ตอนพิเศษ 6-2 จูบแรก
ผู้พิทักษ์รองเอ่ยเสียงเรียบเรื่อยว่า “เขาไม่ได้ชนะด้วยพรสวรรค์ แต่ชนะเพราะมีอาวุธวิเศษ เจ้าไม่จำเป็นต้องเอาตัวเองไปเปรียบกับลูกศิษย์ธรรมดาเช่นนั้น เจ้าเป็นสายเลือดของท่านเซียน อย่าได้ลดฐานะของตนลงมาเลย”
เด็กสาวรากปราณสวรรค์ก้มหน้านิ่ง “ศิษย์เข้าใจแล้ว”
ผู้พิทักษ์รองเอ่ยด้วยความหนักใจ “เจ้ายังไม่รู้ว่าสิ่งที่ติดตัวเจ้ามานั้นหาได้ยากยิ่งเพียงใด รากปราณสวรรค์มีเพียงสายเลือดของท่านเซียนเท่านั้นถึงจะมีได้ และไม่ใช่สายเลือดของท่านเซียนทุกคนที่จะมีรากปราณสวรรค์นี้ อนาคตของเจ้าไม่อาจประเมินได้ อย่าให้เรื่องเล็กน้อยเหล่านี้มาเป็นอุปสรรคเลย”
เด็กสาวรากปราณสวรรค์คุกเข่าอยู่บนเบาะ จับพู่ห้อยตรงเอวเล่นพลางพึมพำเอ่ยว่า “รากปราณน้ำที่เป็นบุตรชาวบ้านนั่นก็เก่งมาก”
ผู้พิทักษ์รองเลิกคิ้วเรียบๆ “เก่งหรือ ใช้เวลาฝึกมากเป็นสองเท่า ก็เพิ่งได้เป็นรากปราณขั้นกลางเช่นเดียวกับเจ้ามิใช่หรือ หากเจ้าใช้เวลาฝึกสองเท่าเช่นกัน รากปราณคงไต่ระดับขึ้นไปถึงขั้นสูงนานแล้ว”
เมื่ออีกฝ่ายกล่าวเช่นนี้ เด็กสาวรากปราณสวรรค์ก็สบายใจขึ้นมากแล้ว
ผู้พิทักษ์รองลุกขึ้นยืน “เจ้าตามข้ามา”
“เจ้าค่ะ”
หลังจากผู้พิทักษ์รองเดินไปแล้ว เด็กสาวรากปราณสวรรค์ก็ค่อยๆ ลุกขึ้นเดินตามผู้พิทักษ์รองออกไปตรงโถงใหญ่ เลี้ยวขวาตรงระเบียงทางเดินแล้วเข้าไปยังโถงตำหนักที่กว้างขวางและเคร่งขรึม
ในโถงตำหนักมีของชั้นดีวางอยู่ไม่น้อย ส่วนมากล้วนเป็นอาวุธวิเศษ
ผู้พิทักษ์รองหยุดยืนตรงหน้าชั้นที่มีประกายแสงปกคลุม พอโบกมือประกายแสงนั้นก็พลันหายไป เผยให้เห็นกล่องที่ดูหนาหนัก
ผู้พิทักษ์รองเปิดกล่องออก หยิบผลึกหินสีแดงเลือดออกมาหนึ่งก้อน นางส่งให้เด็กสาวรากปราณสวรรค์พลางบอกว่า “สิ่งนี้เรียกว่าผลึกมังกร มันเป็นผลึกหินที่ดูดซับปราณมังกรมารวมเอาไว้ สะสมจนกลายมาเป็นผลึกชิ้นนี้ ข้างในมีโลหิตมังกรอันล้ำค่าอยู่หยดหนึ่ง ข้าขอมอบมันให้เจ้า ต่อไปสิ่งนี้ก็จะเป็นอาวุธวิเศษของเจ้า”
พูดจบผู้พิทักษ์รองก็ใช้พลังแปลงผลึกชิ้นนั้นเป็นกระบี่ยาวเล่มหนึ่งแล้วส่งให้เด็กสาวรากปราณสวรรค์
นางรู้ดีว่าอาจารย์เอ็นดูนาง ถึงปากจะบอกให้นางไม่ต้องไปชิงดีชิงเด่นกับคนอื่น แต่กลับเอาอาวุธวิเศษล้ำค่าเช่นนี้ให้กับนาง
เด็กสาวรากปราณสวรรค์เอากระบี่มาถือไว้พลางเอ่ยด้วยความตื่นเต้นว่า “ขอบคุณท่านอาจารย์!”
ผู้พิทักษ์รองพยักหน้า “นี่ก็สายแล้ว เจ้ารีบกลับไปพักผ่อนเถิด”
เด็กสาวรากปราณสวรรค์ยิ้มน้อยๆ “เจ้าค่ะ!”
ศิษย์อาจารย์ก้าวออกจากโถงตำหนัก
“ให้ตายสิ มีคนเอาของไปแล้ว”
เด็กสาวรากปราณสวรรค์พลันชะงักฝีเท้า หันไปมองด้วยความแปลกใจ
ผู้พิทักษ์รองถามด้วยความไม่เข้าใจ “มีอะไรหรือ”
เด็กสาวรากปราณสวรรค์เอ่ยว่า “ข้าคล้ายได้ยินเสียงคนพูดคุยกัน”
ผู้พิทักษ์รองถามว่า “เจ้าได้ยินหรือ”
เด็กสาวรากปราณสวรรค์อึ้งไป “อาจารย์…ไม่ได้ยินหรือ”
ผู้พิทักษ์รองส่ายหน้า “ข้าไม่ได้ยิน แต่ก่อนหน้านี้ก็มีคนเคยได้ยินเสียงพูดคุยกันที่นี่เช่นกัน เพียงแต่หาตัวคนพูดไม่เจอ”
“อาจารย์ไม่รู้สึกว่าน่าประหลาดหรือ” เด็กสาวรากปราณสวรรค์ถาม
ผู้พิทักษ์รอง “ประหลาดสิ เพียงแต่ข้าคิดว่าพวกเจ้าน่าจะหูฝาดไปเอง”
“เช่นนั้นหรือ” เด็กสาวรากปราณสวรรค์กะพริบตา กระชับกระบี่เดินไปตรงทางเดินที่เห็นเงาตะคุ่มๆ
เจ้าของเงาส่ายหน้า ดูไม่ได้ผิดหวังอะไร คล้ายว่าคุ้นเคยกับเรื่องเช่นนี้เป็นอย่างดี
ตกดึก หลิงจือกับเฉียวเวยเวยพออาบน้ำล้างตัวเสร็จก็ทิ้งตัวลงนอนบนเตียงที่แข็งกระด้างแล้วหลับไป
หลังจากนอนไปได้ครึ่งคืน เฉียวเวยเวยก็รู้สึกตัวตื่นเพราะอยากทำธุระ นางสะลึมสะลือปีนลงจากเตียงแล้วไปยังห้องสุขา
ที่นี่ห้องสุขาอยู่ที่ลานด้านหลัง แต่เฉียวเวยเวยยังไม่ตื่นเต็มตา คิดว่าตนยังอยู่ในหมู่บ้านของตนอยู่ นางเดินออกจากเรือน เลี้ยวซ้ายไปยัง “ห้องสุขา” ที่ตนจำได้
นางเดินไปเดินมาก็เดินเข้าไปในประตูใหญ่บานหนึ่ง ด้านหลังประตูบานนั้นเป็นเรือนที่ดูประณีตงดงาม
ภายในเรือนว่างเปล่าไม่มีอะไรวางอยู่เลย แค่เพียงมองตรงไปจะเห็นบุรุษผู้หนึ่งนั่งอยู่
บุรุษผู้นั้นใส่ชุดขุนนางสีแดงเข้ม ใส่หมวกขุนนาง รูปร่างสูงกว่าศิษย์พี่อวี๋ไม่น้อย
เฉียวเวยเวยขยี้ตา
บุรุษผู้นั้นหันมาเอ่ยเย้าว่า “โอ๊ะ มีคนมาอีกแล้ว”
หากเด็กสาวรากปราณสวรรค์อยู่ที่นี่คงได้ตกใจที่ได้พบว่านี่เป็นเสียงที่นางได้ยินเมื่อตอนกลางวัน
“ยังเป็นเด็กน้อยเสียด้วย” บุรุษผู้นั้นเอ่ยกลั้วหัวเราะ พูดจบเขาก็หันกลับไป ไม่สนใจเฉียวเวยเวยอีก ถึงอย่างไรก็มีคนมาที่นี่ตั้งหลายคน หากเขาสนใจทุกคนจะไม่เหนื่อยแย่หรือ ยิ่งไปกว่านั้นคนที่มานี่ไม่มีใครมองเห็นพวกเขาสักคน สนใจไปจะมีประโยชน์อะไร
เฉียวเวยเวยเบิกตาโตใสซื่อของตน เดินเข้าไปช้าๆ
ตัวนางสูงแค่เท่าโต๊ะ แต่ตอนนางเดินเข้าไปแล้ว ได้เห็นว่าฝั่งตรงข้ามบุรุษผู้นั้นยังมีบุรุษอยู่อีกคนหนึ่ง
สายตาประหลาดใจของนางมองสลับไปมาอยู่ที่บุรุษสองคนนั้น
คุณชายในชุดขุนนางเอ่ยด้วยความสงสัย “เอ๋ ดูเหมือนนางจะมองเห็นพวกเราเลย”
เฉียวเวยเวยเอาแขนพาดโต๊ะ เขย่งปลายเท้ามองตัวหมากที่วางอยู่บนโต๊ะ เห็นได้ชัดว่านางไม่ได้สนใจกับตัวหมากดำขาวที่อยู่ด้านบน จึงถอยลงไปยืนลงอย่างเดิม
“เด็กน้อย” คุณชายในชุดขุนนางโน้มตัวลงมาเอ่ยเย้า เขายื่นนิ้วออกมาคิดจะจิ้มที่แก้มเฉียวเวยเวย เฉียวเวยเวยกลับอ้าปากงับนิ้วของเขาไว้!
“เอ้ย! เจ้าเด็กคนนี้! ถึงกับกัดข้าเชียวหรือ!” คุณชายในชุดขุนนางรีบดึงมือกลับ มองเฉียวเวยเวยด้วยความระแวดระวัง “เจ้าเกิดปีจอหรือไร”
เฉียวเวยเวย “โฮ่ง!”
“…” พูดต่อไม่ออกเลย
เฉียวเวยเวยหันไปมองบุรุษอีกคน หากบอกว่าเป็นคน สู้บอกว่าเป็นเงาอันเลือนรางจะดีกว่า เจ้าของเงานั่นสูงกว่าคุณชายในชุดขุนนางเสียอีก เขาสวมใส่อาภรณ์กรุยกรายสีน้ำตาล ทิ้งชายกรุยกรายอยู่บนพื้น
ตรงเอวบุรุษผู้นั้นคาดเข็มขัดส่องประกายสีทองเอาไว้ เพราะมีชุดกรุยกรายนั้นบังเอาไว้เฉียวเวยเวยเลยมองไม่เห็น
เฉียวเวยเวยหันไปมองหน้าเขาอีกครั้ง
ตรงหน้าเขาร่ายวิชาพรางตาเอาไว้ สิ่งที่คนอื่นมองเห็นจะเป็นเพียงก้อนหมอกสีดำทมิฬกลุ่มหนึ่งเท่านั้น
เฉียวเวยเวยปีนขึ้นไปบนตักเขา
คุณชายในชุดขุนนางตะลึงค้าง “เฮ้ย นางสัมผัสเจ้าได้!”
เฉียวเวยเวยยืนขึ้นบนตักอีกฝ่าย ตัวอ่อนนุ่มของนางขยับใกล้เข้าไป นิ้วอวบอ้วนอย่างเด็กน้อยยกขึ้นสัมผัสใบหน้าบุรุษผู้นั้น
บนหน้าบุรุษผู้นั้นมีพระจันทร์เสี้ยวสีทองอยู่ เฉียวเวยเวยลูบพระจันทร์เสี้ยวอันนั้น
นี่เป็นโฉมหน้าที่กระทั่งคุณชายในชุดขุนนางยังไม่เคยมองเห็น เจ้าเด็กคนนี้กลับมองเห็นได้ คุณชายผู้นั้นไม่คิดว่านางจะจับซี้ซั้ว เพราะหากเขาจำไม่ผิด ตรงจุดนั้นของใต้เท้าเจ้าตำหนักมีรอยที่เป็นเอกลักษณ์ยิ่งอยู่อันหนึ่งจริงๆ
คุณชายตกใจจนเกือบพูดอะไรไม่ออก “มนต์พรางตาของเจ้าใช้กับนางไม่ได้ผล?”
เฉียวเวยเวยยังจับไม่พอ นางเขย่งปลายเท้าขึ้นอีกครั้ง ยื่นปากแดงนุ่มของตนออกไปจุมพิตลงบนพระจันทร์เสี้ยวอันน้อยสีทองอร่ามนั้น