ตอนพิเศษ 61-2 มหาอัสนีวิบาก (1)
เขาเป็นครึ่งเซียนที่เก่งกาจยิ่งกว่าชิวอีซาน แต่มหาอัสนีวิบากเพียงสายเดียวก็ทำเขาล้มลงแล้ว เห็นชัดว่ามหาอัสนีวิบากหนนี้แข็งแกร่งระดับใด
ประมุขเหลย ผู้พิทักษ์ใหญ่ ผู้พิทักษ์รองไปจนถึงลู่หยวนเจิ่นเห็นสถานการณ์ไม่ดีจึงเหินขึ้นมาบนฟ้า ถ่ายทอดพลังปราณของตนให้ดอกบัวน้ำแข็งคู่กายของชิงสุ่ยเจินเหรินอย่างไม่ขาดสาย
หลิงจือตั้งสมาธิรวบรวมพลังปราณแล้วเริ่มดูดซับพลังปราณในฟ้าดินอย่างบ้าคลั่ง แม้ยามนี้พลังปราณจะไม่สเถียร เดี๋ยวมีมาก เดี๋ยวมีน้อย แต่สำหรับหลิงจือแล้วเรื่องนี้ไม่สำคัญ ต่อให้พลังปราณน้ำไม่มีก็ยังมีพลังปราณไฟ ไม่เหลือพลังปราณไฟก็ยังมีพลังปราณดินกับพลังปราณไม้ ไม่ว่าพลังปราณชนิดใดไม่เสถียร นางก็สลับเป็นอีกชนิดหนึ่งได้อย่างรวดเร็ว
หลังจากนั้นนางจึงเปลี่ยนพลังปราณทั้งหมดที่ดูดซับมาให้กลายเป็นพลังปราณไม้แล้วส่งไปให้ดอกบัวน้ำแข็งของชิงสุ่ยเจินเหริน
ทุกคนร่วมแรงกันจนต้านมหาอัสนีวิบากอีกสายหนึ่งไว้ได้
ทว่าเมื่อมหาอัสนีวิบากสายต่อไปมาเยือน ทุกคนต่างรู้ว่าพวกเขาต้านไว้ไม่ไหวแล้ว แล้วก็เป็นเช่นที่คาดมหาอัสนีวิบากยังไม่ทันผ่าลงมาแบบจริงๆ จังๆ เพียงกำลังก่อตัวก็กระแทกทุกคนจนกระอักเลือด ร่วงลงมาที่พื้นทีละคนๆ
กายเนื้อของชิงสุ่ยเจินเหรินผสานเป็นหนึ่งกับดอกบัวน้ำแข็ง ยามมหาอัสนีวิบากผ่าลงบนนั้น ทุกคนจึงได้ยินเสียงกระดูกของเขาปริแตก
หลังจากมหาอัสนีวิบากสายนี้จบลง ข่ายอาคมก็แตกเป็นรู
“ยังเหลืออีกเท่าไร” เจ้าสำนักสวี่เช็ดคราบเลือดที่มุมปากพลางเอ่ยถาม
ประมุขเหลยตอบอย่างไร้เรี่ยวแรง “อีกสามสาย”
มหาอัสนีวิบากสายที่สามจากสุดท้ายผ่าลงมา ดอกบัวน้ำแข็งประจันหน้าเข้าหา ทุกคนหน้าถอดสีในทันใด “ท่านเซียน!”
ร่างจริงของชิงสุ่ยเจินเหรินปะทะกับมหาอัสนีวิบากอย่างจัง แสงสีทองแสบตาสายหนึ่งส่องสว่างอาบครึ่งท้องนภา!
มหาอัสนีวิบากถูกป้องกันเอาไว้ได้ แต่ชิงสุ่ยเจินเหรินต้องจ่ายค่าตอบแทนมหาศาล เขาหล่นร่วงลงมาจากท้องฟ้า ทว่ายังไม่ทันที่เขาจะได้พักหายใจ มหาอัสนีวิบากอีกสายหนึ่งก็ผ่าลงมาอีก
ทุกคนไม่กล้ามองแล้ว หนนี้น่ากลัวว่าไม่ใช่เพียงเฉียวเวยเวย ไม่ใช่เพียงท่านเซียน แต่แม้กระทั่งพวกเขาก็คงต้องฝังร่างไปกับมหาอัสนีวิบากสายนี้ด้วย
ในชั่วอึดใจนั้นเองเด็กสาวรากปราณสวรรค์พลันเหาะขึ้นมาบนฟ้า สองมือประสานเป็นสัญลักษณ์ กลางฝ่ามือปรากฏพลังงานสีดำแซมทองดวงหนึ่งลอยอยู่ “คาถาพันอสนี!”
ไม่มีผู้ใดคิดว่านางจะสร้างรากปราณสายฟ้าออกมาในเวลาสำคัญเช่นนี้
ตามหลักแล้วรากปราณสายฟ้าจะดูดซับอัสนีวิบากได้ ผู้ฝึกตนที่ครอบครองรากปราณสายฟ้าแทบจะไม่พบอุปสรรคยามเลื่อนขั้นเลย ต่อให้เป็นมหาอัสนีวิบากยามบรรลุเป็นเซียน โชคร้ายอย่างไรพวกเขาก็ยังสำเร็จเป็นครึ่งเซียนได้
เพียงแต่ว่ามหาอัสนีวิบากหนนี้รุนแรงเกินไปแล้วจริงๆ มันมากเกินกว่าระดับที่นางจะดูดซับได้ ก่อนที่ร่างกายของนางจะระเบิดสิ้นชีวานั่นเอง บนท้องนภาก็มีเสียงพญาหงส์ดังขึ้น!
เฟิ่งหวงเจ็ดสีตัวหนึ่งกระพือปีกบินมา ปีกใหญ่โตของมันบดบังท้องฟ้าปิดแสงตะวัน หางเฟิ่งหวงยาวสยายวาดเป็นลำแสงสองสาย พลังปราณที่ถูกมหาอัสนีวิบากฉีกกระชากจนปั่นป่วน เงียบสงบในชั่วพริบตา
เสียงพญาหงส์ดังก้องถึงสวรรค์เก้าชั้นฟ้า สยบมหาอัสนีวิบากสิ้นสูญ!
ยอดเซียนใช้ร่างเฟิ่งหวงป้องกันมหาอัสนีวิบากสองสายสุดท้ายเอาไว้ เสียงระเบิดครืนโครมบนยอดเขาสงบลงในที่สุด แต่สำนักเชียนหลันถูกผ่าจนดำเป็นตอตะโกไม่เหลืออะไรน่าดูอีกต่อไป
เส้นผมที่งอกขึ้นมาอย่างยากลำบากของประมุขเหลยถูกผ่าจนโล้นเป็นวงอยู่ตรงกลางเรือนผม
ยอดเซียนกลายร่างเป็นบุรุษอายุราวสามสิบปีคนหนึ่ง แขนเสื้อกว้างแลคล้ายก้อนเมฆ รูปโฉมหล่อเหลาสง่างามดุจวาโยโชยพัดใต้แสงจันทรา สายคาดเอวเป็นเข็มขัดหยกเจ็ดสี ปราณเซียนลอยละล่อง ยากจะปกปิดความสูงศักดิ์ของเฟิ่งหวง
เขาสะบัดแขนเสื้อเพียงหนึ่งหน สำนักเชียนหลันที่ทะลุเป็นรูนับร้อยพันก็กลับคืนสภาพเดิม พลังชีวิตกลับมาเปี่ยมล้นในชั่วพริบตา ศีรษะโล้นตรงกลางกระหม่อมของประมุขเหลยก็มีเส้นผมดกดำ…เอ่อ ไม่ ไม่ใช่ผม มีต้นหญ้าเขียวขจีงอกออกมาอย่างหนาแน่นด้วย
ประมุขเหลย “…”
เหตุใดกลายเป็นต้นหญ้าสีเขียวได้เล่า!
“โอ๊ะ ปลูกผิดเสียแล้ว” ยอดเซียนใช้เคล็ดวิชาถอนหญ้าสีเขียวบนศีรษะของประมุขเหลยออก แล้วเปลี่ยนเป็นปลูกหญ้าเซียนสีทองประกายระยับผืนหนึ่งให้แทน
ประมุขเหลย “…”
…
ยอดเซียนถ่ายเทปราณเซียนให้ศิษย์น้องของตนเอง ชิงสุ่ยเจินเหรินกลับมาเป็นร่างเซียนอีกครั้งแล้ว นอกจากใบหน้าที่ซีดเผือดเล็กน้อยก็ไม่มีปัญหาใหญ่หลวงอันใดอีก
ทั้งสองคนเข้าไปในเรือนของหลิงจือ ประตูห้องของหลิงจือปิดงับอยู่ ด้านในเงียบสงัดราวกับห้องศิลา ชิงสุ่ยเจินเหรินตื่นเต้นมาก ในที่สุดเวยเวยของเขาก็เติบใหญ่แล้ว แม้เด็กน้อยจะน่ารักน่าชังอย่างยิ่ง แต่คงไม่มีบิดามารดาคนใดในใต้หล้าไม่อยากให้ลูกของตนเติบใหญ่
คนแซ่ฉินเลี้ยงปลาอ้วนตัวหนึ่งให้ตัวโตเท่านั้นได้ เวยเวยของเขาก็ต้องเติบใหญ่ตัวขาวผ่องอวบอ้วนได้เหมือนกัน!
ชิงสุ่ยเจินเหรินคิดเช่นนี้พลางเปิดประตูห้องอย่างเชื่องช้า
ภายในห้องอันเรียบง่าย มีฉากกันลมวาดลายขุนเขาธาราชิ้นหนึ่งวางประจันหน้ากับประตู ด้านหลังฉากกันลมมองเห็นเงาเล็กผอมร่างหนึ่ง
ตัวเล็กถึงเพียงนี้เชียว หรือว่าจะยังไม่โต
ชิงสุ่ยเจินเหรินเดินอ้อมฉากกันลมอย่างลังเล “เวยเวย! เวย…เอ๋ เสี่ยวซิวหรือ”
บนฟูกเตียงที่ยับยู่ยี่ มีเสื้อผ้ากระจัดกระจายอยู่เกลื่อนเตียง เสี่ยวซิวอายุสามขวบนั่งอยู่ท่ามกลางกองเสื้อผ้าของสตรี จมูกมีเลือดไหลพราก…
ชิงสุ่ยเจินเหรินถามอย่างตกใจ “เสี่ยวซิว เวยเวยเล่า”
จีเสี่ยวซิวเอาแต่เลือดกำเดาไหลไม่ตอบอะไร
ชิงสุ่ยเจินเหรินเริ่มหวาดกลัวแล้ว คงไม่ใช่ว่ามหาอัสนีวิบากเมื่อครู่ทะลวงผ่านช่องว่างมาผ่าเวยเวยของเขามอดม้วยไปแล้วหรอกนะ!
ขณะที่ชิงสุ่ยเจินเหรินรู้สึกประหนึ่งตกลงไปในห้องน้ำแข็ง เสียงอ่อนโยนคล้ายปุยเมฆก็ดังมาจากด้านหลังประตูกั้นห้อง
“ท่านพ่อ”
ชิงสุ่ยเจินเหรินสะท้านเฮือก เขาหันไปมองอย่างเหม่อลอย แล้วจึงได้เห็นเด็กสาวสวมกระโปรงสีขาวพิสุทธิ์คลุมทับด้วยเสื้อแพรตัวบางสีเหลืองอ่อน
เด็กสาวมีดวงหน้างดงามที่สุดในใต้หล้ากับเขามังกรน้อยอันงดงามคู่หนึ่ง นางหน้าตาเหมือนจอมมารวัยแรกแย้มยิ่งนัก ทว่ากลางหว่างคิ้วมีตราดอกบัวน้ำแข็งอยู่ดวงหนึ่ง ทำให้นางแผ่กลิ่นอายผ่องแผ่วพิสุทธิ์ออกมาบางเบา ละม้ายคล้ายมีเงาของชิงสุ่ยเจินเหรินซ้อนทับอยู่นิดหน่อย
ชิงสุ่ยเจินเหรินไม่อยากจะเชื่อสายตาของตนเอง!
นี่คือบุตรสาวของเขาหรือ
นางเติบใหญ่แล้วจริงๆ จะไม่กลับกลายเป็นเด็กน้อยอีกแล้วใช่หรือไม่
จู่ๆ ชิงสุ่ยเจินเหรินก็อยากร้องไห้
โฮๆ!…เวยเวยของเขาโตแล้ว…