ตอนพิเศษ 59 สามี ข้าคือชิงหลวน
อสรพิษวิญญาณในแม่น้ำลืมเลือนไม่เคยถูกผู้ใดล่ามาก่อน พวกมันทั้งโง่ทั้งมีจำนวนมาก เมื่อเห็นดอกบัวน้ำแข็งน้อยว่ายมาหา พวกมันก็ไม่คิดแม้แต่จะหลบ แน่นอนว่าต่อให้หลบก็หลบไม่พ้น
ดอกบัวน้ำแข็งน้อยกินอสรพิษวิญญาณไปรวดเดียวนับร้อยตัว นางกินจนหน้าท้องกลมดิก ตัวจมลงไปในน้ำ สุดท้ายก็ขยับปากส่งเสียงจ็อบแจ็บลอยกลับมาบนเรือท้องแบนอย่างพออกพอใจ
ดอกบัวน้ำแข็งน้อยรู้ว่าน้ำในแม่น้ำลืมเลือนไม่ดีต่อใต้เท้าเจ้าตำหนัก หลังจากขึ้นเรือมันจึงตั้งอกตั้งใจสะบัดตัว สะบัดหยดน้ำออกจนหมดแล้วถึงกระโดดเข้าไปในอ้อมแขนของใต้เท้าเจ้าตำหนัก
ใต้เท้าเจ้าตำหนักหลับตาอยู่คล้ายกำลังหลับใหล
ดอกบัวน้ำแข็งน้อยเห็นว่าเขาไม่ยื่นแขนมาอุ้มนางก็ส่ายร่างกายเล็กจ้อยอย่างไม่พอใจ หลังจากนั้นจึงใช้ใบบัวดึงคอเสื้อของเขาแล้วกระโดดมุดเข้าไปแทน
…
ตอนที่หลิงจือตามมาถึงในถ้ำ ดอกบัวน้ำแข็งน้อยก็หายไปแล้ว ภูตพรายเองก็ไม่รู้ว่าหายไปที่ใด นางพบเด็กสาวรากปราณสวรรค์ที่เสื้อผ้าหลุดลุ่ยในถ้ำเล็กๆ ที่ค่อนข้างหลบเร้นจากสายตาถ้ำหนึ่ง
เด็กสาวรากปราณสวรรค์ถูกเปลื้องอาภรณ์จนเหลือเพียงเอี๊ยมชั้นในกับกางเกงชั้นใน เอี๊ยมชั้นในของนางยังถูกถลกขึ้นไปด้านบนเกือบครึ่ง เผยให้เห็นเนินเนื้ออวบอิ่มครึ่งหนึ่งอยู่รางๆ
หลิงจือคิ้วดีดผึง หน้าแดงก่ำทันใด นางรีบใช้เคล็ดวิชาสวมอาภรณ์ให้เด็กสาวรากปราณสวรรค์
แต่เด็กสาวรากปราณสวรรค์ยังเหม่อลอยราวกับสูญเสียวิญญาณไปแล้ว หลิงจือจึงจำต้องใช้คาถาวารีสวรรค์ซ้ำอีกหน
หลังจากน้ำเย็นเฉียบอ่างหนึ่งราดลงมาใส่ ในที่สุดเด็กสาวรากปราณสวรรค์ก็ได้สติ นางหอบหายใจอย่างหนักแล้วกอดหน้าอกของตนเอง แม้นางจะถูกสะกดอยู่ แต่เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นางยังจดจำได้ นางรู้ว่าตนเองถูกทำอะไร หากไม่ใช่เพราะจู่ๆ พรายหนุ่มตนนั้นพุ่งออกไปด้านนอก นางอาจจะ…อาจจะถูกย่ำยีไปแล้ว
ปกติหลิงจือไม่ถูกกับนาง แต่เมื่อเห็นว่าเกิดเรื่องเช่นนี้กับนาง นางก็ยังรู้สึกทนไม่ได้ “เจ้าไม่เป็นอะไรนะ”
เด็กสาวรากปราณสวรรค์เหลือบมองหลิงจือ แล้วเอ่ยอย่างอารมณ์ไม่ดี “เจ้าอย่าคิดเหลวไหลเชียว ข้ายังบริสุทธิ์อยู่”
หลิงจือเพิ่งตระหนักว่าตนเองเป็นห่วงนางเสียเปล่าแล้ว ดูท่าทางยโสโอหังของนางสิ เหมือนแม่นางที่ถูกรังแกเสียที่ไหน นางช่างเป็นห่วงไม่เข้าเรื่องเสียจริง!
หลิงจือแค่นเสียงชิชะแล้วถามว่า “ผู้ใดคิดเหลวไหลเรื่องใด ข้าเพียงอยากถามเจ้าว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ เวยเวยไปที่ใดแล้ว”
เมื่อครู่เด็กสาวรากปราณสวรรค์นอนอยู่ในถ้ำ นางจึงไม่เห็นกับตาว่าเกิดเรื่องใดขึ้น แต่ฟังจากคำพูดของพรายหนุ่มที่ลอยมาให้ได้ยิน ก็พอจะเดาออกว่าเวยเวยน่าจะกินจิตตั้งต้นของนางพรายสองตนนั้นไปแล้ว ส่วนพรายหนุ่มตนนั้นก็ถูกบุรุษอีกคนหนึ่งสังหาร
“หลังจากนั้นเวยเวยก็หายไป ข้าเดาว่าบางทีบุรุษผู้นั้นอาจพาเวยเวยไปด้วย” เด็กสาวรากปราณสวรรค์บอกข้อสันนิษฐานของตนเองให้ฟัง
“บุรุษหรือ ใช่ชิงสุ่ยเจินเหรินหรือไม่” บุรุษที่จะมาช่วยเวยเวย หลิงจือก็นึกออกแค่เขาเท่านั้น
เด็กสาวรากปราณสวรรค์ส่ายหน้า “ฟังจากเสียงแล้วไม่เหมือน แต่ข้าแน่ใจว่าเขาไม่ใช่พวกเดียวกับภูตพราย เขาไม่มีเจตนาร้ายต่อเวยเวย”
ยามที่กล่าวถ้อยคำนี้ออกมา ในใจเด็กสาวรากปราณสวรรค์พลันเกิดความริษยาขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ ตัวนางเองก็ไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใด
หลิงจือไม่มีเวลาประเมินความรู้สึกของเด็กสาวรากปราณสวรรค์ ตอนนี้ในสมองของนางมีแต่เรื่องเวยเวย ต่อให้เด็กสาวรากปราณสวรรค์บอกว่าบุรุษผู้นั้นไม่มีเจตนาร้ายต่อเวยเวย แต่หากไม่เห็นเวยเวยกับตาตนเอง หลิงจือก็วางใจไม่ลง “หากตอนนี้เจ้าไม่เป็นอะไรแล้ว พวกเราก็แยกย้ายกันค้นหาเถิด อาจารย์อาน้อยยังอยู่ด้านนอก ข้าจะไปรับเขาก่อน”
เด็กสาวรากปราณสวรรค์ลุกขึ้นยืนแล้วตอบว่า “ข้าจะไปกับเจ้าด้วย ข้าฟังคำเรียกขานของพวกภูตพรายนั่นแล้ว ดูเหมือนตัวที่ร้ายกาจมากกว่าจะยังอยู่ข้างนอก พลังเพียงเท่านี้ของเจ้าคงรับมือภูตพรายไม่ไหว”
หลิงจือได้ยินคำนี้ก็หัวเราะเบาๆ “ดูพูดเข้าสิ ทำเหมือนกับว่าคนที่เพิ่งถูกจับตัวไปเป็นข้าอย่างนั้นแหละ”
เด็กสาวรากปราณสวรรค์สะอึก
ในใจหลิงจือไร้ความยึดติด นางจึงไม่กังวลว่าจะถูกภูตพรายสะกด อย่างมากที่สุดนางก็แค่สู้ไม่ได้ สู้ไม่ได้นางก็ยังหนีได้ไม่ใช่หรือ แต่ฉินหลิงเอ๋อร์ไม่เหมือนกัน นางกังวลว่าหากภูตพรายที่เก่งกาจกว่าตัวนั้นกลับมา มันจะสะกดฉินหลิงเอ๋อร์ไปอีก
พอคิดเช่นนี้ นางก็คิดว่าไม่ควรแยกจากฉินหลิงเอ๋อร์จริงๆ
ตอนนั้นเองจู่ๆ นางก็คิดอะไรขึ้นมาได้ หลิงจือกระแอมในลำคอแล้วถามด้วยสีหน้าจริงจัง “จะว่าไปแล้ว เจ้ายัง…ชอบอวี๋เจี๋ยอยู่หรือไม่”
เด็กสาวรากปราณสวรรค์หันมามองหลิงจือเหมือนมองคนโง่ “เจ้าคิดว่าสายตาของตนเองดีมากนักหรือ บุรุษที่เจ้าพึงใจ สตรีคนอื่นต้องอาลัยอาวรณ์เขาเหมือนเจ้าหรือไร”
หลิงจือกระดากอายที่จะยอมรับว่านางคิดเช่นนั้นจริงๆ!
เด็กสาวรากปราณสวรรค์คร้านจะสนใจนาง นางเดินอ้อมตัวอีกฝ่ายออกไปจากถ้ำขนาดเล็กแห่งนั้น
ภายในรังของภูตพรายยังมีภูตพรายน้อยที่ยังไม่เติบโตอีกจำนวนมาก เด็กสาวรากปราณสวรรค์ใช้ปราณปีศาจรวบพวกมันเข้าไปเก็บไว้ในขวดเฉียนคุนของตนเอง
ขวดเฉียนคุนระดับสูงกว่าถุงเฉียนคุนมาก มันไม่เพียงมีพื้นที่มากกว่า แต่ยังใส่สิ่งมีชีวิตลงไปได้ด้วย ข้อด้อยเพียงประการเดียวก็คือมันกินพลังปราณมากเหลือเกิน แต่อยู่ในแดนปีศาจ เด็กสาวรากปราณสวรรค์ดึงปราณปีศาจมาใช้ได้ไม่มีวันหมดสิ้น ดังนั้นนางจึงไม่กังวลเรื่องเหล่านั้น
“เมื่อครู่เจ้าจับอะไรมา” หลิงจือถาม
เด็กสาวรากปราณสวรรค์ตอบว่า “ภูตพรายน้อย”
หลิงจือพึมพำอย่างไม่เข้าใจ “เหตุใดข้าไม่ยักจะมองเห็นพวกภูตพรายน้อย”
“เพราะขั้นพลังต่ำเกินไปอย่างไรเล่า!” เด็กสาวรากปราณสวรรค์เยาะเย้ยหลิงจือเช่นนี้ แต่ในใจนางรู้ดีว่าไม่ใช่เพราะขั้นพลัง เรื่องนี้เป็นเพราะคุณสมบัติของร่างกายนางต่างหาก หากพูดถึงรากปราณ บางทีนางอาจสู้หลิงจือไม่ได้ แต่นางดูเหมือนจะ…มองเห็นสิ่งที่ผู้ฝึกตนปกติมองไม่เห็น
ทั้งสองคนออกจากม่านน้ำตกมาถึงสถานที่ที่จีเสี่ยวซิวซ่อนตัวอยู่ จิตตั้งต้นของใต้เท้าเจ้าตำหนักกลับมาในร่างแล้ว เขาแกะยันต์อำพรางกายบนร่างออก ทั้งสองคนเห็นจีเสี่ยวซิวนั่งอยู่ในตะกร้าสะพายหลังใบน้อย ในอ้อมแขนของจีเสี่ยวซิวอุ้มอ่างน้ำใบน้อย ส่วนในอ่างน้ำน้อยใบนั้นก็มีดอกบัวน้ำแข็งดอกน้อยสีโลหิตแช่น้ำอยู่ ดอกบัวน้ำแข็งน้อยสีจางลงไปมากแล้ว
แน่นอนว่าเทียบกับสีของดอกบัวน้ำแข็งน้อย ทั้งสองคนตกตะลึงมากกว่าที่ดอกบัวน้ำแข็งน้อยกลับมาอยู่ในอ่างน้ำแล้ว ไหนว่าบุรุษลึกลับคนหนึ่งพาตัวไปอย่างไรเล่า
หลิงจือหันไปมองเด็กสาวรากปราณสวรรค์ด้วยสายตาแปลกใจ
เด็กสาวรากปราณสวรรค์ตาโตอ้าปากค้างครู่หนึ่ง นางแน่ใจว่าตนเองฟังไม่ผิด มีบุรุษผู้หนึ่งช่วยดอกบัวน้ำแข็งน้อยจากเงื้อมมือพรายหนุ่มจริงๆ หลังจากนั้นบุรุษผู้นั้นก็ถามขึ้นมาว่า ‘ชอบกินเจ้านี่หรือ’ หลังจากนั้นกลิ่นอายของบุรุษผู้นั้นกับดอกบัวน้ำแข็งน้อยก็หายไป
เด็กสาวรากปราณสวรรค์ย่อตัวลงมามองดอกบัวน้ำแข็งน้อยในอ่างน้ำแล้วถามจีเสี่ยวซิวว่า “เจ้า…ตามหานางพบจากที่ใด”
จีเสี่ยวซิวตอบโดยไม่เปลี่ยนสีหน้าสักนิด “นางบินกลับมาเอง”
เด็กสาวรากปราณสวรรค์งุนงง “กลับมาเองหรือ ไม่ใช่บุรุษคนหนึ่งพานางกลับมาส่งหรือ”
จีเสี่ยวซิวผายมือ “ไม่ใช่นะ”
หลิงจือหันมามองเด็กสาวรากปราณสวรรค์ “เจ้าถูกมนตร์สะกดของภูตพรายจนเห็นภาพหลอนกระมัง เวยเวยออกมาเอง ไม่ได้ถูกบุรุษคนใดพาตัวไปเสียหน่อย”
เด็กสาวรากปราณสวรรค์ตอบอย่างงงๆ “…อาจจะ…เป็นเช่นนั้นกระมัง”
ดอกบัวน้ำแข็งน้อยกินดื่มอิ่มหนำสำราญแล้วก็กลับมานอนหลับอุตุในอ่างน้ำใบน้อยอีกหน
จีเสี่ยวซิวจัดใบบัวน้อยๆ ของนางแล้วจู่ๆ ก็เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ เขากะพริบดวงตาอันไร้เดียงสาถามว่า “ชิงสุ่ยเจินเหรินเล่า ตามหาเขาพบหรือไม่”
หลิงจือตบหน้าผากเสียงดัง “โธ่ เกือบลืมท่านเซียนกับพวกอาจารย์แล้ว! พวกเขาต้องถูกภูตพรายสะกดไปแน่! จะตามหาพวกเขาอย่างไรดีเล่า”
สาเหตุที่หลิงจือตามหาที่แห่งนี้พบ เพราะสัมผัสคลื่นพลังงานจากในรังของภูตพรายได้ แต่ถ้าภูตพรายอยู่ข้างนอก หลิงจือก็จับสัมผัสไม่ได้แล้ว
“มีสิ่งนี้อยู่จะกลัวอะไร” เด็กสาวรากปราณสวรรค์ปล่อยภูตพรายน้อยตนหนึ่งออกมาจากขวดเฉียนคุนของตน ภูตพรายน้อยถูกขังอยู่นานถึงเพียงนี้ย่อมตกใจกลัวมาก เมื่อมันได้รับอิสระจึงรีบบินไปหาพี่ใหญ่ภูตพรายทันที
ตอนนี้จีเสี่ยวซิวมีเพียงดวงตาของมนุษย์ธรรมดา เขาจึงมองไม่เห็นภูตพรายน้อยเช่นเดียวกับหลิงจือ หลิงจือสะพายเขาขึ้นหลังแล้วก้าวตามเด็กสาวรากปราณสวรรค์ไปอย่างติดๆ พวกเขามุ่งหน้าไปทางใต้
…
ภายในจวนอันวิจิตรงดงามหลังหนึ่งทางทิศใต้ ชิงสุ่ยเจินเหรินกับ ‘จอมมาร’ กำลังนั่งประจันหน้ากันอยู่บนม้านั่งหิน ตรงกลางของทั้งสองคนคือโต๊ะหินน้อยทรงกลม บนโต๊ะหินมีอาหารกลิ่นหอมหวนรสชาติแสนโอชาวางอยู่เต็มโต๊ะพร้อมกับสุราเลิศรสชั้นเยี่ยมหนึ่งขวด
‘ท่านจอมมาร’ รินสุราเลิศรสให้ชิงสุ่ยเจินเหรินหนึ่งจอก “สามี ชิงหลวนคิดถึงเจ้ายิ่งนัก”
สองตาของชิงสุ่ยเจินเหรินแดงระเรื่อ “ข้าก็คิดถึงเจ้า ข้าตามหาเจ้ามาเนิ่นนาน แต่กลับตามหาเจ้าไม่พบ…เจ้าไปอยู่ที่ใดมากันแน่”
‘ท่านจอมมาร’ ตอบอย่างเศร้าสร้อย “ข้าจะไปอยู่ที่ใดได้เล่า ข้าก็รอเจ้าอยู่ที่นี่มาตลอด”
ชิงสุ่ยเจินเหรินมองนางอย่างเหม่อลอย “ชิงหลวน…เจ้าคือชิงหลวนจริงหรือ”
“ข้าคือชิงหลวนแน่นอนอยู่แล้วสิ” ‘ท่านจอมมาร’ ลุกขึ้นยืน ลมหายใจหอมรวยรินคล้ายกลิ่นดอกกล้วยไม้ “สามี ชิงหลวนง่วงแล้ว”
“ถ้าเช่นนั้นพวกเรานอนพักกันเร็วหน่อยเถิด” ชิงสุ่ยเจินเหรินพูดพลางก็โอบกอดนางอย่างอ่อนโยนแล้วเปิดประตูห้องเดินเข้าไป
ในมุมที่เขามองไม่เห็น ‘ท่านจอมมาร’ ยกมุมปากอย่างกระหยิ่มยิ้มย่องพลางยลโฉมคนด้านข้าง
ใบหน้างามไร้ที่ติประหนึ่งดอกบัวน้ำแข็ง รอบกายมีกลิ่นอายเซียนอันผ่องแผ้ว ชวนให้ปล่อยวางจากกิเลสแต่ก็ชวนให้ลุ่มหลง
นางพรายมีชีวิตอยู่มานับหมื่นปีเพิ่งจะเคยพบบุรุษชั้นเยี่ยมเช่นนี้เป็นหนแรก ไม่แปลกที่จอมมารจะยึดเขามาเป็นของตนเอง หากได้ลิ้มลองรสชาติของบุรุษผู้นี้ ต่อให้ต้องแลกด้วยอายุขัยนางก็ยินดี
นางพรายปลดเปลื้องอาภรณ์ ขยับเข้าไปกระซิบยั่วยวนริมหู “สามี จัดการข้าสิ”