ตอนพิเศษ 67-1 เปิดเส้นทาง ลอยขึ้นสู่แดนเทพ (2)
ทางตะวันตกเฉียงเหนือของแดนเทพ มีภูเขาร้างตั้งตระหง่านอยู่ลูกหนึ่ง ด้านใต้ของภูเขาร้างต่ำลงไปนับพันฉื่อ มีหมู่บ้านปรักหักพังตั้งอยู่ ภายในหมู่บ้านมีชาวบ้านพักอาศัยสะเปะสะปะอยู่สิบกว่าคน ในสถานที่ที่ตัดขาดจากโลกภายนอกแห่งนี้ พวกเขาเป็นเผ่ามนุษย์กลุ่มสุดท้ายที่เหลืออยู่
ที่นี่เคยมีชื่อเสียงที่โด่งดังในชื่อว่า หุบเขาซือกั้ว
เดิมหุบเขาซือกั้วคือสถานที่ที่มีไว้เพื่อลงโทษนักโทษ คนที่มาที่นี่ล้วนเป็นขุนพลเทพที่กระทำความผิดหนักแต่ก็ไม่ถึงขั้นถูกให้ขับลงจากแท่นองค์เทพ พวกเขาจะถูกยึดคืนการฝึกตน ถูกตัดรากปราณจนเหมือนคนธรรมดาคนหนึ่ง และจะต้องใช้ชีวิตทบทวนความผิดต่อไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่
ก่อนหน้านี้ยังเคยมีคนลองหนีออกไปมาก่อน แต่หลังจากถูกสั่งสอนอย่างโหดร้ายกลับมาครั้งแล้วครั้งเล่า ในที่สุดทุกคนก็เลิกต่อต้าน
ในสถานที่ที่คนนอกเข้าไม่ได้ คนในก็ออกไปไม่ได้เช่นนี้ อันที่จริงชีวิตนับว่าสงบเงียบมากทีเดียว
แต่ความสงบเงียบเช่นนี้ถูกทำลายลงเมื่อหนึ่งเดือนก่อน
หุบเขาซือกั้วเริ่มมี “ผี” หลอกแล้ว ยามวิกาลมักมีข้าวของหายไปอย่างน่าประหลาด ช่วงแรกเป็นพวกอาหารการกิน แต่ตอนหลังเริ่มเปลี่ยนเป็นของใช้ มีครั้งหนึ่งกระทั่งผ้านวมของใครคนหนึ่งก็หายไปด้วย
คนที่ถูกส่งมายังหุบเขาซือกั้วถึงแม้จะไม่ใช่คนดีอะไร แต่ก็หาใช่ขโมยขโจร ใครกันดึกดื่นไม่หลับไม่นอน แอบออกมาขโมยของข้างนอกกันเล่า? ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้ขโมย ก็ควรจะเป็นสิ่งของล้ำค่าสักหน่อย เช่นว่าศิลาศักดิ์สิทธิ์ เงินทองเครื่องประดับ หรือวิชาเวทย์… เหตุใดของที่ขโมยจึงมีแต่ของกินของใช้ไปได้
บุรุษร่างกำยำวัยกลางคนที่มีหนวดเคราเต็มหน้าตบศีรษะบุรุษรูปร่างผอมแห้งคนหนึ่ง “เจ้าแซ่หู! โรคเดินละเมอของเจ้ากำเริบอีกแล้วใช่รึไม่!”
บุรุษแซ่หูถูกบุรุษร่างกำยำตบเข้าให้ฉาดหนึ่งก็ถึงกับชาดิกไป จากนั้นพอเริ่มหายชาแล้วก็ถลึงตาดุดันใส่บุรุษร่างกำยำ “ข้าบอกเจ้ากี่ครั้งแล้ว ข้าไม่ได้เป็นโรคเดินละเมอ! เมื่อก่อนข้าแค่แกล้งพวกเจ้าเฉยๆ!”
บุรุษแซ่หูมาอยู่ที่หุบเขาซือกั้วก่อนใคร ด้วยความเบื่อหน่ายทุกครั้งเวลามีคนใหม่มาจะแกล้งหยอกพวกเขาทุกครั้งไป แต่ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร หุบเขาซือกั้วไม่มีคนทำผิดคนใหม่มาอีก เขาก็เลยไม่ได้แกล้ง “เดินละเมอ” นานแล้ว
“ไม่ใช่ฝีมือเจ้า? แล้วเหตุใดของถึงหายไปได้” บุรุษร่างกำยำเคยถูกบุรุษแซ่หูแกล้งมาก่อน เป็นตายอย่างไรก็ไม่เชื่อว่าเขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้
บุรุษแซ่หูแค่นเสียงออกทางจมูก “ของของข้าก็หายไปเช่นกัน ข้ายังอยากถามเจ้าอยู่ทีเดียวว่านึกแค้นใจจึงกลับมาเอาคืนกับข้า เอาคืนกับทุกคนใช่หรือไม่”
บุรุษร่างกำยำเป็นคนที่มาที่นี่คนสุดท้าย ช่วงแรกคนที่แกล้งเขาไม่ได้มีเพียงบุรุษแซ่หูแค่คนเดียว
บุรุษร่างกำยำตะคอกใส่ว่า “หากข้าคิดจะเอาคืนพวกเจ้าต้องรอมาจนถึงเดี๋ยวนี้ด้วยหรือ ผอมแห้งเป็นแท่งไผ่เช่นพวกเจ้ายังไม่พอรับหมัดข้าเลย!”
เมื่อเห็นว่าทั้งสองใกล้จะทะเลาะกันเต็มที ผู้เฒ่าผมขาวโพลนคนหนึ่งก็ลุกขึ้น “พวกเจ้าไม่ต้องเถียงกันแล้ว”
เสียงของเขาไม่ได้ดัง น้ำเสียงก็ไม่รุนแรง แต่ฟังดูมีบารมีอย่างประหลาด ทำให้บุรุษทั้งสองที่ยืดอกใส่กันพลันข่มไฟโทสะในใจลง
ผู้คนที่คอยมองอยู่รอบๆ ต่างหันไปมองทางผู้เฒ่าผู้นั้น
ผู้เฒ่าบอกว่า “คืนนี้ทุกคนไม่ต้องนอน ใครเป็นคนขโมยอีกไม่นานก็จะได้รู้กันแล้ว”
ตกดึงทุกคนทำตามที่ผู้เฒ่าบอก คอยเฝ้าจับกระต่ายอยู่ในลาน
แต่คืนแรกขโมยนั่นไม่ได้มา
คืนที่สองก็ยังคงไม่มีใครมา
คืนที่สาม คืนที่สี่…
ทุกคนพากันสงสัยว่าผู้เฒ่าคาดเดาอะไรผิดไปรึไม่ เช่นนี้เห็นชัดว่าเป็นคนในมิใช่หรือ การจะจับคนในเสียยิ่งใหญ่เช่นนี้ คนในคงรู้เรื่องหมดแล้ว ย่อมไม่ออกมาก่อเหตุอีกแน่นอน
ในขณะที่ทุกคนคิดจะเปลี่ยนวิธีการจับโจรใหม่นั้น ตรงปากหมู่บ้านก็มีความเคลื่อนไหวเกิดขึ้น
บางอย่างที่ขนปุกปุยวิ่งเร็วๆ เข้ามา
ทุกคนเพ่งสายตามองก็ถึงกับตาค้างไป
“กระรอก?” บุรุษร่างกำยำเอ่ยขึ้นด้วยความตกใจ
บุรุษแซ่หูเอามือปิดปากเขา “ซู่ว์ นี่ไม่ใช่กระรอกธรรมดาๆ ไม่เห็นหรือว่าหัวมันใหญ่ขนาดนั้น นี่เรียกว่าสัตว์ประหลาดได้แล้วนะ เดี๋ยวก็ถูกมันกินเข้าให้หรอก!”
บุรุษร่างกำยำที่ถูกปิดปากเบิกตาโตถามว่า “อุบเอ๋าอืออั้วอืออาอี๊อาอั๊วอื๋อ?”
หุบเขาซือกั้วมีสัตว์ประหลาดกับเขาด้วยหรือ
บุรุษแซ่หูดันฟังเข้าใจเสียด้วย แต่เขาไม่รู้จะตอบอย่างไร ถึงอย่างไรหุบเขาซือกั้วก็เป็นสถานที่ไว้สำหรับกักกันนักโทษ นับเป็นคุกแห่งหนึ่ง ปราณเทพของที่นี่ถูกสูบไปจนเหือดแห้งไม่เหลือแล้ว ไม่มีผู้ใดสามารถฝึกตนได้ และไม่มีสัตว์และพืชชนิดใดที่สามารถกลายเป็นสัตว์วิเศษได้
เขาหันไปมองผู้เฒ่าที่อยู่ด้านข้าง
ผู้เฒ่าหันมองกระรอกตัวใหญ่อย่างเยือกเย็น นัยน์ตามีแวววูบไหวอย่างน้อยครั้งจะได้เห็น เขายกมือขึ้นส่งสัญญาณบอกให้ทุกคนอย่าได้ตื่นตูมไป
ทุกคนก็อยู่นิ่งๆ ตามที่เขาบอกจริงๆ
กระรอกตัวใหญ่วิ่งเข้าไปในบ้านหลายหลัง มันกลับมามือเปล่าคล้ายกำลังตามหาบางอย่างอยู่
สุดท้ายมันเข้าไปในบ้านของผู้เฒ่า คว้าตะกร้าสมุนไพรออกมาแล้ววิ่งหนีไป
ผู้เฒ่าสีหน้าเคร่งขรึม “ตามมันไป”
ทุกคนย่องตามมันไป
กระรอกตัวนี้รวดเร็วยิ่งนัก ทุกคนแทบจะตามมันไม่ทัน ยังดีที่สมุนไพรที่มันเอาไปมีสมุนไพรตัวหนึ่งที่กลิ่นรุนแรง ทุกคนจึงตามกลิ่นนั้นไปจนมาถึงด้านนอกถ้ำที่มีแสงสลัวส่องออกมา
ทุกคนหันมองหน้ากัน
ไม่นานกระรอกตัวใหญ่ก็ออกมาจากในถ้ำ ในมือมีกระบอกไม้ไผ่แท่งเล็กเพิ่มขึ้นมา มันถือกระบอกไม้ไผ่หายเข้าไปในความมืด ไม่เท่าไรก็ตักน้ำใส่กระบอกไม้ไผ่กลับมา
หลังจากมันเข้าไปในถ้ำแล้ว ทุกคนก็ทำใจกล้าตามเข้าไป
ภายในถ้ำไม่ใหญ่นักแต่กลับเก็บกวาดจนสะอาดเรียบร้อย ไม่เพียงไม่มีกลิ่นประหลาดแม้แต่น้อย แต่ยังส่งกลิ่นหอมอ่อนนอกเหนือจากกลิ่นสมุนไพรอีกด้วย กลิ่นหอมนี้อ่อนละมุนและสง่างาม ทำให้คนได้กลิ่นจิตใจสงบนิ่ง
เดิมทีคิดว่าคนที่อยู่ในถ้ำจะเป็นสัตว์ประหลาดภูตจากเผ่าเดียวกันกับกระรอก ไหนเลยจะรู้ว่าเป็นสตรีสาวรูปร่างผอมบางคนหนึ่ง
สตรีสาวนอนตะแคงอยู่บนผ้านวมผืนหนา สวมใส่เสื้อผ้านักโทษหญิงที่หายไป เสื้อผ้าออกจะใหญ่ไปสักหน่อย ยามนางสวมใส่จึงดูหลวมโคร่งจนดูคล้ายว่าเหลือเพียงโครงกระดูก ผมดำยาวของนางยาวสยายอยู่บนผ้านวม นางน่าจะป่วยอยู่ กระทั่งเส้นผมดำยาวของนางก็แห้งแตกจนไร้ซึ่งประกาย
ใบหน้าด้านข้างที่งดงามแต่กลับซีดเซียวของนางเปิดเผยสู่สายตาทุกคน ทุกคนรู้สึกหัวใจถูกกระแทกให้ทีหนึ่ง
ไม่รู้ว่านางสลบไปหรือกำลังหลับใหล จึงไม่รู้ตัวสักนิดว่ามีคนมา
กลับเป็นกระรอกตัวนั้นที่เอาสมุนไพรยัดใส่ปากคนบนผ้านวม ที่รู้สึกได้ถึงความเคลื่อนไหวทางด้านหลังจึงรีบหันขวับมามอง ดวงตาที่อบอุ่นอ่อนโยนพลันแผ่ไอสังหารอันหนาแน่นออกมา!
กระรอกตัวนั้นกระโจนเข้าใส่ทุกคนโดยไม่พูดพร่ำทำเพลงทันที!
ทุกคนสูญสิ้นพลังเวทย์ หากสู้กันตัวต่อตัวย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้ของกระรอกตัวนี้ แต่เมื่อร่วมด้วยช่วยกัน คนที่เสียเปรียบก็ไม่ใช่พวกเขาแล้ว
แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ หลังจากสู้กันพักหนึ่ง กระรอกก็ถูกทุกคนล้อมจับไว้ได้
กระรอกส่งเสียงร้องจี๊ดๆๆ!
เสียงดังเพียงนี้แล้วก็ยังทำให้สตรีบนผ้านวมตื่นไม่ได้
บุรุษร่างกำยำกระซิบถาม “นางเป็นใครกัน ใช่ผู้ฝึกตนเทพที่เพิ่งถูกลงโทษมาหรือไม่”
บุรุษแซ่หูตบศีรษะเขาทันที “เจ้าเคยเห็นผู้ฝึกตนเทพที่ไหนถูกลงโทษแล้วมานอนอยู่ในถ้ำเช่นนี้หรือ คนเขาถูกจับโยนลงมา โยน! โยน! โยน! โยนลงมาที่พวกเราอยู่นี่!”
บุรุษร่างกำยำถลึงตาใส่เขา “ตบหัวข้าอีกที ข้าจะชกเจ้าแล้วนะ!”
บุรุษแซ่หูทำเสียงเชอะ ไม่เก็บคำพูดอีกฝ่ายมาใส่ใจ เก็บกิ่งไม้จากพื้นคิดจะเดินเข้าไปเขี่ยนางในถ้ำสักหน่อย
อันที่จริงก็ไม่แปลกที่เขาจะระวังเนื้อระวังตัวเช่นนี้ แต่ที่นี่ถึงกับมีกระรอกตัวหนึ่งกลายเป็นสัตว์ภูต มีแต่ภูตผีที่รู้ว่าแม่หนูนี่มีความเป็นมาเป็นไปอย่างไร จะมีความสามารถอะไรที่พวกเขาไม่รู้หรือไม่ เขาจึงไม่กล้าผลีผลามขยับเข้าไปใกล้นาง
กิ่งไม้นั้นสะกิดที่ขาอีกฝ่าย
นิ่งสนิท!
บุรุษแซ่หูยินดียิ่งนัก วางกิ่งไม้ลงวิ่งเข้าไปหาแม่นางผู้นั้น ในขณะที่กำลังจะคว้าแขนอีกฝ่ายนั้น แสงสีทองแสงหนึ่งก็พุ่งเข้ามาจากปากถ้ำ กระแทกใส่บุรุษแซ่หูจนตัวกระเด็นไปชนกำกับแพงหิน
ทุกคนหันไปมองด้วยความระมัดระวัง เห็นเพียงตรงปากถ้ำที่มืดมิด ไม่รู้มีบุรุษในอาภรณ์สีขาวนวลเดินเข้ามาตั้งแต่เมื่อไร บนใบหน้าบุรุษผู้นั้นมีรอยเลือดอยู่เต็มไปหมด แขนเสื้อถูกกรีดขาด มองดูแล้วสภาพย่ำแย่พอประมาณ แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้น บุรุษผู้นั้นรูปร่างสูงใหญ่ มากล้นด้วยบารมี ดวงตาที่ลึกล้ำจนมองไม่เห็นจุดสิ้นสุดคล้ายเป็นปากทางที่เปิดไปสู่นรก ไอสังหารที่ดุดันแผ่กระจายออกมา
หัวคิ้วทุกคนพลันเลิกขึ้น!
มือซ้ายของบุรุษผู้นั้นถือไก่ป่าที่เพิ่งล่ากลับมาได้ มือขวาคล้ายถือบางอย่างอยู่ กำลังยกขึ้นช้าๆ
“อ่า…” ลำคอของผู้เฒ่ามีเสียงร้องที่พยายามกดเอาไว้ออกมา
ทุกคนหันไปมองก็เห็นว่าผู้เฒ่าที่เดิมทีมีทุกคนคอยคุ้มกัน ตอนนี้ถึงกับถูกบุรุษผู้นั้นบีบคอผ่านอากาศแล้วค่อยๆ ยกขึ้นช้าๆ
บุรุษแซ่หูตกใจมาก “เขามีพลังเวทย์!”
ทุกคนพากันถอยกรูดไปหลายก้าว
หุบเขาซือกั้วเป็นคุกแห่งหนึ่ง ในคุกไม่มีพลังปราณเทพ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่านักโทษที่มาที่นี่ทุกคนล้วนถูกถอดการฝึกตน ตัดรากปราณจนไม่อาจฝึกตนได้อีกแล้ว!
แค่คนผู้นี้… คนผู้นี้ถึงกับ….