ตอนพิเศษ 62-2 มหาอัสนีวิบาก (2)
ตอนนี้เองผู้ฝึกตนอาวุโสหลายคนก็เดินออกมา ใบหน้าโอบอ้อมอารีเอ่ยอย่างกระตือรือร้น “แต่พวกข้าเป็นผู้อาวุโส! พวกข้าคงเข้าไปได้กระมัง อีกเดี๋ยวพวกเรามีเรื่องสำคัญต้องหารือกับชิงสุ่ยเจินเหริน!”
อวี๋เจี๋ยยังคงรักษารอยยิ้มมีมารยาทไว้ “ข้าเคยบอกแล้วว่าชิงสุ่ยเจินเหรินมิได้พักอยู่ที่นี่ พวกท่านไปรอที่เรือนของเขาเถิด”
ผู้ฝึกตนอาวุโสคนหนึ่งแย้งว่า “แต่อีกเดี๋ยวท่านเซียนก็จะมาที่นี่มิใช่หรือ!”
อีกคนเอ่ยเสริมว่า “ใช่แล้ว!”
พวกเขาแย่งชิงกันพูดสับสนวุ่นวาย ทำราวกับว่าหากอวี๋เจี๋ยกับหลิงจือไม่ยอมหลีกทางให้พวกเขาย่อมเท่ากับต้อนรับแขกเหรื่อได้ไม่ดี
คนเหล่านี้ล้วนเป็นผู้ฝึกตนจากสำนักชื่อดัง พวกเขามีชื่อเสียงดีงามในแดนกลาง คนรุ่นอวี๋เจี๋ยกับหลิงจือจึงไม่สะดวกจะบุ่มบ่ามล่วงเกินพวกเขา
ในขณะที่ทั้งสองคนร้อนอกร้อนใจ จีเสี่ยวซิวก็ยกมือไพล่หลัง เดินเชิดคางอย่างทรงอำนาจน่าเกรงขามออกมาจากด้านใน
บางคนจดจำเขาได้ “เอ๋ นี่มิใช่เด็กรับใช้ตัวน้อยของคุณหนูตำหนักเซียนหรอกหรือ”
จากนายน้อยคนหนึ่งตกต่ำกลายเป็นเพื่อนเล่นของเด็กน้อยยังไม่พอ ตอนนี้ยังถูกลดขั้นกลายเป็นเด็กรับใช้อีกหรือ!
โทสะของจีเสี่ยวซิวพุ่งปรี๊ด!
จีเสี่ยวซิวตวัดสายตาอันน่าเกรงขามไปมองผู้ฝึกตนที่เรียกเขาว่าเด็กรับใช้คนนั้น จากนั้นจึงเท้าสะเอว ใช้น้ำเสียงอ้อแอ้ผรุสวาท “เจ้าว่าอะไรนะ กล้าก็พูดอีกรอบสิ!”
ผู้ฝึกตนคนนั้นไหนเลยจะสนใจว่าเด็กน้อยคนหนึ่งจะทำตัววางก้ามเช่นไร เขากระโจนเข้ามาจากนั้นก็ล้วงน้ำตาลก้อนที่ห่ออย่างเรียบร้อยชิ้นหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ “เจ้านามว่าอันใดหืม เจ้าสนิทกับบุตรสาวของท่านเซียนมากหรือไม่ เจ้ารู้หรือไม่ว่านางชอบสิ่งใด เจ้าบอกพี่ชาย เดี๋ยวพี่ชายจะให้น้ำตาลก้อนนี้กับเจ้านะ!”
พี่ชายอะไร ข้ารุ่นเดียวกับบรรพบุรุษเจ้าต่างหาก!
จีเสี่ยวซิวพองขนทันควัน เขาคว้าน้ำตาลก้อนของอีกฝ่ายแล้วโยนทิ้งลงพื้นอย่างแรง
หลังจากนั้นจีเสี่ยวซิวก็ผลักกลุ่มคนที่ขวางหน้าเขา เข้าไปรับขวดนมใบน้อยที่หลิงจือส่งให้ แล้วดูดอย่างดุร้าย!
…
ใต้เท้าเจ้าตำหนักโกรธมาก ผู้พิพากษาชุยกำลังอยู่ระหว่างทางไปปัดกวาดเรือนให้ใต้เท้าเจ้าตำหนัก แม้ยังอยู่ห่างกันไกลโพ้นเขาก็สัมผัสลมปราณเย็นยะเยือกที่เหมือนจะถล่มแดนยมโลกให้ราบบนร่างเจ้าตำหนักได้
หัวใจดวงน้อยของผู้พิพากษาชุยกระตุกเบาๆ เขารู้สึกไม่อยากเดินเข้าไปหาอยู่นิดๆ ทว่าเพิ่งหมุนตัวหันหลังเตรียมจะเลี้ยวกลับไปที่ห้องของตนเอง ใต้เท้าเจ้าตำหนักที่ยืนอยู่ไกลโพ้นก็เอ่ยปากอย่างแช่มช้า “ยังไม่รีบไสหัวมาหาข้าอีก!”
ผู้พิพากษาชุยจึงเดินเข้าไปหาเขาด้วยท่าทางหงอๆ ใต้เท้าเจ้าตำหนักนั่งอยู่ข้างโต๊ะศิลา ตรงหน้ามีกระดานหมากกระดานหนึ่งวางอยู่
ผู้พิพากษาชุยกลอกลูกตาไปมาแล้วยิ้มตาหยีถามว่า “ใต้เท้าจะเดินหมากหรือขอรับ ข้าเล่นเป็นเพื่อนใต้เท้าเป็นอย่างไร!”
เขาพูดพลางก็นั่งลงบนม้านั่งหิน ยกมือขึ้นมาหยิบเม็ดหมาก ทว่าไม่ว่าอย่างไรก็หยิบเม็ดหมากไม่ได้
นั่นเป็นเพราะว่าใต้เท้าใช้อาคม ไม่ยอมให้เขาหยิบได้
เขากระแอมแล้วถามเบาๆ “เหตุใดใต้เท้าจึงกลับมาเล่าขอรับ”
ใต้เท้าเจ้าตำหนักวางหมากสีดำเม็ดหนึ่งบนกระดานหมาก แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเฉกเช่นปกติ “ตามหาดินของเทพธิดาหนี่ว์วาได้ผลอย่างไรบ้าง”
ผู้พิพากษาชุยอยากตอบว่ายังไม่ได้ข่าวคราว แต่พอคำพูดมาถึงริมฝีปากแล้วเหลือบเห็นไอเย็นยะเยือกที่ซัดสาดอยู่รอบกายอีกฝ่าย เขาก็เปลี่ยนเป็นพูดว่า “ใกล้แล้วขอรับ”
ใต้เท้าเจ้าตำหนักสั่งเสียงเรียบเฉย “ให้เวลาเจ้าสามวัน หากหาไม่พบก็ไม่ต้องกลับมาอีก”
ผู้พิพากษาชุยลุกพรวด “สาม…สามวันหรือขอรับ แน่ใจนะขอรับว่าไม่ใช่สามปี เวลาสั้นถึงเพียงนี้ข้าจะไปตามหาดินของเทพธิดาหนี่ว์วาจากที่ใดกันเล่า”
ใต้เท้าเจ้าตำหนักเอ่ยว่า “ข้าไม่สนใจ สรุปก็คือเจ้ามีเวลาเพียงสามวัน”
ผู้พิพากษาชุยพึมพำ “ท่านรีบร้อนอะไรปานนี้ สองหมื่นปีท่านยังรอมาได้ สองสามปีท่านรอมิได้หรือไร”
ใต้เท้าเจ้าตำหนักไม่ตอบสักแอะ เขาสีหน้าบึ้งตึงเดินหมากต่อ
ผู้พิพากษาชุยหรี่ตาลง สองมือเท้ากับโต๊ะแล้วฉีกยิ้มชั่วร้ายมองเขา “ท่านรีบร้อนจะสร้างกายเนื้อใหม่จนแทบรอไม่ได้เช่นนี้ คงไม่ใช่เพราะคิดจะทำเรื่องไม่งามหรอกนะขอรับ…”
ใต้เท้าเจ้าตำหนักยกมือขึ้นมาทันควัน
ผู้พิพากษาชุยตกใจกลัวย่อตัวหลบ มือกุมศีรษะไว้อย่างมิดชิดแล้วตะโกนว่า “คาถาวัชระคุ้มกายา!”
ทว่าใต้เท้าเจ้าตำหนักกลับเหลือบมองเขาเหมือนมองคนประหลาด แล้ววางเม็ดหมากสีขาวเม็ดหนึ่งบนกระดาน
ผู้พิพากษาชุยเก้อเขิน เขากระแอมเบาๆ แล้วกลับไปนั่งบนเก้าอี้ “จะว่าไปแล้ว…ความจริงท่านก็กลับมาได้จังหวะ ข้ามีเรื่องหนึ่งต้องบอกท่านอยู่พอดี”
“เรื่องใด” ใต้เท้าเจ้าตำหนักถาม
ผู้พิพากษาชุยจึงบอกว่า “ชิงสุ่ยเจินเหรินเหมือนจะรู้เรื่องของใต้เท้าแล้ว เขากำลังสืบหาข่าวคราวของท่านไปทั่ว ผู้อาวุโสของเผ่ามารกับยอดเซียนต่างส่งคนออกมาถามฝั่งแดนยมโลกว่าไม่มีใครพบเห็นร่องรอยของท่านบ้างหรือ”
ใต้เท้าเจ้าตำหนักชะงัก “หลังจากนั้นเป็นเช่นไร”
ผู้พิพากษาชุยตอบว่า “หลังจากนั้นย่อมไม่มีปัญหาอะไร เรื่องที่ท่านสวมรอยเป็นเจ้าตำหนักชิงเฉิง นอกจากข้าก็มิมีผู้อื่นล่วงรู้ เว้นก็แต่ปีศาจจิ้งจอกตนนั้น แต่ปีศาจจิ้งจอกกับเผ่ามารมิใช่มิตรสหายที่ดีต่อกัน แล้วเขาก็เคยก่อเรื่องจนกลายเป็นศัตรูกับชิงสุ่ยเจินเหรินมาแล้ว ในชั่วเวลาสั้นๆ พวกเขาคงไม่มีทางไปตามหากับปีศาจจิ้งจอกนั่นแน่ แต่…ข้าสงสัยอย่างยิ่งว่าเหตุใดพวกเขาจึงต้องการสืบหาร่องรอยของท่าน“
ใต้เท้าเจ้าตำหนักวางหมากสีดำเม็ดหนึ่งบนกระดาน “มิสู้เจ้าลองถามตัวเขาดู”
“หืม” ผู้พิพากษาชุยงุนงง
ใต้เท้าเจ้าตำหนักมองไปด้านหลังผู้พิพากษาชุย
ผู้พิพากษาชุยหันหลังกลับไปก็เห็นจิตตั้งต้นของชิงสุ่ยเจินเหรินมายืนอยู่ด้านหลังของตนเองตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่ทราบ