ตอนพิเศษ 72-1 เวยเวย VS ธิดาเทพ
หมิงซิววางส้มที่ปลอกไปครึ่งหนึ่งแล้วลง หันไปมองอีกฝ่ายที่กำลังเดินเข้ามาช้าๆ ครั้นร่างที่คุ้นตานั้นปรากฏขึ้นตรงหน้า สายตาเขาก็อึ้งงันไปเล็กน้อย
เสวี่ยหลันอีปลดผ้าคลุมหน้าลง เผยให้เห็นดวงหน้าที่งดงามล่มบ้านล่มเมือง ทั่วทั้งห้องคล้ายถูกความงดงามของธิดาเทพให้สว่างไสว
นัยน์ตานางมีประกายราวกับผลึกแล้ว วาวใส เจิดจ้าราวกับดาวเหนือ
หมิงซิวลุกขึ้นยืน มองอีกฝ่ายไม่วางตา
นางก็หยุดยืนตรงหน้าเขาห่างไปหนึ่งก้าว มองเข้าไปในดวงตาที่ล้ำลึกของอีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน มือเรียวยกขึ้น ปลายนิ้วสัมผัสใบหน้าเขาเบาๆ สัมผัสนั้นเจือแววระมัดระวังประหนึ่งกลัวว่าจะสัมผัสไม่ได้ น้ำเสียงของนางเจือแววสั่นไหวที่สังเกตได้ยาก “เจ้ากลับมาแล้ว”
หมิงซิวจ้องตานาง “ข้ากลับมาแล้ว”
นัยน์ตาเป็นประกายของเสวี่ยหลันอีพลันมีไอน้ำชั้นบางๆ ขึ้นมาเกาะ “เจ้าไปอยู่ที่ใดมากันแน่”
หมิงซิวเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ข้าไปอยู่ด้านนอกแดนเทพ”
เสวี่ยหลันอีอุทานเสียงเบา “มิน่าเล่า”
เสวี่ยหลันอีจับข้อมือหมิงซิว ไอเย็นสบายแผ่เข้าไปทั่วร่างเขา ไอปราณนั้นแล่นไปตามเส้นชีพจรเขารอบหนึ่ง สีหน้าที่ขาวซีดของเขามีสีเลือดขึ้นมาโดยพลัน
หมิงซิวพยักหน้า “ขอบคุณมาก”
เสวี่ยหลันอีเอ่ยถาม “จิตตั้งต้นของเจ้ายังไม่สมบูรณ์ พลังฝึกตนก็ถดถอยลงมาก หากยังไม่รักษาจิตตั้งต้นเจ้าให้เรียบร้อย เจ้าจะใช้พลังปราณเทพมากเกินไปอีกไม่ได้”
“ข้ารู้แล้ว” หมิงซิวตอบ
เสวี่ยหลันอีดึงมือกลับ หมุนตัวไปรินน้ำชา หางตาเหลือบไปเห็นส้มที่ปอกไปได้ครึ่งทางก็หัวเราะด้วยความแปลกใจ “เจ้าชอบกินเจ้าสิ่งนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน”
หมิงซิวเพียงยิ้มไม่ตอบ
เสวี่ยหลันอีนั่งลงแล้วยื่นชาไปให้หมิงซิว
หมิงซิวรับถ้วยชาที่ส่งไอร้อนไปแล้วลงนั่งตรงข้ามนาง
เสวี่ยหลันอีมองเก้าอี้ว่างข้างตน หลุบตาลง มุมปากยกขึ้นก่อนหันไปมองหมิงซิว “เจ้าไม่ถามข้าเลยว่าข้าเป็นอย่างไรบ้าง”
หมิงซิวจิบชาอึกหนึ่ง “เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
เสวี่ยหลันอีตอบเสียงเบา “ข้าได้เป็นธิดาเทพแล้ว”
ไม่รู้คิดถึงอะไร สีหน้าหมิงซิวดูชะงักไปเล็กน้อย “ยินดีด้วย ความปรารถนาในวัยเด็กเป็นจริงแล้ว”
เสวี่ยหลันอีทำท่าอยากเอ่ยบางอย่าง สีหน้าฉายแววเศร้าหมอง “เจ้าก็รู้ว่าความปรารถนาของข้าไม่ใช่เรื่องนี้”
หมิงซิวไม่ได้ตอบอะไร แค่เพียงจิบชาไปเงียบๆ เมื่อภายในห้องเกิดความเงียบ บรรยากาศจึงดูอึดอัดเล็กน้อย
“อาเยี่ยเป็นอย่างไรบ้าง” เป็นหมิงซิวที่ทำลายความเงียบอันน่าอึดอัดนี้ “ข้าได้ยินรั่วเอ๋อร์บอกว่าเขาถูกขังอยู่ในหอคอยผนึกปีศาจ เขาไม่ใช่ปีศาจ เหตุใดถึงถูกขังอยู่ในสถานที่เช่นนั้นได้”
เสวี่ยหลันอีถอนหายใจ “ถึงแม้เขาจะไม่ใช่ปีศาจ แต่เขาถูกดูดเอาพลังปราณเทพไปหมดจนยากจะรักษารูปลักษ์ของคนไว้ได้แล้ว จึงถูกถือว่าเป็นปีศาจ ถูกขังไว้ในหอคอยผนึกปีศาจ ครานั้นข้าช้าไปก้าวหนึ่ง ตามหาเจอเพียงรั่วเอ๋อร์ กว่าข้าจะจัดการรั่วเอ๋อร์เสร็จไปออกตามหาอาเยี่ยอีกที อาเยี่ยก็ถูกเทพเป่ยไห่จับตัวไปแล้ว”
“ท่านเทพเป่ยไห่” ฝ่ามือใหญ่ของหมิงซิวกำแน่นเป็นหมัด นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้ยินชื่อนี้จากปากคนอื่น แต่ชื่อนี้ไม่เหมือนกับตราพญาเทพ ชื่อนี้เขาคุ้นหูเป็นอย่างดี
เสวี่ยหลันอีเอ่ยด้วยความเศร้าหมอง “หลายปีมานี้ข้าพยายามคิดหาทางช่วยอาเยี่ยออกมา แต่หลังจากหอคอยผนึกปีศาจไปอยู่ในความดูแลของเทพเป่ยไห่ เขาก็ไม่อนุญาตให้ใครเข้าใกล้อีกเลย”
หมิงซิวบอกว่า “ลำบากเจ้าแล้ว”
เสวี่ยหลันอีระยายยิ้มบาง “ระหว่างพวกเราจำเป็นต้องเอ่ยเช่นนี้ด้วยหรือ ข้าแค่เพียงโกรธที่ตอนนั้นปกป้องตำหนักเมฆาเอาไว้ไม่ได้ ข้าตามหาเจ้ามานานเพียงนี้ก็ยังไม่พบร่องรอยของเจ้าเสียที ข้าจึงเดาว่าเจ้าไม่อยู่ในเผ่าเทพแล้ว… หากข้านึกถึงเรื่องนี้ได้ตั้งแต่แรก ข้าคงเปิดเส้นทางลงไปรับเจ้าที่แดนล่างได้ทัน”
หมิงซิวเอ่ยว่า “เจ้าทำได้ดีมากแล้ว หากไม่ได้เจ้า รั่วเอ๋อร์คงตายไปแล้ว”
เสวี่ยหลันอีส่ายหน้า “พูดไปก็น่าละอาย ข้าใช้เวลาถึงสองหมื่นปีกว่าจะหาโอกาสก่อร่างใหม่ให้รั่วเอ๋อร์ได้ จนถึงเดี๋ยวนี้รั่วเอ๋อร์เลยยังเป็นเพียงเด็กคนหนึ่งอยู่”
หมิงซิวนึกถึงท่าทางออดอ้อนน่าเอ็นดูของน้องสาวแล้วระบายยิ้ม “เป็นเด็กก็ไม่ได้มีอะไรไม่ดี”
เสวี่ยหลันอีมองเขาด้วยสายตาอ่อนโยน “เจ้าเปลี่ยนไป”
“เช่นนั้นหรือ” หมิงซิวจิบชาช้าๆ
เสวี่ยหลันอีเอามือเท้าคาง รอยยิ้มอ่อนหวาน ไม่เหมือนธิดาเทพแห่งตำหนักเทพที่สูงส่งอยู่เหนือผู้คนทั้งปวง ท่าทางนางในเวลานี้กลับคล้ายเด็กสาววัยแรกแย้มในโลกมนุษย์ทั่วๆ ไป “ใช่สิ เมื่อก่อนเจ้าไม่เคยชอบเด็กเลย กระทั่งรั่วเอ๋อร์กับอาเยี่ยเจ้าก็ยังรำคาญพวกเขา ไหนเลยจะเหมือนในเวลานี้ เจ้ารู้จักเตรียมของกินให้รั่วเอ๋อร์แล้ว แต่ข้าต้องขอบอกเจ้าไว้ก่อน รั่วเอ๋อร์ไม่ชอบรสเปรี้ยว ครั้งหน้าเจ้าไม่ต้องปลอกผลไม้นี่ให้นางแล้ว”
หมิงซิวไม่ได้สบตากับนาง ยังคงจิบชาของตนต่อไป
เสวี่ยหลันอียื่นมือเรียบออกมาจับมือหมิงซิว “ข้าจะช่วยเจ้าช่วยอาเยี่ยเอง”
นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“อื้อ” หมิงซิวไม่ได้เอ่ยปฏิเสธ แต่ก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้ต่อ เขาลอบดึงมือข้างขวาที่เสวี่ยหลันอีจับไว้กลับมา ยกกาน้ำชามารินให้ตนเองจนเต็ม “เมื่อสองร้อยปีก่อนตอนเจ้าช่วยรั่วเอ๋อร์ก่อร่างใหม่ เจ้าใช้โลหิตของจอมมาร เจ้ารู้หรือไม่ว่าเวลานี้นางอยู่ที่ใด”
“สตรีนางนั้นเป็นจอมมารหรือ” เสวี่ยหลันอีทำหน้าแปลกใจ ในขณะที่กำลังจะเอ่ยบางอย่าง ประตูห้องก็ถูกคนถีบเปิดจนกระเด็น!
เสวี่ยหลันอีขมวดคิ้ว ด้านนอกประตูห้องมีการตั้งข่ายอาคมไว้ ผู้ใดกันที่สามารถทะลุข่ายอาคมเข้ามาถึงประตูห้องนี้ได้
สายตาหมิงซิวพลันขยับ ลุกขึ้นเดินเร็วๆ ไปที่ประตู มือเปิดประตูที่เหลืออยู่ครึ่งบานอย่างรวดเร็ว แต่ตรงหน้าประตูว่างเปล่า ไม่มีเงาใครอยู่สักคนเดียว
ตรงเรือนข้าง จู๋อีลากเฉียวเวยเวยไปหลบอยู่ใต้ต้นอู๋ถงที่มีอายุนับพันปี จู๋อีทำท่าให้นางเงียบเสียง เอ่ยอย่างขวัญผวาว่า “เจ้าทำอะไรน่ะ ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วหรือ เจ้ารู้หรือไม่ว่าใครอยู่ข้างใน เจ้าถึงได้ไปถีบประตูอย่างนั้นน่ะ”
“มนุษย์นก?” เฉียวเวยเวยถาม
จู๋อี “…”
จู๋อีมีความโกรธแล่นขึ้นมาจุกตรงลำคอ จะกลืนก็กลืนไม่ลง จะคลายก็คลายไม่ออก พักใหญ่ในที่สุดนางก็พอจะข่มอารมณ์ให้สงบได้ เอ่ยกับเฉียวเวยเวยด้วยสีหน้าจริงจัง “หากยังกล่าววาจาเช่นนี้อีกแล้วมีคนเอาไปพูด เจ้าจะถูกตีตายได้นะ ท่านเทพก็คุ้มกะลาหัวเจ้าไม่ได้”
เฉียวเวยเวย “ข้าตีไม่ตาย ข้าเป็นมังกร”
“ถ้าเจ้าเป็นมังกร ข้าก็เป็นวิหคเฟิ่งแล้วสิ!” จู๋อีถลึงตาใส่นาง เห็นได้ชัดว่าไม่เชื่อที่นางเอ่ย คิดว่าเป็นเพียงคำพูดล้อเล่นของเด็กคนหนึ่ง “อีกอย่างนะ มังกรก็ตายได้ เจ้าคิดว่าในแดนเทพไม่เคยสำเร็จโทษมังกรมาก่อนหรือ เมื่อหลายพันปีก่อนมีมังกรตัวหนึ่งกล่าววาจาจาบจ้วงธิดาเทพ เลยถูกลงโทษให้ไปยังแท่นทวยเทพ จนร่างเทพแหลกสลาย!”
จู๋อีพูดพลางส่งเสียงจึ๊ๆ “เจ้าไม่ใช่มังกรเสียหน่อย จะเอ่ยเรื่องพวกนี้กับเจ้าไปไย สรุปก็คือ นางเป็นคนที่เจ้าจะมีเรื่องด้วยไม่ได้ ต่อให้เจ้าไม่เลื่อมใสศรัทธาในนาง ก็อย่าได้ล่วงเกินนางเด็ดขาด”