ตอนพิเศษ 85 เวยเวยระเบิดตำหนักเทพ ความจริงในอดีต (2)
มิน่าเล่าทุกคนที่เข้าไปในคูเมืองสวรรค์ล้วนสูญเสียพลังเวทย์ มีเพียงเขาที่ไม่เสีย หากผนึกนี้เขาเป็นคนทำไว้จริงๆ เช่นนั้นกฎเกณฑ์ต่างๆ ก็เป็นเขาที่สร้างขึ้น จึงย่อมใช้ไม่ได้ผลกับเขา
แต่หากเป็นเช่นนั้นก็ดูจะประหลาดมากมิใช่หรือ
ทั้งๆ ที่จิตตั้งต้นของเขากระสานซ่านเซ็นไปตั้งแต่ตอนถูกคนไล่ล่าเมื่อสองหมื่นปีก่อนแล้ว จะกลายมาเป็นผนึกอยู่ในคูเมืองได้อย่างไร
หมิงซิวกุมศีรษะแน่น
ในหัวมีเพียงความว่างเปล่า ไม่มีอะไรอยู่เลยนอกจากภาพที่เคยมีอยู่ก่อนแล้ว
อวิ๋นเยี่ยนิ่งมองพี่ชาย “ไม่ต้องคิดแล้ว ความทรงจำและจิตตั้งต้นของเจ้าผนึกไว้ด้วยกันอยู่ในคูเมือง หากเจ้าไม่เอาพวกมันคืนมาก็ไม่มีทางจำเรื่องในตอนนั้นได้ แต่จะว่าไปเรื่องในตอนนั้นก็ไม่ได้มีสาระสำคัญอะไร สิ่งสำคัญที่สุดคือเวลานี้ ในเมื่อเจ้ากลับมาแล้วก็ต้องเอาสองหมื่นปีที่ตำหนักเมฆาเสียหายไปกลับคืนมา ที่ตำหนักเมฆาต้องมาตกอยู่ในสภาพนี้เป็นเพราะเจ้าประทานให้ทั้งสิ้น!”
หมิงซิวเอ่ยด้วยความรู้สึกผิด “ข้าดูแลตราพญาเทพได้ไม่ดี เป็นความผิดของข้า”
อวิ๋นเยี่ยส่งเสียงหึอย่างดูแคลน
หมิงซิวมองน้องชายด้วยสายตาแปลกใจ รู้สึกว่าอีกฝ่ายดูจะไม่เห็นพ้องกับคำพูดของตนสักเท่าไร “ทำไม ข้าพูดอะไรผิดหรือ”
บนหน้าอวิ๋นเยี่ยมีแววเสียใจ “การที่ปกป้องตราพญาเทพไว้ไม่ได้นั้นไม่ใช่ความผิดเจ้า เป็นความผิดเขา”
หมิงซิวนิ่งมองอีกฝ่าย “เขา? เขาเป็นใครกัน”
อวิ๋นเยี่ยกลับไม่บอก เขาจับกระชับอาภรณ์ที่ถูกลมพัดจนแหวกเปิดแล้วหันไปเอ่ยกับหมิงซิวว่า “ตัดสินใจแล้วหรือยัง ถ้าตัดสินใจแล้วก็ลงมือเถิด”
หมิงซิวคลี่ยิ้มบาง
“เจ้ายิ้มทำไม” อวิ๋นเยี่ยขมวดคิ้วถาม
หมิงซิวมองน้องชายด้วยสายตามีความหมาย “ที่รีบร้อนจะให้ข้าลงมือเช่นนี้ น่ากลัวว่าคงไม่ได้แค่คิดอยากให้ข้าฟื้นคืนพลังฝึกตนเฉยๆ กระมัง”
อวิ๋นเยี่ยไม่ได้ตอบคำถามเขาแต่ถามกลับว่า “หรือว่าเจ้าไม่อยากฟื้นพลังกลับมา”
หมิงซิวยิ้มบางๆ “เจ้าไม่ตอบคำถามข้า นี่เท่ากับว่าเจ้ายอมรับว่าเจ้ามีจุดประสงค์อื่นแล้ว”
อวิ๋นเยี่ยขยับทำท่าจะเอ่ยบางอย่าง
หมิงซิวหันมองคูเมืองสวรรค์ที่ทอดตัวยาว “เจ้าบอกว่าตอนนั้นข้าเป็นคนผนึกคูเมืองสวรรค์ เช่นนั้นข้าว่าข้าจะต้องมีเหตุผลในการทำเช่นนั้นแน่นอน ก่อนที่ข้าจะได้รู้เหตุผล ข้าจะไม่ผลีผลามดึงพลังข้าคืนมาแน่นอน”
อวิ๋นเยี่ยทั้งร้อนใจทั้งโกรธ “เจ้า…”
หมิงซิวมองน้องชายด้วยสีหน้าเรียบเฉย “หากเป็นอย่างที่เจ้าว่าจริงว่าพลังทั้งหมดของข้าเพียงพอที่จะรับมือจอมเทพได้ เช่นนั้นเมื่อสองหมื่นปีก่อนเหตุใดข้าถึงไม่ทำเช่นนั้น เหตุใดข้าถึงยอมเอาพลังกว่าครึ่งของตนมาเสียไปกับคูเมืองสวรรค์ อย่างน้อยเรื่องนี้ก็บอกได้ว่าสิ่งที่อยู่ใต้คูเมืองสวรรค์นั้นน่าหวั่นเกรงยิ่งกว่าที่จอมเทพมีต่อข้าและตำหนักเมฆาสินะ”
อวิ๋นเยี่ยกำหมัดแน่น
หมิงซิวเลิกคิ้ว “ข้าพูดถูกสินะ”
ใบหน้าอวิ๋นเยี่ยแดงจนกลายเป็นสีม่วง
หมิงซิวเดินเข้าไปตบไหล่เขา “อย่าอมพะนำกับพี่อีกเลย หากเจ้าไม่ใช่น้องชายข้า ข้าคงจับเจ้าโยนลงไปให้ปลากินแล้ว”
พูดจบหมิงซิวก็สาวเท้าเดินผ่านอวิ๋นเยี่ยไปยังทิศทางที่ตนมา
อวิ๋นเยี่ยมองแผ่นหลังของพี่ชาย คิดจะเดินตามไปแต่ก็จนใจที่ไม่ได้ใช้ขามาสองหมื่นปี แค่ก้าวยาวไปนิดขาก็พลันอ่อนแรง ล้มลงข้างๆ โขดหิน
อวิ๋นเยี่ยตะโกนไล่หลังไปว่า “เจ้าไม่อยากรู้หรือว่าคนที่ถูกผนึกอยู่ใต้คูเมืองน้ำเป็นใคร”
หมิงซิวยังคงเดินต่อไปประหนึ่งไม่ได้ยิน
อวิ๋นเยี่ยคว้าก้อนหินมาโยนใส่เขา แต่ก็จนใจที่เขาไม่เหลือพลังฝึกตนเลย เหลือเพียงพลังของคนธรรมดา ก้อนหินยังไม่ทันกระทบถูกชายเสื้อของหมิงซิวก็กลิ้งกลุกกลักลงกับพื้นแล้ว
อวิ๋นเยี่ยร้อนใจจนน้ำตาจะไหล “เจ้าคนชั่ว! เจ้าเอาเขา (นาง) คืนมาให้ข้านะ! เอาเขา (นาง) คืนมา!”
หมิงซิวเลิกคิ้ว เอาคืนให้เจ้า?
หรือว่าคนที่ถูกผนึกอยู่ข้างใต้เป็นคนที่อวิ๋นเยี่ยมีใจให้
หลังจากหมิงซิวกลับดินแดนลับไปพร้อมกับความข้องใจแล้ว เขาก็ตรงไปที่ห้องอวิ๋นเชียนรั่ว
อวิ๋นเชียนรั่วกลับไม่ได้อยู่ในห้อง แต่ไปอยู่ในบ่อน้ำแร่กลางป่าไผ่ กำลังล้างกลีบดอกให้บัวน้ำแข็งน้อยอยู่
ไม่เท่าไรหมิงซิวก็ตามไปถึงตรงนั้น
อวิ๋นเชียนรั่วพอเห็นพี่ชายก็กระโดดโลดเต้นด้วยความยินดี “พี่ใหญ่ๆ! มังกรน้อยแปลงร่างเป็นดอกบัวได้ด้วย! ข้าเพิ่งรู้เมื่อกี้!”
พี่ใหญ่ของเจ้ารู้มาเป็นปีแล้ว
ในใจหมิงซิวคิดเช่นนั้น แต่บนใบหน้ากลับเผยแววตกใจ “อ๋า รั่วเอ๋อร์เก่งจริงๆ เลย”
อวิ๋นเชียนรั่วพยักหน้าราวกับสับกระเทียม “ใช่ไหมเล่า! ข้าก็คิดว่าข้าเก่งมากเหมือนกัน! ข้ายังไม่ได้บอกพวกเขา นี่เป็นความลับระหว่างข้ากับพี่ใหญ่นะ!”
หมิงซิวระบายยิ้มเอ็นดู “ตกลง”
อย่างไรน้องสาวก็น่ารักกว่า น้องชายน่ารำคาญที่สุด
“พี่ใหญ่ อาเยี่ยเล่า?” อวิ๋นเชียนรั่วใช้ขนห่านถูให้ดอกบัวน้อยพลางเอ่ยถามหมิงซิว
หมิงซิวยิ้มแค่มุมปาก “เขาเหนื่อยแล้ว เลยกลับห้องไปพักผ่อน”
“พวกท่านไม่ได้ทะเลาะกันกระมัง” อวิ๋นเชียนรั่วถาม
หมิงซิวเอ่ยหน้าตาเฉย “ไม่ได้ทะเลาะกันสิ”
เขาแค่ทิ้งอีกฝ่ายไว้ที่คูเมืองสวรรค์คนเดียว ยึดไข่มุกเคลื่อนย้ายของเขามาด้วย เวลานี้เขากำลังเดินกะเผลกๆ กลับมาอยู่
อวิ๋นเชียนรั่วยิ้มจนตาหยี “ข้ารู้อยู่แล้วว่าพี่ใหญ่รักอาเยี่ยที่สุด”
อวิ๋นเชียนรั่วพูดเองเออเองของตนไปจนหมิงซิวลืมเรื่องหมิงเยี่ยมีใครในใจหรือไม่ไปเสียสนิท หมิงซิวจับแก้มอวิ๋นเชียนรั่ว “คนที่ข้ารักที่สุดไม่ใช่เจ้าหรือ”
อวิ๋นเชียนรั่วทำหน้าจริงจังขณะส่ายหน้า “ไม่ใช่เสียหน่อย เมื่อก่อนพี่ใหญ่มักรำคาญที่ข้าซุกซน อาเยี่ยเป็นคนเอาใจใส่ พี่ใหญ่เลยรักอาเยี่ยที่สุด”
เอาใจใส่?
เจ้าเด็กนั่นไม่ทำเขาโมโหจนอายุขัยสั้นลงหลายพันปีก็นับว่าสวรรค์เมตตาแล้ว
หมิงซิวจิ้มหน้าผากน้องสาว “เจ้าคงจำผิดแน่ สมัยข้าอยู่ตำหนักเมฆา ข้ารักเจ้าที่สุดต่างหาก”
อวิ๋นเชียนรั่วทำปากมุ่ย “หึ ตอนนั้นพี่ยังทิ้งข้าไว้คนเดียวที่สวนหลังตำหนักเพราะพี่หญิงเสวี่ยอยู่เลย!”
หมิงซิวพลันอึ้งไป ขยับปากกระซิบถามอวิ๋นเชียนรั่วว่า “ข้า…เคยมีสัมพันธ์ใกล้ชิด…กับพี่หญิงเสวี่ยของเจ้าจริงๆ หรือ”
อวิ๋นเชียนรั่วจึงบอกว่า “ก็ใช่น่ะสิ!”
หมิงซิวทำท่าบอกให้น้องสาวเบาเสียงลง “เจ้าแน่ใจหรือว่าคนผู้นั้นเป็นข้า ไม่ใช่คนอื่นปลอมตัวมา”
อวิ๋นเชียนรั่วพึมพำว่า “จะมีคนอื่นปลอมตัวมาได้อย่างไร พี่ใหญ่ท่านลืมไปแล้วหรือว่าพวกเราเป็นพี่น้องร่วมอุทรกัน ไอของท่านพวกเขาจะจำผิดได้หรือ”
หมิงซิวมั่นใจมาตลอดว่าตนกับเสวี่ยหลันอีไม่มีสัมพันธ์ที่เกินเลยต่อกัน แต่รั่วเอ๋อร์ไม่มีทางโกหก หากนางบอกเช่นนี้ก็แสดงว่าเป็นความจริง
หรือว่าเมื่อสองหมื่นปีก่อนตนตาบอดไปจริงๆ อย่างนั้นหรือ
หมิงซิวเหลือบมองบัวน้ำแข็งน้อยด้วยความรู้สึกผิด บัวน้ำแข็งน้อยกำลังถือกระจกปี้คงมาดูภาพตำหนักเมฆา นางมีสมาธิมากน่าจะไม่ทันฟังว่าเขากับอวิ๋นเชียนรั่วคุยอะไรกัน
พอคิดเสร็จบัวน้ำแข็งน้อยก็หันขวับมา สีหน้าดูเรียบเย็น
ขมับของหมิงซิวเต้นตุบๆ เอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ความจำของเด็กอาจจะมีผิดเพี้ยนไปบ้าง ข้ากับเสวี่ยหลันอีไม่มีอะไรกัน ข้าไม่เคยแตะต้องนางแม้แต่ปลายก้อยแน่นอน!”
พอสิ้นเสียง กระจกปี้คงก็ปล่อยท่าไม้ตาย
เห็นเพียงภาพที่มีเด็กเล่นชิงช้ากันกลายเป็นภาพในสวนของตำหนักเมฆา
สวนดอกไม้ใต้แสงจันทร์ บุรุษมากความสามารถและหญิงงาม
เจ้าตำหนักเมฆาในอาภรณ์ขาวกับเสวี่ยหลันอีที่อยู่ในชุดรัดเอวสีเหลืองอ่อนกำลังเดินอยู่บนทางเดินเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยดอกไม้ยามราตรี
ทั้งไม่ได้พูดคุยอะไรกันแต่เดินอยู่ใกล้ชิดกันมาก ช่วงแขนมีต้องถูกกันบ้างทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจ บรรยากาศที่อบอวลด้วยกลิ่นอายความรักนั้นต่อให้เป็นอวิ๋นเชียนรั่วที่เป็นเด็กยังไม่แตกเนื้อสาวก็ยังรับรู้ได้ถึงความสวยงาม
หากจะบอกว่าบุรุษผู้นี้ไม่มีใจให้สตรีนางนี้ หมิงซิวคงไม่เชื่อ
แต่หากจะบอกว่าบุรุษผู้นี้เป็นเขา เขาก็ไม่เชื่อเช่นกัน!
หมิงซิวยืดตัวตรง เอ่ยด้วยความมั่นใจว่า “นี่ไม่ใช่ข้าแน่!”
กระจกปี้คงปรากฏตัวอักษรขึ้นบรรทัดหนึ่ง… เจ้าตำหนักคนที่สิบเจ็ดของตำหนักเมฆา อวิ๋นซิว
สีหน้าหมิงซิวแข็งค้างไป
อวิ๋นเชียนรั่วเบ้ปาก “ข้าก็บอกแล้วไง พี่ใหญ่ท่านชอบพี่หญิงเสวี่ยมากจะตาย!”
มาหักหน้าพี่ใหญ่เจ้าเช่นนี้จะดีจริงๆ หรือ
หมิงซิวหันมองบัวน้ำแข็งน้อยด้วยความละอาย บัวน้ำแข็งน้อยจะแปลงร่างแล้ว ร่างพญาบัวทองจะออกมาแล้ว…
แต่กระนั้นที่หมิงซิวคาดไม่ถึงก็คือ บัวน้ำแข็งน้อยสงบนิ่งอย่างไม่น่าเชื่อ นางถือกระจกปี้คงไว้ประหนึ่งว่าทั้งสองคนในกระจกไม่เกี่ยวข้องใดๆ กับนางกระนั้น กระทั่งไอเย็นยะเยือกเมื่อครู่ก็หายไปด้วย
ไม่เท่าไรภาพก็เปลี่ยนไป
เป็นภาพเจ้าตำหนักเมฆาจูงเด็กน้อยคนหนึ่งเดินออกมาจากตำหนักพญาเทพอีกแล้ว
บัวน้ำแข็งน้อยยื่นกลีบดอกเข้าไปแตะแล้วระดมจูบใส่เด็กหนุ่มในกระจก
หมิงซิวขัดใจยิ่งนัก การเอาคืนของสตรีคือการสวมเขาให้บุรุษอย่างนั้นหรือ
หมิงซิวรู้สึกว่าตนกำลังจะเสียอาการ ใจอยากอดทนแต่ทนอยู่ได้ไม่เท่าไรก็เสียการควบคุม
“ห้ามจูบอาเยี่ยนะ”
ไม่ได้เรื่องเอาซะเลย!
อวิ๋นเชียนรั่วเหลือบมองพี่ใหญ่ของตนด้วยความเห็นใจ แต่เมื่อหันไปมองภาพในกระจกอีกครั้ง ตารูปเมล็ดซิ่งก็เบิกกว้าง “เอ่อ…นั่นไม่ใช่อาเยี่ย”
หมิงซิวอึ้งไป “ไม่ใช่อาเยี่ย?”
อวิ๋นเชียนรั่วชี้เครื่องประดับหยกที่ห้อยอยู่ตรงเอวเจ้าตำหนักเมฆา “ตอนเด็กๆ อาเยี่ยสุขภาพไม่ดี จึงไม่อาจเก็บงำกายเดิมไว้ได้ เป็นท่านที่ให้เครื่องประดับหยกชิ้นนี้กับเขา เขาถึงได้กดพลังเทพธิดาหนี่ว์วาในกายเอาไว้ได้ ท่านดูสิ เครื่องประดับหยกชิ้นนี้ยังห้อยอยู่บนตัวท่านอยู่เลย ท่านยังไม่ได้เอาให้อาเยี่ย อาเยี่ยมีร่างเดิมที่สืบทอดมาจากเทพธิดาหนี่ว์วา ไม่มีขา จึงเดินไม่ได้”
เรื่องภายในของตำหนักเมฆานี้คนนอกไม่รู้ในรายละเอียด กระทั่งพวกไห่คงจื่อยังคิดว่าเด็กที่เจ้าตำหนักเมฆาจูงออกมาจากตำหนักเป็นตัวอวิ๋นเยี่ยเอง
แต่อวิ๋นเชียนรั่วเติบโตมาพร้อมกับอวิ๋นเยี่ย ในภาพนั้นใช่อวิ๋นเยี่ยหรือไม่นางรู้ดีกว่าใคร
หมิงซิวอึ้งไปก่อนถามว่า “ใช่เด็กคนอื่นในตำหนักเมฆาหรือไม่”
อวิ๋นเชียนรั่วคิดแล้วเอ่ยว่า “ตำหนักเมฆาเป็นตำหนักใหญ่ มีเด็กอยู่ไม่น้อยจริงๆ แต่ตำหนักพญาเทพมีเพียงผู้ปกปักษ์ในแต่ละรุ่นเท่านั้นที่สามารถเข้าไปได้ ท่านกับอาเยี่ยล้วนเป็นผู้ปกปักษ์ตำหนักพญาเทพ ส่วนข้าไม่ใช่”
หมิงซิวเพ่งสายตาเอ่ยว่า “ก็หมายความว่าเจ้าเข้าไปไม่ได้ เด็กคนอื่นก็เข้าไปไม่ได้ อาเยี่ยเข้าไปได้ แต่เด็กในภาพไม่ใช่อาเยี่ย”
อวิ๋นเชียนรั่วพยักหน้า “อื้ม ไม่ใช่อาเยี่ย”
หมิงซิวพึมพำว่า “เช่นนั้นเขาจะเป็นใคร เหตุใดเขาถึงเข้าตำหนักพญาเทพได้”
บัวน้ำแข็งน้อยจูบจ๊วบลงบนใบหน้าเด็กชายให้ฟอดใหญ่!