ตอนพิเศษ 57-1 พลังอันน่ากลัว ภูตพรายในหุบเขา
หลังจากราชาปีศาจโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงจากไป จีเสี่ยวซิวก็หมุนตัวเดินกลับมาทางโรงเตี๊ยม
แต่เดิมเด็กสาวรากปราณสวรรค์สมควรจับตัวจีเสี่ยวซิวมาเค้นถาม แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดนางจึงลังเล แม้นางจะได้ยินไม่ชัดว่าทั้งสองคนพูดสิ่งใดกัน แต่ท่าทางของจีเสี่ยวซิวกับราชาปีศาจดูสนิทสนมกัน ไม่เหมือนเพิ่งจะเคยพบกันหนแรก
หรือว่าจีเสี่ยวซิวกับราชาปีศาจจะรู้จักกันมาก่อน
แต่นี่จะเป็นไปได้อย่างไรเล่า จีเสี่ยวซิวเป็นบุตรชายของเล่อหยางเจินเหริน ตั้งแต่เขาเติบโตมาก็ไม่เคยออกมาจากสำนักเชียนหลันตามลำพัง เขาย่อมไม่มีโอกาสรู้จักราชาปีศาจ แล้วอีกอย่างอย่าลืมว่าเขาเป็นเด็กน้อยอายุสามขวบเท่านั้น!
เด็กสาวรากปราณสวรรค์ยิ่งคิดก็ยิ่งสับสน นางถึงขั้นเริ่มสันนิษฐานแล้วว่าจีเสี่ยวซิวไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขแท้ๆ ของเล่อหยางเจินเหริน แต่เป็นทายาทตัวน้อยของราชาปีศาจ
ไม่นานเด็กสาวรากปราณสวรรค์ก็ตัดข้อสันนิษฐานนี้ทิ้ง หากเล่อหยางเจินเหรินแยกลูกของตนเองไม่ออก เขาก็เป็นท่านเซียนเสียเปล่าแล้ว
พวกเขาพักบนชั้นสองของโรงเตี๊ยม แต่ห้องของจีเสี่ยวซิวอยู่ทางทิศใต้ ส่วนห้องของเด็กสาวรากปราณสวรรค์อยู่ทางทิศเหนือ ตอนจีเสี่ยวซิวกลับห้องจึงไม่พบกับเด็กสาวรากปราณสวรรค์
เมื่อเห็นเขาปิดประตูห้องอย่างปลอดภัย เด็กสาวรากปราณสวรรค์ก็กลับห้องของตนเองบ้าง
นางเพิ่งจะก้าวเข้าไปในห้องก็เห็นผู้พิทักษ์รองนั่งอยู่บนเก้าอี้ของนางพร้อมกับสีหน้าเคร่งขรึม
นางเลิกคิ้วอย่างตกใจ “อาจารย์!”
ผู้พิทักษ์รองถามว่า “เมื่อครู่เจ้าไปที่ใดมา”
เด็กสาวรากปราณสวรรค์ชี้ด้านนอกประตู “เมื่อครู่ข้า…”
นางตัดสินใจเล่าเรื่องระหว่างราชาปีศาจกับจีเสี่ยวซิวให้ผู้พิทักษ์รองฟัง แต่คิดไม่ถึงว่านางยังเล่าไม่ทันจบ ผู้พิทักษ์รองก็พูดด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใย “หลิงเอ๋อร์ อาจารย์รู้ว่าในใจเจ้ามีข้อสงสัยมากมาย เรื่องบางอย่าง อาจารย์ไม่เจตนาจะปิดบังเจ้า แต่อาจารย์ทำเพราะหวังดีกับเจ้า สิ่งที่เจ้าควรรู้ อาจารย์ย่อมบอกเจ้าอย่างไม่ปิดบัง สิ่งที่อาจารย์ไม่บอกเจ้าย่อมเป็นสิ่งที่เจ้าไม่สมควรล่วงรู้”
เด็กสาวรากปราณสวรรค์เผยอปาก
แต่ผู้พิทักษ์รองเอ่ยต่อเสียก่อน “วันพรุ่งนี้ก็จะไปจากแดนปีศาจแล้ว อาจารย์หวังว่าจะไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
ประโยคเดียวปิดตายความกล้าอันน้อยนิดเสี้ยวสุดท้ายของเด็กสาวรากปราณสวรรค์อย่างสิ้นเชิง
เด็กสาวรากปราณสวรรค์เก็บกลั้นความอึดอัดไว้ในอก ไม่อยากจะพูดกับผู้พิทักษ์รองอีกแม้แต่ประโยคเดียว
…
ฟ้าสางวันต่อมาทุกคนก็ลุกจากที่นอน เตรียมตัวเดินทางกลับแดนกลาง
ตอนแรกที่มาถึงแดนปีศาจแล้วทราบว่าแดนปีศาจไม่มีค่ายกลเคลื่อนย้าย ทุกคนต่างดีใจอยู่นิดๆ ทว่ายามนี้พอไม่ต้องตามหาคน อยากจะรีบกลับบ้านเร็วๆ แล้ว พวกเขาก็เริ่มโอดครวญว่าไม่มีค่ายกลเคลื่อนย้ายช่างไม่สะดวกเสียนี่กระไร
“แดนปีศาจแสนยิ่งใหญ่ เหตุไฉนจึงไม่มีค่ายกลเคลื่อนย้ายแม้สักอัน เสี่ยวซิวก็ขี่กระบี่ไม่ได้ เช่นนี้พวกเราจะต้องเดินทางกันอีกกี่วัน” ผู้พิทักษ์รองบ่นอย่างขุ่นเคือง
ผู้พิทักษ์ใหญ่ตอบว่า “แดนปีศาจมีเขตแดนลับมากเกินไป พวกมันเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา หากไม่ทันระวังเคลื่อนย้ายไปอยู่ในเขตแดนลับสักแห่งก็อาจจะออกมาไม่ได้อีกเลยชั่วชีวิต”
ผู้พิทักษ์รองนึกถึงเขตแดนลับเล็กๆ แห่งนั้นที่พวกนางเข้าไปติดอยู่ด้านในตั้งสามปีก็หุบปากฉับทันที
สีโลหิตของดอกบัวน้ำแข็งน้อยจางลงเล็กน้อยแล้ว แต่ยังเห็นไม่ชัดเท่าไรนัก พลังงานของโลหิตเทพแข็งแกร่งเหลือเกิน มันไม่ใช่สิ่งที่จะดูดซับเสร็จภายในวันเดียวคืนเดียว
หลิงจือรดน้ำจากสระน้ำเซียนในตำหนักปี้สยาที่ชิงสุ่ยเจินเหรินนำกลับมาจากตำหนักปี้สยาให้ดอกบัวน้ำแข็งน้อย
ดอกบัวน้ำแข็งน้อยกำลังจำศีลจึงไม่รู้ว่ามีคนรดน้ำให้ตนเอง
หลิงจือใช้ปลายนิ้วจิ้มกลีบดอกของดอกบัวน้ำแข็งน้อย ดอกบัวน้ำแข็งน้อยยกใบบัวเล็กๆ ขึ้นมาปิดดอกตูมน้อยๆ ของตนเองอย่างสะลึมสะลือ
หลิงจือหัวเราะอย่างขบขัน
หลังจากอาหารเช้า ทุกคนก็เก็บของเสร็จเรียบร้อยแล้วเดินทางออกจากโรงเตี๊ยม เนื่องจากหนก่อนพวกผู้พิทักษ์ใหญ่ขี่กระบี่จนพลัดเข้าไปในเขตแดนลับบนท้องฟ้า ครั้งนี้เพื่อปลอดภัยไว้ก่อน ทุกคนจึงตัดสินใจเดินทางกันทางบก
พวกเขาซื้อรถม้าเทียมสัตว์วิเศษมาสองคัน ผู้พิทักษ์ทั้งสองกับศิษย์ของแต่ละคนนั่งอยู่ในรถคันหนึ่ง ส่วนชิงสุ่ยเจินเหรินกับจีเสี่ยวซิวนั่งด้วยกันอีกคันหนึ่ง อ่างน้ำน้อยที่ดอกบัวน้ำแข็งน้อยแช่น้ำอยู่ถูกจีเสี่ยวซิวอุ้มเอาไว้
รถม้าใช้ดวงจิตบังคับจึงไม่จำเป็นต้องมีสารถี ตลอดการเดินทางหนนี้นับว่าราบรื่น แต่แล้วเมื่อใกล้ถึงชายแดนจู่ๆ สัตว์วิเศษก็หยุดวิ่ง
“เกิดอะไรขึ้น” หลิงจือถามอย่างฉงน
ผู้พิทักษ์ใหญ่เปิดผ้าม่านมองเทือกเขาที่รายล้อมอยู่รอบด้าน สายลมหนาวที่ดูไม่ปกติพัดเอื่อยๆ มาจากทางหุบเขา
ผู้พิทักษ์ใหญ่ขมวดคิ้ว “นี่มันภูเขาต้าหมังไม่ใช่หรือ”
ผู้พิทักษ์รองกระโดดลงจากรถม้าแล้วมองสำรวจรอบๆ “ใช่แล้ว ตอนที่พวกเราข้ามชายแดนมา พวกเราก็เดินทางไปทางตะวันออกผ่านภูเขาต้าหมัง แต่เหตุไฉนข้ารู้สึกว่าภูเขาต้าหมังลูกนี้แตกต่างจากเมื่อหนึ่งเดือนก่อน”
ผู้พิทักษ์ใหญ่ลงจากรถม้าตามมา นางสำรวจภูมิประเทศตรงนี้อย่างละเอียด ตำแหน่งที่พวกเขาหยุดรถคือหุบเขาแห่งหนึ่ง รอบด้านโอบล้อมด้วยภูเขา เบื้องหน้าคือหุบเขาแคบ สายลมหนาวยะเยือกพัดออกมาจากหุบเขาแห่งนั้น
ผู้พิทักษ์ใหญ่รู้สึกได้ด้วยสัญชาตญาณว่าหุบเขาแห่งนั้นผิดปกติ แต่ที่แห่งนี้ไม่มีทางเส้นอื่นให้ตัดผ่านอีกแล้ว
ผู้พิทักษ์ใหญ่ตัดสินใจแผ่จิตสัมผัสของตนออกมาสำรวจ ทว่าจิตสัมผัสของนางแผ่ครอบคลุมเทือกเขากับหุบเขาทั้งหมดแล้วแต่กลับไม่พบสภาพผิดปกติอันใด “เรื่องนี้มีบางสิ่งแปลกๆ เห็นชัดๆ ว่าผิดปกติ แต่กลับจับสัมผัสอะไรไม่ได้เลย”
“ศิษย์พี่ ข้าจะเข้าไปดู” ผู้พิทักษ์รองเสนอขึ้นมา
ผู้พิทักษ์ใหญ่ดึงมือนางเอาไว้ก่อน “ข้าจะไปเอง เจ้ารอข้าอยู่ที่นี่”
ชิงสุ่ยเจินเหรินลงจากรถม้า เดินไปหาทั้งสองคน “ข้าไปเองดีกว่า ผู้พิทักษ์ทั้งสองโปรดรออยู่ที่นี่”