ตอนพิเศษ 8-2 พลังเกล็ดมังกร
พอเด็กสาวรากปราณสวรรค์ออกมา เหลียวเจินเหรินก็หรี่ตา “ไม่เสียแรงที่เป็นรากปราณสวรรค์ ไม่เท่าไรก็ฝึกพื้นฐานสำเร็จแล้ว แต่น่าเสียดายที่อยู่กับผิดคน หากนางมาคารวะเป็นศิษย์ของสำนักว่านเซี่ยง…”
ประโยคหลังจากนั้นเหลียวเจินเหรินไม่ได้เอ่ยต่อให้จบ เหลียวเจินเหรินทำสัญญาณมือ ลูกศิษย์ชายคนหนึ่งอายุประมาณสิบห้าสิบหกปีก็ลงสู่สนาม
ศิษย์คนนี้มีรากปราณดินขั้นสูง ซึ่งเข้าสู่ช่วงฝึกปราณแล้ว หากว่าด้วยเรื่องฝึกตนแล้วเขาไม่เป็นรองเด็กสาวรากปราณสวรรค์เลย
แต่เด็กสาวรากปราณสวรรค์มั่นใจว่านางเอาชนะอีกฝ่ายได้ แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ แค่เพียงกระบวนท่าเดียว รากปราณดินก็ถูกซัดจนตกแท่นประลองแล้ว
ในลานประลองเกิดเสียงฮือฮา
คนที่สองที่ลงสู่สนามเป็นแม่นางรากปราณไม้คนหนึ่ง ซึ่งก็ถูกซัดหมอบในกระบวนท่าเดียวเช่นกัน
จนถึงตอนนี้ เด็กสาวรากปราณสวรรค์คิดว่าหลิงจือคงไม่ต้องลงสนามแล้ว ตนเองสามารถเอาชนะพวกเขาได้ทุกคน แต่เมื่อศิษย์คนที่สามลงสนาม สถานการณ์ก็พลันเปลี่ยนเป็นตึงเครียด
นี่ก็เป็นศิษย์รากปราณไม้เช่นกัน สิ่งที่เขาเก่งกาจไม่ใช่พลังปราณหรือกระบวนท่า แต่เป็นอาวุธในมือเขา
ตอนเขาควักเอาแส้เก้าท่อนออกมา เด็กสาวรากปราณสวรรค์ก็รู้สึกว่าพลังปราณของตนอ่อนแรงลงทันที
เด็กสาวรากปราณสวรรค์พยายามกระชากกระบี่ออก อีกฝ่ายใช้แส้เก้าท่อนพันกระบี่ของนางไว้แน่น
เด็กสาวรากปราณสวรรค์คิดจะใช้พลังปราณ สะท้อนเอาแส้เก้าท่อนออกไป ไหนเลยจะรู้ว่าแส้เส้นนั้นจู่ๆ ก็คล้ายมีชีวิตขึ้นมา งับเอาคมกระบี่ของเขาไว้แน่น
โลหิตมังกรหยดหนึ่งกระเซ็นออกมา
หางแส้พลันยกขึ้น สูบเอาโลหิตมังกรหยดนั้นไป
ทางด้านสำนักเชียนหลัน มีลูกศิษย์ใหม่คนหนึ่งเริ่มไม่สงบนิ่ง “สวรรค์ นั่นมันอาวุธวิเศษอะไรกัน ถึงขั้นดูดเอาโลหิตมังกรบนกระบี่ไปได้!”
ความล้ำค่าของกระบี่เล่มนี้ก็คือโลหิตมังกรเม็ดนี้ ขอเพียงยังมีโลหิตมังกรหยดนี้อยู่ ไม่ว่าอาวุธวิเศษอันใดก็ไม่อาจโจมตีได้
สายตาผู้พิทักษ์ใหญ่พลันเกร็งแน่น “นั่นเป็นอาวุธญาณ”
“อะไรนะ อาวุธญาณ?” คราวนี้เหล่าลูกศิษย์ใหม่พากันร้อนรน
อาวุธญาณลำดับขั้นสูงกว่าอาวุธวิเศษอยู่หนึ่งขั้น
อาวุธวิเศษที่ได้ชื่อว่าอาวุธวิเศษเป็นเพราะบนตัวมันผนึกเอาพลังปราณของผู้สร้างขึ้นเอาไว้ หรือในเนื้อวัตถุดิบของมันมีพลังปราณอยู่เล็กน้อย ส่วนอาวุธญาณกลับเป็นตัวมันเองที่มีญาณประจำอาวุธอยู่ในตัว พลังของญาณประจำอาวุธ เจ้าของอาวุธสามารถนำไปใช้ได้ทั้งหมด แส้เก้าท่อนเมื่อครู่นั้นก็มีญาณประจำอาวุธที่ร้ายกาจอยู่… นั่นคืองูเหลือมสองปีก
การประลองรอบนี้ ไม่มีอะไรให้ต้องคิดมาก สำนักว่านเซี่ยงเป็นฝ่ายชนะ
เด็กสาวรากปราณสวรรค์โกรธจนตัวสั่น
สำนักเชียนหลันก็มีอาวุธญาณเช่นกัน แต่ไม่มีการนำมาให้ลูกศิษย์ใหม่ใช้ เพื่อไม่ให้ลูกศิษย์ใหม่พึ่งพาแต่อาวุธมากเกินไปจนละเลยการฝึกฝน
เหลียวเจินเหรินเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ให้ตายสิ ดีร้ายอย่างไรสำนักเชียนหลันของพวกเจ้าก็เป็นสำนักอันดับหนึ่งอันดับสอง เหตุใดกระทั่งอาวุธที่เข้าท่าหน่อยก็ไม่ให้แก่ลูกศิษย์เลยเล่า แม่หนู สู้เจ้ามาอยู่สำนักว่านเซี่ยงของข้าดีกว่า อาวุธญาณมีให้เจ้าเลือกเอาตามใจชอบ เลือกจนถือไม่ไหวได้เลย!”
เด็กสาวรากปราณสวรรค์ถลึงตามองอีกฝ่ายด้วยสายตาดุดัน ก่อนจะหมุนตัวกลับไปอยู่ข้างผู้พิทักษ์รอง
คนต่อไปที่ลงสนามคือหลิงจือ
หลิงจือเพิ่งเข้ามาอยู่ในสำนักได้ไม่นาน อาวุธที่เรียนรู้วิธีการใช้แล้วจึงมีไม่มาก นอกจากกริชที่ใช้ป้องกันตัวนั้นแล้ว ก็มีแค่กระบี่ยาวของสำนักเชียนหลัน
นางถือกระบี่ขึ้นไปบนแท่นประลอง
ทุกคนมองกระบี่เหล็กหน้าตาธรรมดาๆ นั้นแล้วก็ได้แต่จึ๊ปากพลางส่ายหน้า นี่แทบจะเป็นการบดขยี้ที่ไร้ซึ่งความหวังเลยทีเดียว
แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ กระบี่ยาวของหลิงจือเพิ่งดึงออกมา ก็ถูกแส้เก้าท่อนของอีกฝ่ายกัดกินจนแหลกละเอียดทันที
แส้เก้าท่อนตรึงแขนขวาของนางเอาไว้
ด้วยการฝึกของหลิงจือ นางยังมองไม่เห็นปราณของอาวุธชิ้นนี้ แต่ผู้พิทักษ์รองกับผู้ดูแลหลิวล้วนมองเห็นว่างูเหลือมสองปีกตัวนั้นกำลังอ้าปากกว้างมุ่งหน้าไปหาหลิงจือ งูเหลือมตัวใหญ่ยักษ์ตัวนี้มีความสามารถขั้นพื้นฐานแล้ว จึงไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่ศิษย์ใหม่เช่นหลินจือจะรับมือได้
ผู้พิทักษ์รองโกรธจนกัดฟันกรอด “ไอคนต่ำช้า!”
ศิษย์พี่อวี๋ “อาจารย์ ผู้พิทักษ์รอง ให้ศิษย์ไปประลองเถิด”
ลูกศิษย์ใหม่ไม่ใช้อาวุธญาณ เดิมทีเป็นกฎที่ไม่มีเขียนไว้เป็นลายลักษณ์อักษร สำนักว่านเซี่ยงไร้ยางอายเช่นนี้ พวกเขาเองยังต้องเกรงใจอะไรอีก!
ในขณะที่ผู้พิทักษ์ใหญ่กำลังตัดสินใจว่าจะให้ศิษย์พี่อวี๋ไปร่วมการประลองหรือไม่ดีนั้น จู่ๆ หลิงจือก็ใช้มือซ้ายชักกริชตรงเอวออกมา
ชั่วขณะที่กริชหลุดออกจากฝักนั้น พายุหมุนอันดุดันรุนแรงหอบหนึ่งก็พัดมา ญาณประจำอาวุธของแส้เก้าท่อนราวกับได้พบศัตรูตัวฉกาจ รีบปล่อยแขนหลิงจือมุดกลับเข้าไปอยู่ในแส้ทันที
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นรวดเร็วเกินไป ยังไม่มีใครทันได้ตั้งตัว แส้เก้าท่อนของอีกฝ่ายก็แหลกสลายไม่เหลือชิ้นดีไปแล้ว
เจินเหรินเห็นท่าไม่ดี จึงรีบเก็บญาณประจำอาวุธตัวนั้นกลับไป
หลิงจือกลับรับรู้ได้ถึงการมีอยู่ของญาณประจำอาวุธนั้น นางขว้างกริชในมือออกไป!
กริชพุ่งตัวไปรวดเร็วราวกับสายฟ้า แทงทะลุผ่านพลังปราณของเจินเหรินไปดังฟวั่บ
ญาณประจำอาวุธถูกแทงเข้าจึงร้องโอดครวญก่อนวิญญาณจะสลายไป!
โลหิตมังกรหยดนั้นที่ถูกดูดเข้าไปลอยคว้างอยู่กลางอากาศ หลิงจือใช้พลังปราณห่อมันเอาไปส่งตรงหน้าเด็กสาวรากปราณสวรรค์ “คืนให้เจ้า”
โลหิตมังกรได้กลับมา เด็กสาวรากปราณสวรรค์ถึงกับหุบปากไม่ลง
คนอื่นๆ ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ทุกคนพากันตะลึงค้างกับภาพที่เห็น
ผู้ดูแลหลิวยืดอกผาย หึหึ กริชเล่มนั้นเขาเป็นคนทำ…
“พวกๆๆๆ… พวกเจ้า นั่นมันอาวุธญาณอันใดกัน” เหลียวเจินเหรินถามด้วยความร้อนรน
“อาวุธญาณ?” ผู้ดูแลหลิวยิ้มเยาะ “นั่นเป็นเพียงอาวุธวิเศษที่ข้าอยู่ว่างๆ แล้วทำขึ้นเท่านั้น”
ผู้พิทักษ์รองพูดเสริมว่า “ถึงว่านะ มีอาวุธญาณมากแล้วมีประโยชน์อันใด ยังสู้อาวุธวิเศษชิ้นหนึ่งของสำนักเชียนหลันเราไม่ได้ด้วยซ้ำ”
อะไรที่เรียกว่าตบหน้าดังเพี๊ยะ ก็คือตอนนี้นี่เอง
เหลียวเจินเหรินอับอายจนกลายเป็นเดือดดาล “วันนี้พอแค่นี้ก่อน พรุ่งนี้ค่อยประลองกันต่อ!”
เหล่าลูกศิษย์ของสำนักเชียนหลันพากันแค่นเสียงออกทางจมูกด้วยความดูแคลน “ต่อก็ต่อสิ ใครกลัวใครกัน”
หลิงจือเอาชนะคู่แข่งที่เด็กสาวรากปราณสวรรค์ยังเอาชนะไม่ได้ ผู้พิทักษ์ใหญ่พอใจยิ่งนัก
เด็กสาวรากปราณสวรรค์ถึงจะได้โลหิตมังกรกลับมาแล้ว แต่กลับไม่ดีใจอย่างที่คิดไว้ เพราะนางได้รู้ว่ากระบี่โลหิตมังกรยังสู้กริชเล่มหนึ่งไม่ได้ด้วยซ้ำ!
กลับมาเอ่ยถึงเหลียวเจินเหริน หลังจากเสียอาวุธญาณไปชิ้นหนึ่ง เขาก็กลับไปยังที่พักที่สำนักเชียนหลันจัดให้พร้อมความเดือดดาล
เหล่าลูกศิษย์ก็ตามเขากลับมาด้วย นอกจากลูกศิษย์คนที่ใช้อาวุธญาณเมื่อครู่รั้งอยู่ต่อในห้องเขาแล้ว คนอื่นๆ ที่เหลือล้วนกลับไปยังห้องของตนเอง
หลังจากประตูปิดลง เหลียวเจินเหรินนั่งลงบนเก้าอี้ด้วยสีหน้าบูดบึ้ง “ไม่คิดเลยว่าแค่รากปราณน้ำธรรมดาๆ คนหนึ่งจะสามารถทำลายอาวุธญาณของเจ้าได้! ฉือเฟิง เจ้าคิดเห็นเช่นไร”
ลูกศิษย์ที่ถูกเรียกว่าฉือเฟิงเปลี่ยนจากท่าทางที่ดูไม่เป็นที่สะดุดตาก่อนหน้านี้ มุมปากยกขึ้นเป็นองศาเย็นเยียบ “เหลียวเจินเหรินคงไม่คิดว่านั่นเป็นอาวุธวิเศษธรรมดาๆ ชิ้นหนึ่งหรอกกระมัง”
เหลียวเจินเหรินอึ้งไป “หรือว่านั่นเป็นอาวุธญาณ?”
ฉือเฟิง “อาวุธญาณก็ไม่ใช่ หากข้าเดาไม่ผิด นั่นน่าจะเป็นเกล็ดมังกรชิ้นหนึ่ง”
“อะไรนะ เกล็ดมังกร?” เหลียวเจินเหรินยิ่งตกใจหนักขึ้น “เจ้ารู้ได้อย่างไร”
ฉือเฟิงหลับตาเอ่ยว่า “ข้าได้กลิ่นไอมารมังกรจากกริชเล่มนั้น กลิ่นออกจะจางอยู่สักหน่อย เป็นมังกรน้อยที่ยังไม่โตเต็มวัย”
เหลียวเจินเหรินลังเลอยู่พักหนึ่งก่อนจะเอ่ยด้วยความงุนงงว่า “สำนักเชียนหลันจะมีมารมังกรอยู่ได้อย่างไร ไม่ได้บอกว่า… มารมังกรตัวสุดท้ายลอยขึ้นไปอยู่ชั้นเซียนแล้วหรอกหรือ มังกรเด็กตัวนี้ไปเอามาจากไหนอีก เจ้ามั่นใจนะว่าตนไม่ได้เข้าใจผิด”
ฉือเฟิงนึกย้อนกลับไปโดยละเอียอีกครั้ง “ข้ามั่นใจ ยิ่งไปกว่านั้นมันน่าจะอยู่แถวๆ นี้ด้วย”
เหลียวเจินเหรินขมวดคิ้ว “เจ้าจะบอกว่ามันอยู่ในสำนักเชียนหลัน?”
ฉือเฟิงพยักหน้า
เหลียวเจินเหรินเอ่ยประชดว่า “สำนักเชียนหลันช่างกล้านัก ถึงกับแอบซ่อนมารมังกรไว้เชียวหรือ!”
สายตาฉือเฟิงครึ้มลง “จะให้สำนักเชียนหลันได้มารมังกรตัวนี้ไปไม่ได้”
เหลียวเจินเหรินเหลือบมองเขาทีหนึ่ง “เจ้าคงไม่ได้คิดจะขโมยมังกรตัวนั้นไปกระมัง เวลานี้กระทั่งพวกเขาซ่อนมารมังกรตัวนั้นไว้ที่ใดก็ยังไม่รู้ เจ้ามีวิธีหรือ”
ฉือเฟิงเอ่ยด้วยความมั่นใจ “มีสิ”
…
ภายในเรือนที่มืดสลัว บุรุษสายตาเรียบเย็นนั่งอยู่บนม้าหิน
ที่ว่าสายตาเรียบเย็นนั้น คุณชายชุดขุนนางคาดเดาเอาเอง เพราะถึงอย่างไรใต้เท้าของเขาก็ใช้มนต์พรางตา เขามองสีหน้าอีกฝ่ายไม่ชัดอยู่แล้ว
บรรยากาศรอบตัวเขาเย็นเยียบจนน่าตกใจ จะต้องเป็นเพราะใต้เท้าของเขากำลังโกรธเกรี้ยวเป็นแน่!
“ผู้พิพากษาชุย เจ้าไม่ได้ทำงานนานเกินไปจนไม่คุ้นเคยกับงานแล้วหรือไร” บุรุษผู้นั้นเอ่ยเสียงเรียบเรื่อยขึ้น
ผู้พิพากษาชุยเอ่ยด้วยความลังเล “ท่านมั่นใจว่าจะทำเช่นนี้หรือ”
บุรุษผู้นั้นถามกลับ “หรือข้าต้องนั่งรอให้เจ้ามังกรน้อยนั่นมาฉี่ใส่อีกหรือ หรือเจ้ามีวิธีให้นางตามหาข้าไม่เจอ”
ผู้พิพากษาชุยคิดในใจว่าข้าน้อยไม่มี นางทำสัญลักษณ์ไว้บนตัวท่านแล้ว ของเพียงท่านยังอยู่ในแดนยมโลก นางก็สามารถตามหาท่านได้อย่างสบายๆ
ผู้พิพากษาชุยกระแอมเบาๆ “ท่านไปจากแดนยมโลกจะดีกว่า ข้าจะช่วยหาฐานะที่เหมาะสมกับท่านให้ เพียงแต่…มาตรฐานของท่านนี้ออกจะสูงเกินไปสักนิดหรือไม่ ทั้งต้องยังหนุ่ม ต้องรูปงาม แล้วยังต้องหลักแหลม ต้องไร้บิดาขาดมารดา ไร้พี่ชายน้องสาว ไร้ญาติขาดมิตร… นี่ นี่มันชะตาของผู้อยู่ในดาวโดดเดี่ยวชัดๆ ดาวโดดเดี่ยวเช่นนี้หาเจอง่ายๆ ที่ไหนกัน…”
เอ่ยไปยังไม่ทันจบ ผู้พิพากษาชุยก็พลิกเปิดบัญชีชะตาชีวิตอีกหน้าหนึ่ง ก่อนสายตาจะพลันเป็นประกาย “อ้อ หาเจอแล้ว! หาเจอแล้ว! นี่เพิ่งสดๆ ร้อนๆ เลย! รับรองว่าหนุ่มแน่นอน รูปงามแน่นอน และหลักแหลมแน่นอน ยังเป็นบุตรกำพร้าเสียด้วย!”
หลังจากนั้นหนึ่งเค่อ เด็กยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมอายุสามขวบอยู่ถือกำเนิดขึ้นบนยอดเขาศิษย์ใหม่
ใต้เท้าเจ้าตำหนักผู้นั้นล้มแผลงลงกับพื้น พ่นดินในปากออกมา
นัยน์ตาใต้เท้าเจ้าตำหนักพลันแผ่ไอสังหารดุดันออกมา ไอเจ้าแซ่ชุย ข้าว่าเจ้าคงอยากตายแล้วสินะ
ผู้พิพากษาชุยพลันขนหัวลุก “ได้ๆๆ… ดูเหมือนออกจะ… หนุ่มไปสักหน่อยสินะ… ข้า… ข้าไม่ได้กลัวท่านจะแก่…”
ใต้เท้าเจ้าตำหนักเอ่ยตัดบทเขาเสียงเย็น “ข้าแก่?”
ผู้พิพากษาชุยเอ่ยด้วยความจริงใจอย่างยิ่ง “ท่าน…ไม่…แก่! ข้าจะกลับไปคิดหาทางอื่นอีกที วันๆๆๆๆ… วันหน้ายังมี ใต้เท้าเจ้าตำหนัก!”
พูดจบ ผู้พิพากษาชุยก็วิ่งฉิวหายไปทันที!
เขาเพิ่งก้าวออกไป ด้านหลังก้มีคนของสำนักว่านเซี่ยงเข้ามาพอดี
“ศิลาหน่วงนำสว่างแล้ว ที่นี่มีไอของมารมังกรอยู่!”
ใต้เท้าเจ้าตำหนักที่ถูกมารมังกรน้อยทำสัญลักษณ์ไว้ ยังไม่ทันได้ทำความคุ้นเคยกับฐานะใหม่ ก็ถูกตาข่ายอ่อนนุ่มจับตัวไปเสียแล้ว