ตอนพิเศษ 61-1 มหาอัสนีวิบาก (1)
พวกเจ้าสำนักสวี่รีบวางงานที่อยู่ในมือแล้วมุ่งหน้าไปทางเรือนของหลิงจือ
ส่วนหลิงจือกับเด็กสาวรากปราณสวรรค์หลังจากเห็นแสงสีทองที่พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าสายนั้น พวกนางก็หยุดต่อสู้กันทันที พวกนางมองหน้ากันแล้วกลับไปที่เรือนของตนเองพร้อมกันทันที
พวกเจ้าสำนักสวี่ออกเดินทางมาก่อน ทว่าพวกเขาอยู่ไกลกว่าหลิงจือกับเด็กสาวรากปราณสวรรค์ พวกเขาจึงมาถึงในเวลาใกล้เคียงกัน เมื่อพวกเขามาถึงก็พบว่าหน้าประตูเรือนของหลิงจือมีศิษย์ที่สัญจรผ่านพอดีมายืนออเบียดเสียดจนแม้แต่น้ำก็ยังลอดผ่านไม่ได้
แสงสีทองสว่างเกินไปแล้วจริงๆ แดนกลางครึ่งค่อนดินแดนถูกแสงสีทองสายนี้อาบไล้ สำนักว่านเซี่ยงที่ตั้งอยู่ด้านข้างสังเกตเห็นเหตุการณ์ผิดปกตินี้เป็นรายแรก เจ้าสำนักว่านกับชิวอีซานเดินมาที่ประตูเรือน พวกเขาหันไปดูสำนักเชียนหลัน มองเสาแสงที่พุ่งขึ้นไปถึงสวรรค์เก้าชั้นฟ้าสายนั้นอย่างตกตะลึง
พลังปราณในฟ้าดินถูกพลังงานมหาศาลที่แผ่ออกมาจากเสาแสงฉีกกระชากจนบิดเบี้ยวผิดรูป ศิษย์บางคนทนดูดซับพลังปราณกะทันหันไม่ไหว ส่วนศิษย์บางคนก็พลังปราณระเบิดอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
เปรี้ยง!
อสนีบาตเส้นหนึ่งผ่าลงมา
ศิษย์ของสำนักว่านเซี่ยงคนหนึ่งตะโกนอย่างตื่นเต้น “ข้าจะประสานตันแล้วววว”
อัสนีวิบากผ่าลงบนร่างของเขา เขาโคจรพลังปราณทั่วร่างเข้าต่อต้าน
สำหรับผู้ฝึกตนแล้ว อัสนีวิบากในขั้นประสานตันไม่น่ากลัว หากเป็นผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจกับเผ่ามารก็อาจจะอนาถอยู่บ้าง ในสิบตนมีเจ็ดแปดตนที่ทนต้านไม่ไหว แต่ผู้ฝึกตนสายธรรมะ ในสิบคนมีเจ็ดแปดคนที่อดทนผ่านไปได้ ด้วยเหตุนี้ศิษย์สำนักว่านเซี่ยงคนนี้จึงมั่นใจในตนเองอยู่มาก
คิดไม่ถึงว่ายามอัสนีวิบากผ่าลงมาบนร่างของเขาจริงๆ จิตตั้งต้นของเขากลับส่งเสียงดัง เพล้ง! แล้วระเบิดแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ!
เจ้าสำนักว่านเซี่ยง “…”
ศิษย์ขั้นประสานเม็ดตันคนหนึ่งจึงหายไปเช่นนี้…
“นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่” สำนักว่านถามอย่างไม่เข้าใจ
ชิวอีซานมองเสาแสงที่สว่างเจิดจ้ามากขึ้นทุกที แล้วทำหน้าครุ่นคิด “นายน้อยของเผ่ามารคงจะเติบใหญ่แล้ว”
สาเหตุที่เฉียวเวยเวยไม่ยอมโตเป็นเพราะสารอาหารไม่เพียงพอ ฉินเซวียนที่อายุเท่ากันเติบใหญ่จนโตกว่าว่านจื่อเยียนตั้งนานแล้ว ด้วยเหตุนี้เมื่อได้ยินชิวอีซานบอกว่าเฉียวเวยเวยจะเติบใหญ่แล้ว เจ้าสำนักว่านจึงไม่รู้สึกแปลกใจ ไม่ว่าอย่างไรตอนนี้ก็มีท่านเซียนคนหนึ่งคอยเลี้ยงดูนางอยู่ ท่านเซียนคงไม่แย่กว่ารองหัวหน้าสหพันธ์หรอกกระมัง เลี้ยงลูกสาวคนหนึ่งให้เติบใหญ่จะมีอะไรยากกันเล่า
แต่เจ้าสำนักว่านก็ยังคิดไม่ตกอยู่ดี นางเติบใหญ่ก็เติบใหญ่ไปสิ เหตุไฉนจึงเกิดเหตุการณ์ประหลาดระดับนี้
ชิวอีซานมองเมฆดำที่ค่อยๆ ก่อตัวบนขอบฟ้า ทันใดนั้นเขาก็เลิกคิ้ว วาดฝ่ามือกางข่ายอาคมปกป้องสำนักว่านเซี่ยงทั้งสำนักทันที
เขาเพิ่งจะกางข่ายอาคมเสร็จก็มีอัสนีวิบากที่แข็งแกร่งกว่าเดิมสายหนึ่งผ่าลงมา เทือกเขาทั้งเทือกเขาสั่นไหว แม้จะมีข่ายอาคมปกป้องอยู่ แต่ทุกคนก็สัมผัสได้ถึงแรงสั่นสะเทือนใต้ฝ่าเท้า
เจ้าสำนักว่านยิ่งไม่เข้าใจแล้ว “ไม่มีผู้ใดประสานตัน ไม่มีผู้ใดเลื่อนขั้น อัสนีวิบากมาจากที่ใดกัน”
ชิวอีซานรีดเค้นพลังปราณออกมามากกว่าเดิมเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้ข่ายอาคม “ของมังกรน้อยตัวนั้น”
“มัง มังกรน้อยหรือ” เจ้าสำนักว่านเซี่ยงขมวดคิ้ว
ชิวอีซานแค่นเสียงหยันคำหนึ่งแล้วบอกว่า “นางมีกายากึ่งเซียนกึ่งมาร แต่เดิมก็เป็นตัวตนที่มิอาจมีอยู่บนโลกอยู่แล้ว ยามนางถือกำเนิดสวรรค์ส่งอัสนีวิบากลงมาเก้าหนเพื่อผ่านางให้ตาย ยามนี้นางเติบใหญ่แล้ว อัสนีวิบากยอมปล่อยนางถึงจะแปลก”
เจ้าสำนักว่านคิดไม่ถึงว่ามังกรน้อยตัวนั้นจะร้ายกาจถึงเพียงนี้ ในอดีตผู้คนบนโลกเล่าขานว่าตอนจอมมารบรรลุวิชา มีมหาอัสนีวิบากฟาดลงมาสิบแปดหน คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเพราะนับเด็กที่อยู่ในท้องของนางด้วย มหาอัสนีวิบากเก้าหนนั้นมุ่งเป้ามาที่เด็กคนนั้น “หากกล่าวเช่นนี้…พวกเราก็ถูกลูกหลงเพราะสำนักเชียนหลันน่ะสิ หากรู้ก่อนตอนแรกจะไปแย่งที่ตั้งกับพวกเขาทำอะไร ย้ายไปอยู่ไกลโพ้นก็ดีแล้ว”
ตอนนี้มาพูดเรื่องเหล่านี้สายไปแล้ว มหาอัสนีวิบากไม่มีทางหดอาณาเขตโจมตีของตนเองเพราะความสัมพันธ์เป็นอริระหว่างสำนักว่านเซี่ยงกับสำนักเชียนหลันหรอก ภาวนาให้ตนเองมีบุญมากไว้เถิด!
มหาอัสนีวิบากของผู้ฝึกตนธรรมดาเล็งเป้าหมายค่อนข้างแม่นยำ แต่มหาอัสนีวิบากหนนี้ดูเหมือนจะไม่มีตามองอย่างไรชอบกล มันอยากผ่าตรงไหนก็ผ่า สามสายแรกผ่าลงที่สำนักว่านเซี่ยงทั้งหมด
ความจริงอาจเป็นเพราะว่าสำนักว่านเซี่ยงตั้งอยู่ในจุดที่มีพลังปราณอุดมสมบูรณ์ มันจึงเหมือนจะเป็นสถานที่ให้มังกรน้อยมาพักได้ หากอยากทำลายมังกรน้อยย่อมต้องทำลายสิ่งที่เสริมพลังให้มันก่อน
สำนักว่านเซี่ยงนับว่าขนหินมาทับเท้าตนเองอย่างแรง หากตอนแรกพวกเขาไม่แย่งชิงเทือกเขากับสำนักเชียนหลัน ยามนี้ก็คงไม่พบเคราะห์ร้ายไปด้วย
หลังจากมหาอัสนีวิบากฟาดลงมาสามสาย ชิวอีซานกับเจ้าสำนักว่านก็บาดเจ็บไปทั้งตัว ชีพจรปราณของสำนักว่านเซี่ยงถูกทำลายสิ้น
หลังจากรองหัวหน้าสหพันธ์ ‘ลงจากตำแหน่ง’ สำนักว่านเซี่ยงก็ไม่มีสหพันธ์แดนกลางเป็นที่พึ่งอันแข็งแกร่งอีกต่อไป หากอยากหาสถานที่ตั้งสำนักใหม่ยากเกือบเท่าการก้าวขึ้นสวรรค์ รากฐานที่สั่งสมมาพันปี สุดท้ายก็ย่อยยับในวันนี้
มหาอัสนีวิบากสายที่สี่เป็นต้นไปร่วงลงมาใส่สำนักเชียนหลันทั้งหมด
ชิงสุ่ยเจินเหรินวาดฝ่ามือกางข่ายอาคมเป็นสิ่งแรก ร่างของเขาลอยอยู่กลางอากาศ มือข้างหนึ่งชูดอกบัวน้ำแข็งคู่กายของตน ดอกบัวน้ำแข็งเปล่งแสงเจิดจ้าจับตา ปกป้องสำนักเชียนหลันอย่างแน่นหนา
หากชิงสุ่ยเจินเหรินปกป้องแต่เฉียวเวยเวยผู้เดียว เขาคงสูญเสียพลังปราณน้อยลงมาก แต่เขากลับเลือกจะปกป้องทั้งสำนัก
สีหน้าของเจ้าสำนักสวี่ฉายแววซาบซึ้ง เวลานี้ต่อให้เขาเลือกปกป้องแต่เฉียวเวยเวยคนเดียวก็ไม่มีใครว่ากล่าวได้ เพราะไม่ว่าอย่างไรเฉียวเวยเวยก็ไม่เคยเป็นศิษย์ของสำนักเชียนหลัน นางเป็นเพียงสาวใช้ตัวน้อยในนามคนหนึ่งกับเพื่อนเล่นตัวน้อยของเสี่ยวซิวเท่านั้น
การกระทำของชิงสุ่ยเจินเหรินทำให้ในใจของเจ้าสำนักสวี่เกิดความรู้สึกอันยากจะพรรณนา
ประมุขเหลยออกคำสั่งทันใด “สั่งให้ทุกคนหยุดฝึกตนเสีย!”
พลังปราณรอบด้านไม่เสถียรอย่างยิ่ง หากฝึกตนเอาเวลานี้ย่อมเกิดธาตุไฟเข้าแทรกอย่างไม่ต้องสงสัย เจ้าสำนักสวี่ใช้วิชากระแสจิตแจ้งศิษย์ทุกคน ศิษย์ทุกคนก็หยุดการฝึกตนจริงๆ แม้แต่ศิษย์ที่กำลังจะเลื่อนขั้นก็กดข่มพลังไว้อย่างสุดความสามารถ พวกเขาย่อมไม่อยากเป็นเหมือนศิษย์สำนักว่านเซี่ยงคนนั้น ยังไม่ทันเลื่อนขั้นสำเร็จก็ถูกมหาอัสนีวิบากผ่าจนตาย
มหาอัสนีวิบากผ่าลงมาอย่างบ้าคลั่ง แต่ละสายรุนแรงกว่าสายก่อนหน้า พลังเพิ่มทบเท่าทวี ชิงสุ่ยเจินเหรินรีดเค้นปราณเซียนในร่างของตนเองอย่างรวดเร็ว ค่อยๆ เสริมความแข็งแกร่งให้ข่ายอาคมของตนเองทีละน้อย
ผู้ฝึกตนธรรมดาทั่วไปจะพบกับอัสนีวิบากหนแรกยามประสานเม็ดตัน แต่อัสนีวิบากหนนั้นยังไม่อาจเรียกว่ามหาอัสนีวิบาก การเลื่อนขั้นแต่ละหนหลังจากนั้นเขาจะพบกับอสนีวิบากหนึ่งครั้ง จนกระทั่งก้าวเข้าสู่ขั้นมหายาน บรรลุกลายเป็นเซียนจึงจะประสบกับมหาอัสนีวิบากที่แท้จริง
เฉียวเวยเวยเกิดมาก็พบกับมหาอัสนีวิบากที่น่ากลัวกว่าผู้บรรลุเซียนนับสิบเท่าแล้ว มหาอัสนีวิบากครั้งนี้ยิ่งไม่มีทางอ่อนแอกว่าครั้งอดีต ยามยังเล็กนางประสบสิ่งใด ยามเติบใหญ่แล้วมีแต่จะประสบกับสิ่งที่รุนแรงยิ่งกว่า
ตั้งแต่มหาอัสนีวิบากสายแรกผ่าลงที่สำนักว่านเซี่ยง เจ้าสำนักว่านก็สัมผัสได้แล้วว่าพลังของมันน่ากลัวกว่ามหาอัสนีวิบากที่ตนเองเคยประสบที่เขาหมิงหวังเมื่อหนนั้นมาก ดังนั้นแม้แต่ชิวอีซานที่เคยทนรับมหาอัสนีวิบากเก้าสายมาแล้ว ซ้ำยังรวบรวมพลังจากทั้งสำนักมาต่อต้านก็ยังต้านได้เพียงสามสาย ไม่เหลือกำลังจะต้านทานอีกต่อไป
เจ้าสำนักสวี่เหินขึ้นไปบนนภา พลังปราณมหาศาลโถมทะลักไปหาดอกบัวน้ำแข็งของชิงสุ่ยเจินเหริน
มหาอัสนีวิบากผ่าลงมาอีกสายหนึ่ง
ดอกบัวน้ำแข็งต้านเอาไว้ได้สำเร็จ แต่เจ้าสำนักสวี่กระอักเลือดออกมาหนึ่งคำ จุดตันเถียนเกิดรอยฉีกขาด!