศิษย์รักอีกคนหนึ่งของหนีฉางก็เดินเข้ามา ศิษย์รักผู้นี้มีชื่อว่าไฉ่เย่ว์ เป็นศิษย์พี่หญิงของธิดาเทพ แต่พลังฝึกตนสู้ธิดาเทพไม่ได้ ตลอดหลายปีมานี้นางช่วยหนีฉางจัดการเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ภายในตำหนักเสวี่ยซานและนับว่าเป็นคนที่หนีฉางให้ความสำคัญอย่างมากคนหนึ่ง
“อาจารย์ คนของเทพเป่ยไห่มาเจ้าค่ะ” ไฉ่เย่ว์เอ่ยเสียงเบา
“มาหาข้าหรือ” หนีฉางถามด้วยความฉงน
ไฉ่เย่ว์พยักหน้า “เจ้าค่ะ”
หนีฉางเพิ่งเสีย “ดินแดน” ของตนไป ไม่มีแก่ใจจะต้อนรับผู้คน แต่เทพเป่ยไห่เป็นน้องชายแท้ๆ ของจอมเทพ คนที่เขาส่งมานางไม่มีเหตุให้บอกปัด “ให้เขาเข้ามาเถิด”
คนที่มาคือไหวอวี่ หนึ่งในสามจอมทัพเทพที่อยู่ใต้อาณัติของเทพเป่ยไห่ หลังจากเป่ยชวนตายไป เขาก็กลายเป็นคนสนิทอันดับหนึ่งของเทพเป่ยไห่
ไหวอวี่ประสานมือเอ่ยทักทายหนีฉางอย่างมีมารยาท “เรื่องที่ตำหนักเสวี่ยซานถูกทำลายข้าได้ยินมาระหว่างทางแล้ว ขอเจ้าตำหนักหนีอย่าได้โกรธจนเสียสุขภาพไป”
ช่างเอ่ยได้ถูกเรื่องยิ่งนัก เวลานี้เรื่องที่หนีฉางไม่อยากให้เอ่ยถึงที่สุดก็คือเรื่องที่ตำหนักเสวี่ยซานถูกทำลายนี้เอง เมื่อคิดว่านางเป็นถึงเทพเจ้าตำหนักผู้ยิ่งใหญ่แต่กลับต้องมาตกอยู่ในสภาพที่ตำหนักถูกทำลาย หนำซ้ำสิ่งที่ทำลายยังเป็นพลังสายฟ้าที่นางเรียกมาใช้เองอีก หากเรื่องนี้แพร่ออกไปน่ากลัวว่านางคงได้กลายเป็นเรื่องสนุกปากของชาวบ้านเสีย!
สีหน้าของหนีฉางดูเฉยชาอยู่บ้าง “เจ้ามาหาข้าด้วยธุระอันใดหรือ”
ไหวอวี่เข้าใจว่านางกำลังเดือดดาล เมื่อเห็นสีหน้าอีกฝ่ายดูไม่ดีนัก เขาก็ไม่นึกโกรธ แต่กลับเอ่ยด้วยความเกรงใจขึ้นว่า “ท่านเทพของข้าให้มาเชิญท่าน”
“ท่านเทพเป่ยไห่?” หนีฉางอึ้งไปเล็กน้อย
ไหวอวี่บอกว่า “ใช่แล้ว ท่านเทพของข้าให้มาเชิญเจ้าตำหนักหนีไปที่ตำหนักเทพเป่ยไห่ บอกว่ามีเรื่องสำคัญอยากขอหารือกับเจ้าตำหนักหนีขอรับ”
ตำหนักเสวี่ยซานเกิดเรื่องใหญ่เพียงนี้ ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้เรื่องที่เข้ามาหานาง น่ากลัวว่าคงไม่ใช่เรื่องเล็กๆ หนีฉางลังเลอยู่พักหนึ่ง แต่สุดท้ายก็ยังตามไหวอวี่ไป
เทพเป่ยไห่เป็นน้องชายแท้ๆ ของจอมเทพ ระหว่างตำหนักของพวกเขามีค่ายกลเคลื่อนย้ายระหว่างกันโดยเฉพาะ แค่เพียงพริบตา หนีฉางกับไหวอวี่ก็มาถึงเกาะโดดเดี่ยวที่อยู่ตอนบนของทะเลเป่ยไห่
หนีฉางไม่มีแก่ใจจะชื่นชมทิวทัศน์ของเกาะ นางเดินเร็วๆ ตามไหวอวี่ไปทางตำหนักนอนของเทพเป่ยไห่
ภายในตำหนักใหญ่ที่อุดอู้ มีม่านหนาหนักห้อยปิดลงมา เทพเป่ยไห่หันหลังให้หนีฉาง ยืนอยู่หน้าโลงศพหยกที่ประณีตงดงามโลงหนึ่ง
รูปร่างที่สูงใหญ่ของเขาปกคลุมอยู่ใต้เงาผืนใหญ่ แผ่ไอสังหารรุนแรงออกมาทั่วตัว
หากไม่ใช่เพราะเวลานี้หนีฉางได้จอมเทพให้ที่พักพิง เกรงว่านางคงคิดว่าไอสังหารนี้พุ่งเป้ามาที่นางแล้ว
นางพยายามตั้งสติ ค่อยๆ เดินเข้าไป “เทพเป่ยไห่ เจ้าจะหาข้า?”
เทพเป่ยไห่ค่อยๆ หันกลับมา สีหน้าดูเศร้าหมอง แต่สายตากลับเยือกเย็น คมกล้าและเต็มไปด้วยไอสังหาร เขาพยายามเต็มที่ที่จะข่มไอสังหารเอาไว้ “เจ้าตำหนักหนีมาแล้วหรือ”
หนีฉางเอ่ยว่า “ข้ามาแล้ว เจ้าจะหาข้าด้วยธุระอันใดหรือ”
เทพเป่ยไห่หันกลับไปมองคนในโลงศพหยก “นางตายแล้ว”
หนีฉางเหลือบมองอีกฝ่ายด้วยสายตาประหลาด ย่างเท้าเข้าไปที่โลงศพหยก ขณะที่นางได้เห็นใบหน้าของคนที่อยู่โลงศพนั้น นางก็ตกใจจนคิ้วเลิกขึ้นสูง “หลันอี?”
นางหันไปมองเทพเป่ยไห่อย่างไม่อยากเชื่อ “เหตุใดศพของหลันอีถึงมาอยู่ที่นี่ได้ เป็น…เป็นเจ้า? เป็นเจ้าที่ขโมยศพหลันอีมาหรือ เจ้า…เหตุใดเจ้าถึงทำเช่นนี้! เจ้ารู้หรือไม่ว่าเป็นเพราะข้าไปตามหาผิดคน ตำหนักเสวี่ยซานของข้าถึงได้ถูกทำลายด้วยน้ำมือของเจ้าตำหนักเมฆา!”
ไม่แปลกที่หนีฉางจะเดือดดาลเพียงนี้ ครานี้เป็นเทพเป่ยไห่ที่ทำเกินไปจริงๆ เขาขโมยศพเสวี่ยหลันอีไปโดยไม่บอกไม่กล่าว คนไม่รู้ยังคิดว่าเป็นฝีมือตำหนักเมฆา หากนางรู้ข้อมูลนี้เร็วกว่านี้ นางคงไม่บุกไปถึงดินแดนลับของเจ้าตำหนักเมฆา และคงไม่ถูกมารมังกรน้อยนั่นทำลายตำหนัก
เดิมทีทั้งหมดนี้สามารถไม่เกิดขึ้นได้ แต่เพราะบุรุษตรงหน้าผู้นี้ทำให้ตำหนักของนาง รากฐานของนาง ชื่อเสียงของนางต้องป่นปี้ไม่เหลือชิ้นดี!
“เทพ เป่ย ไห่!”
เทพเป่ยไห่มองอีกฝ่ายด้วยสายตาเรียบเฉย “หากเป็นข้าไปสังหารเขา จะต้องไม่เปิดโอกาสให้เขาได้ทำลายตำหนักข้าแน่ จะว่าไปก็เป็นเพราะเจ้าตำหนักหนีประมาทศัตรู ประเมินความสามารถคู่ต่อสู้ผิดไป จึงจะไปเข่นฆ่าเขาถึงที่ หากเขารับมือได้ง่ายเพียงนั้นจริง เหตุใดพี่ชายข้าถึงต้องรั้งรอไม่ลงมือเสียทีด้วยเล่า”
หนีฉางอึ้งงันไป
เทพเป่ยไห่เอ่ยเสียงเรียบ “แต่เวลานี้…ก็ไม่มีอะไรต้องกลัวอีกแล้ว เวลานี้กระทั่งดวงจิตส่วนหนึ่งของพี่ใหญ่ข้าเขาก็ยังฆ่าไม่ตาย เขาไม่เก่งกาจเท่าเมื่อก่อนอีกแล้ว ถึงเวลาที่จะไปคิดบัญชีแค้นกับเขาแล้ว”
หนีฉางจึงเอ่ยว่า “จะล้างแค้นก็เป็นเรื่องของตำหนักเสวี่ยซาน เจ้ากับเขามีความแค้นอันใดต่อกันด้วยหรือ”
เทพเป่ยไห่ไม่ได้ตอบคำถามนาง แต่ยื่นมือออกไปประคองใบหน้าขาวซีดของเสวี่ยหลันอี
หนีฉางอึ้งมองภาพนั้น ในหัวพลันมีคำพูดของหมิงซิวแวบขึ้นมา…
“เตาหลอมวิญญาณไม่มีประโยชน์ต่อข้า ศพข้าไม่ได้เป็นคนขโมยไป ข้าไม่เคยกระทำเรื่องที่ผิดต่อธิดาเทพ”
“เจ้ายังกล้าบิดพริ้วอีกหรือ! หากไม่ใช่เจ้าที่ทำลายความบริสุทธิ์ของนาง นางจะถูกบีบจนต้องรับทัณฑ์สายฟ้าได้อย่างไร”
“คนผู้นั้นไม่ใช่ข้า จะเชื่อหรือไม่แล้วแต่เจ้า”
ในหัวหนีฉางมีระเบิดแตกเป็นลูกๆ จังหวะนั้นนางรู้สึกว่าตนได้เข้าใจบางอย่าง นางคว้าเสื้อเทพเป่ยไห่ “เป็นเจ้า? คนที่ทำให้หลันอีแปดเปื้อน…คือเจ้า?!”
“ข้าเอง” เทพเป่ยไห่บอก
หนีฉางเงื้อมือขึ้นแล้วสะบัดตบเข้าที่ใบหน้าเขาโดยแรง!
หนีฉางโกรธจนน้ำตาไหล “เจ้าชาติชั่ว! รู้หรือไม่ว่าเจ้าทำให้หลันอีต้องตาย หากไม่ใช่เจ้าที่บังคับให้หลันอีให้กระทำเรื่องผิดต่อฟ้าดินเช่นนี้ หลันอีก็คงไม่ตาย!”
เทพเป่ยไห่ตวัดสายตาดุดันกลับมา “เป็นเจ้าที่สั่งให้ลงโทษนางถึงตาย!”
หนีฉางเอ่ยด้วยความเกรี้ยวกราด “คนทั้งแดนเทพรู้กันหมดแล้ว เจ้าจะให้ข้าทำอย่างไร เจ้าบอกมาสิ! ว่าเจ้าจะให้ข้าทำอย่างไร!”
“ดังนั้นข้าจึงไม่โทษเจ้า” เทพเป่ยไห่สงบสติอารมณ์ที่ใกล้จะระเบิดออกเต็มที
เทพเป่ยไห่น้อยนักที่จะมีท่าทีจริงจังเช่นนี้ นางจ้องนิ่งเข้าไปในดวงตาของหนีฉาง “เชื่อหรือไม่ เรื่องในตอนนั้นข้าไม่ได้เป็นคนบังคับ เป็นเสวี่ยหลันอีเองที่ธาตุไฟเข้าแทรกจนเผยร่างจริงออกมา ตอนนั้นนางกำลังติดกำหนัด ต่อให้ไม่ใช่ข้าก็คงเป็นคนอื่น หลังจากนั้นทุกๆ หลายร้อยปี นางก็จะต้องการข้าขึ้นมาหนึ่งครั้ง”
สีหน้าหนีฉางเปลี่ยนไป “เจ้า…เจ้าพูดจาเหลวไหล…นางจะธาตุไฟเข้าแทรกได้อย่างไร”
เทพเป่ยไห่ย้อนถามว่า “ภาพในวันนั้นเจ้าก็เห็นแล้ว นั่นเหมือนว่าข้าบังคับนางหรือ”
หนีฉางถึงกับตอบไม่ถูก
เป็นเพราะนางดูไม่ออกว่าเสวี่ยหลันอีถูกคนบังคับ นางถึงได้คิดว่าเป็นฝีมือของเจ้าตำหนักเมฆา ไหนเลยจะคิดว่าความจริงกลับเป็นเช่นนี้
เทพเป่ยไห่เอ่ยเสียงเย็นว่า “เหตุผลที่ว่านางธาตุไฟเข้าแทรกได้อย่างไรนั้น นางไม่ได้บอกข้า ข้ารู้เพียงว่าทั้งหมดเกี่ยวข้องกับเจ้าตำหนักเมฆา เจ้าตำหนักเมฆาเอาตราพญาเทพแล้วหันหลังละทิ้งคำสัญญาที่ให้กับนางไว้ไป นางถูกความเจ็บแค้นเข้าโจมตีจึงค่อยๆ เข้าสู่สายมาร แต่ร่างของนางไม่ใช่มาร จะทนรับไอมารได้อย่างไร ที่นางไม่ได้บอกเจ้าก็เพราะกลัวว่าเจ้าจะเป็นห่วง ข้าไม่ใช่นาง ข้าไม่ได้ทุ่มเททุกอย่างเพื่อเจ้า เวลานี้เจ้าได้รู้แล้วว่าใครทำให้นางเป็นเช่นนี้ ข้าเพียงอยากถามเจ้าว่าเจ้าจะล้างแค้นให้นางหรือไม่”
หนีฉางกัดฟันยิ้ม “ล้างแค้น? หึ เกรงว่าคนแรกที่ข้าต้องฆ่าก็คือเจ้า!”
เทพเป่ยไห่หันไปมองนางนิ่งๆ “หากข้าบอกเจ้าว่าข้ามีวิธีชุบชีวิตนางได้ เจ้ายังจะฆ่าข้าหรือไม่”
“เจ้าว่าอะไรนะ” หนีฉางตะลึงงัน
เทพเป่ยไห่บอกว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าทั้งหกแดนที่กว้างใหญ่ เหตุใดมีเพียงที่นี่ที่กลายเป็นเผ่าเทพ นั่นก็เพราะที่นี่เป็นที่กำเนิดของเทพทั้งปวง ที่นี่มีพลังของเทพทั้งหลายผนึกไว้ พลังโดยมากกลายเป็นไอปราณเทพที่หนาแน่น มีเพียงพลังของผานกู่ต้าตี้ที่มหาศาลเกินไปจนไม่อาจเปลี่ยนได้ ขอเพียงพวกเราได้พลังขุมนั้นมา ก็จะสามารถชุบชีวิตให้เสวี่ยหลันอีได้”
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องสำคัญ ท่าทีของหนีฉางก็ดูอบอุ่นขึ้นมาก “ข้าย่อมรู้ถึงพลังของผานกู่ต้าตี้ แต่กล่าวกันว่ามีเพียงตราพญาเทพเท่านั้นที่รับรู้ได้ว่ามันอยู่ที่ใดไม่ใช่หรือ เวลานี้พวกเราไม่มีกระทั่งตราพญาเทพ จะมาเอ่ยถึงการตามหาพลังขุมนั้นได้อย่างไร”
เทพเป่ยไห่หรี่ตาลง “ข้าคิดว่าตราพญาเทพอยู่ในมือเจ้าตำหนักเมฆานั่นแหละ!”
หนีฉางมองเขาอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง “จริงหรือ…ไม่ได้อยู่ในมือจอมเทพหรือ”
เทพเป่ยไห่ยิ้มเย็น “ทำไม เจ้าคิดว่าพี่ใหญ่ข้าขโมยตราพญาเทพไปแล้วโยนความผิดให้ตำหนักเมฆาอย่างนั้นหรือ”
หรือว่าไม่ใช่ หนีฉางพึมพำในใจ
เทพเป่ยไห่ส่ายหน้าพลางถอนหายใจ “เจ้าคิดว่าตราพญาเทพขโมยได้ง่ายเพียงนั้นเชียวหรือ ตราพญาเทพเป็นพลังปราณแรกที่อยู่คู่กับผานกู่ต้าตี้มาตั้งแต่สมัยที่มีความวุ่นวาย ต้นกำเนิดพลังปราณหมื่นปีของมันได้คุ้มครองผานกู่ต้าตี้มาหนึ่งหมื่นแปดพันปี จวบจนกระทั่งผานกู่ต้าตี้ตื่นรู้ ภายหลังผานกู่ต้าตี้ดับขันธ์ ร่างของเขาได้กลายเป็นเทียนมังกรโบราณ ส่วนมันได้กลายเป็นตราพญาเทพ”