ตอนพิเศษ 83 สับสนอลม่าน
หมิงซิวได้ยินที่ไห่คงจื่อบอกก็ไม่แสดงท่าทีตกใจให้เห็นสักนิด ประหนึ่งคาดเดาไว้แต่แรกแล้วว่าจะเป็นเช่นนี้
ไห่คงจื่อไม่ใช่คนโง่ เขาติดตามหมิงซิวมานานเพียงนี้ สิ่งที่ควรรู้สิ่งที่ไม่ควรรู้ เขารู้ดีทั้งหมด ยิ่งเมื่อรวมกับการกระทำของจอมเทพในเวลานี้เขาก็ยิ่งเดาไม่ยากว่าเรื่องที่ตำหนักเมฆาถูกใส่ร้ายในยามนั้นเป็นฝีมือของจอมเทพ
แต่เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้
บุคคลที่มากคุณธรรมเช่นจอมเทพ กระทำเรื่องต่ำช้าเช่นนี้กับเขาได้ด้วยหรือ
อย่าว่าแต่ไห่คงจื่อที่งุนงงไร้หนทางเข้าใจเลย หมิงซิวเองก็ไม่เข้าใจเช่นกัน จอมเทพในความทรงจำของเขาคุณธรรมสูงส่ง สุภาพมีมารยาท นับเป็นสุภาพชนโดยแท้ ไหนเลยจะคิดว่าเขาจะเสียบมีดใส่หลังตำหนักเมฆาเช่นนี้
ไห่คงจื่อเอ่ยว่า “ท่านเทพ เรื่องนี้…”
หมิงซิวจึงบอกว่า “เรื่องนี้ไม่มีอะไรหรอก หนี้มากไม่ได้ทำให้เดือดร้อน ความแค้นระหว่างข้ากับศาลเทพสวรรค์ไม่ขาดเรื่องนี้ไป คนทั้งแดนเทพต่างคิดว่าตราพญาเทพอยู่ในมือข้า ต่อให้ไม่มีโทษทัณฑ์ครั้งนี้ พวกเขาก็ต้องระดมกำลังตามจับข้าอยู่ดี น้ำสกปรกถังนี้สำหรับข้าแล้วเป็นเพียงส่วนน้อยในมหาสมุทรเท่านั้น”
แน่นอนว่าการต้องมาแบกความผิดแทนเทพเป่ยไห่ชาติชั่วผู้นั้น มากน้อยอย่างไรก็ทำให้เขาไม่พอใจอยู่บ้าง แต่เรื่องเช่นนี้ตนรู้ว่าตนไม่พอใจอยู่คนเดียวก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องพูดออกไปให้ทุกคนช่วยกันเหยียบย่ำด้วย
ไห่คงจื่อที่ก่อนหน้านี้ยังสงสัยว่าตนเลือกข้างผิด มาเวลานี้เขารู้สึกโชคดีกับการตัดสินใจของตนเองแล้ว เรื่องอื่นพักไว้ยังไม่เอ่ยถึงก่อน แค่ความสงบนิ่งไม่ว่าพบเจอเรื่องใดก็เพียงพอที่จะทำการใหญ่ได้แล้ว
ไห่คงจื่อทอดถอนใจ “ท่านเทพคิดได้เช่นนี้ก็ดียิ่งแล้ว ที่จอมเทพพร้อมจะสาดน้ำสกปรกใส่ท่านทุกเมื่อเช่นนี้ หนึ่งก็เพราะหวังว่าท่านเทพจะช่วยรับผิดแทนเทพเป่ยไห่ สองเป็นเพราะเขาอยากยั่วให้ท่านโมโหจนต้องกระทำอะไรบางอย่าง เวลานี้พวกเรามีกำลังไม่พอ อย่าได้ติดกับเขาจะดีที่สุด”
หมิงซิวเอ่ยว่า “เรื่องนี้ข้าจะจัดการเอง เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงแล้ว”
ถึงเวลานี้ไห่คงจื่อควรถอยออกไปได้แล้ว แต่เขายังคงนิ่ง เขาเหลือบมองหมิงซิวทีหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยด้วยความลังเลว่า “ท่านเทพ ข้ายังมีอีกเรื่องหนึ่ง”
“ว่ามา” หมิงซิวบอก
ไห่คงจื่อ “ก่อนหน้านี้ข้าไม่รู้ว่าเป็นความแค้นส่วนตัว คิดเพียงว่าแค่ตามหาตราพญามารกลับมาก็สามารถเรียกคืนความยุติธรรมให้กับท่านกับตำหนักเมฆาได้แล้ว แต่เวลานี้จอมเทพเอาโทษทัณฑ์ของเทพเป่ยไห่มาผูกไว้กับท่าน วันหน้าต่อให้ส่งคืนตราพญาเทพได้ก็ไม่อาจลบล้างความผิดได้อยู่ดี ข้ากำลังคิดว่าหากเราจะนั่งรอความตายเฉยๆ มิสู้รีบระดมพลหาซื้ออาวุธเพื่อสร้างฐานอำนาจตนเองให้มั่นคง”
หมิงซิวพยักหน้า เสกกุญแจดอกหนึ่งออกมา “โรงเก็บของอยู่ในบ้านทางฝั่งตะวันออก ข้าวของมีค่าและศิลาศักดิ์สิทธิ์ล้วนอยู่ข้างในนั้น เจ้าต้องใช้อะไรหยิบเอาได้เลย”
ไห่คงจื่อรับกุญแจมาแล้วพาหูซื่อไห่กับชายร่างกำยำเดินทางออกจากดินแดนลับตอนกลางดึก
เมื่อถูกขัดจังหวะเช่นนี้ หมิงซิวจึงไม่อาจดำเนินบทสนทนาเมื่อครู่ได้ต่อ ดังนั้นจึงเอ่ยกับอวิ๋นเยี่ยว่า “เจ้ารีบพักผ่อนก็แล้วกัน พรุ่งนี้ข้าจะมาเยี่ยมเจ้าใหม่”
พูดจบหมิงซิวก็ลุกขึ้นสาวเท้าเดินไปทางประตู
ขาเขาเพิ่งก้าวออกจากธรณีประตูไปได้ข้างเดียว อวิ๋นเยี่ยที่นิ่งเงียบอยู่นานทางด้านหลังจู่ๆ ก็เอ่ยปากขึ้น น้ำเสียงเจือแววกระทบกระเทียบแดกดัน “สตรีในใจเจ้ากำลังถูกสายฟ้าลงทัณฑ์อยู่นะ เจ้าแน่ใจว่าจะไม่ไปช่วยนาง”
หมิงซิวหยุดเดิน หันไปเอ่ยกับหมิงเยี่ยว่า “ข้ากับเสวี่ยหลันอีไม่ได้มีสัมพันธ์กันอย่างที่เจ้าคิด”
อวิ๋นเยี่ยยกมุมปากขึ้นเรียบๆ “เช่นนั้นหรือ ดูท่าเจ้าคงจำเรื่องเมื่อสองหมื่นปีก่อนไม่ได้แล้ว ที่เจ้าคุกเข่าอยู่กลางศาลบรรพชน ขอร้องให้ผู้อาวุโสทั้งหลายยอมตกลงเรื่องการแต่งงานระหว่างเจ้ากับเสวี่ยหลันอี”
หมิงซิวขมวดคิ้วด้วยความฉงน
อวิ๋นเยี่ยยิ้มเย็น “เมื่อครานั้นเจ้าพูดไว้ว่าอย่างไรนะ ชั่วชีวิตนี้หากไม่ใช่นางจะไม่แต่งงาน ยินดีสละตำแหน่งเจ้าตำหนักเมฆาเพื่อโบยบินไปเคียงคู่กับนาง หึ ข้ายังคิดว่าเจ้าเห็นแก่ความรักสักเพียงไหนเสียอีก”
น้ำเสียงของหมิงซิวดุขึ้น “อาเยี่ย เจ้าจะคิดอะไรก็ได้ แต่คำพูดคำจาจะพูดซี้ซั้วไม่ได้นะ”
อวิ๋นเยี่ยทำประหนึ่งคำพูดของอีกฝ่ายไม่เข้าหู ยิ้มเยาะขณะมองหน้าพี่ชาย “เจ้าไม่อยากรู้หรือว่าเหตุใดตนจึงจำอะไรไม่ได้”
หมิงซิวเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “ไม่ใช่ว่าข้าจำไม่ได้ แต่ข้าไม่เคยทำ”
อวิ๋นเยี่ยตีสีหน้าประชด “หึ ปากเป็นของเจ้า เจ้าจะพูดอย่างไรก็ได้”
เช่นนี้คงไม่อาจพูดคุยกันได้แล้ว หมิงซิวนิ่งมองอวิ๋นเยี่ยทีหนึ่ง หากนี่ไม่ใช่น้องชายร่วมอุทรของเขา เขาคงถีบอีกฝ่ายกระเด็นไปแล้ว
หากอยู่ต่อไป หมิงซิวกลัวว่าตนจะควบคุมตัวเองไม่ได้ คว้าหางอีกฝ่ายขึ้นมาฟาดหนักๆ ให้สักที หมิงซิวโบกแขนเสื้อแขนกว้าง สองมือไพล่ไว้ด้านหลังแล้วสาวเท้ายาวๆ เดินออกไป
ตอนเขากลับไปถึงห้องของตน ที่เป็นไปตามคาดก็คือเฉียวเวยเวยก็อยู่ด้วย เพียงแต่ว่านางแปลงร่างกลับไปเป็นบัวน้ำแข็งน้อยที่น่าทะนุถนอมอีกแล้ว
บัวน้ำแข็งน้อยกำลังถือกระจกปี้คงพร้อมพรมจูบกระจกด้วยความรักใคร่
หมิงซิวได้เห็นบัวน้ำแข็งน้อย อารมณ์ก็ดีขึ้นมาทันที
มุมปากหมิงซิวยกขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะเดินเข้าไปเงียบๆ
แต่เมื่อหมิงซิวได้เห็นคนที่บัวน้ำแข็งน้อยพรมจูบอยู่นั้น รอยยิ้มบนหน้าก็พลันแข็งค้าง
นี่เป็นภาพที่เคยปรากฏอยู่บนภาพแสงมาก่อน เขาในชุดสีขาวจูงเด็กชายอายุห้าหกขวบคนหนึ่งออกมาจากตำหนักพญาเทพ เด็กผู้ชายคนนั้นหน้าตาเหมือนเขามาก ก็คงน่าจะเป็นอาเยี่ย เจ้าดอกบัวน้อยไม่ได้กำลังจูบเขา แต่น้ำลายของนางเปียกอยู่เต็มหน้าอาเยี่ยจนทำให้ภาพอาเยี่ยพร่าเลือน
สีหน้าท่านเทพเจ้าตำหนักพลันบูดบึ้ง
กระจกปี้คงรับรู้ได้ถึงไอสังหารอันรุนแรงของอีกฝ่ายจึงรีบปิดภาพนั้น แสร้งทำเป็นแน่นิ่งไป
เอ๋?
หายไปแล้ว
บัวน้ำแข็งน้อยเขย่ากระจกปี้คง
หมิงซิวแย่งกระจกมาแล้วจับโยนเข้าตู้
บัวน้ำแข็งน้อยเลยของขึ้น เหลือบมองอีกฝ่ายด้วยความไม่พอใจแล้วจึงหันหลังให้ไม่สนใจเขาอีก
หมิงซิวยื่นมือที่เรียวยาวของตนออกไปจิ้มกลีบดอกน้อยๆ ของนาง
หึ!
บัวน้ำแข็งน้อยบิดตัวให้กลมเล็กอย่างต่อต้าน
พอคิดอะไรขึ้นได้หมิงซิวก็เรียกขานนางอย่างร้ายกาจว่า “พญาบัวทองคำ”
บัวน้ำแข็งน้อยพลันเดือดดาล คนๆๆๆ คนเขาไม่ใช่พญาบัวทองคำเสียหน่อย! คนเขาเป็นบัวน้ำแข็งตัวน้อยๆๆๆ หรอก!
หมิงซิวหัวเราะเงียบๆ จนไหล่สั่น
บัวน้ำแข็งน้อยแปลงร่างกลับมาเป็นคน ใบหน้าน้อยที่ยังเจือแววอ่อนเยาว์แดงก่ำไปหมด ดวงตาเบิกโตจนคล้ายกระดิ่งอันใหญ่ แทบอยากจะส่งสายตาไปแผดเผาหมิงซิวเสียให้ได้!
หมิงซิวรู้สึกขันจนควบคุมตัวเองไม่อยู่ ยกมือขึ้นจับปลายคางที่มนวาวของนาง เดิมทีแค่คิดว่าตนทำเช่นเดียวกับที่ทำกับอวิ๋นเชียนรั่ว แต่จังหวะที่มือสัมผัสกับปลายคางนางนั้น บรรยากาศกลับต่างออกไป
ใต้ปลายนิ้วของเขาคือผิวที่เนียนละเอียดของนาง ผิวพรรณเย็นฉ่ำแต่ปลายนิ้วเขากลับร้อนฉ่า
เฉียวเวยเวยถลึงตาใส่อีกฝ่ายอย่างดุดัน
แสงจันทร์อ่อนๆ ส่องลงมากระทบกับดวงตาที่วาวใสเป็นที่ต้องใจผู้คน แต่กระนั้นนางก็ยังถลึงตาเสียใหญ่โต ประกายในดวงตาพาให้ใจคนหลอมละลาย
หมิงซิวเขยิบเข้าไปใกล้
เฉียวเวยเวยตะลึงค้าง
กลิ่นอายหอมอ่อนๆ ของบุรุษที่เป็นของนางแต่เพียงผู้เดียวเข้ามาโอบล้อมนางไว้
ลมหายใจของเขาร้อนฉ่า ริมฝีปากอุ่นนุ่ม
เฉียวเวยเวยรู้สึกว่าตนใกล้จะเป็นลมเต็มที
“เปลี่ยนอากาศ” เขาบอก
เฉียวเวยเวยร่ายคาถาออกไป เปลี่ยนอากาศภายในห้องทั้งหมดใหม่
หมิงซิว “…”
หมิงซิว “ข้าหมายถึงเจ้า”
เฉียวเวยเวยกลั้นหายใจจนหน้าแดง “ข้าต้องเปลี่ยนด้วยหรือ”
หมิงซิวเกือบสำลักตาย!
“…” ไม่สนแล้ว
ความรู้สึกเช่นนี้แปลกประหลาดมาก แต่หลับไม่นึกรังเกียจ เฉียวเวยเวยเอ่ยถาม “เสี่ยวซิว เจ้าจะกระทำเรื่องเช่นนั้นกับข้าแล้วหรือ”
หมิงซิวเงยหน้ามองนางด้วยสายตาอบอุ่น “เจ้าอยากได้หรือไม่”
เฉียวเวยเวยนิ่งคิด “อยากสิ!”
หมิงซิวสูดหายใจเข้าลึกๆ บังคับเดินพลังปราณเทพ ทวนกระแสชีพจรเพื่อกดไฟร้อนเอาไว้ “ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา”
เฉียวเวยเวยทำท่าผิดหวัง “อ้อ”
หมิงซิวนอนลงข้างกายนาง โอบกอดนางจากด้านหลัง “ของที่งดงามที่สุดต้องเก็บเอาไว้ในช่วงเวลาที่งดงามที่สุด”
เฉียวเวยเวยหันหลังให้เขาจึงไม่เห็นสีหน้าอีกฝ่าย แค่เพียงจ้องมองกำแพงที่แข็งเย็น “เช่นนั้นเมื่อไรถึงจะเป็นช่วงเวลาที่งดงามที่สุดล่ะ”
หมิงซิวกอดแขนนางไว้แน่น เอ่ยเสียงเบาว่า “เมื่อผ่านพ้นเคราะห์ร้าย แสงเทียนในห้องหอย่อมส่องสว่าง”