ตอนพิเศษ 56 เวยเวยน้อยจอมอันธพาล ชาติกำเนิดของเจ้าตำหนัก (3)
ยามจากไปนางยังเป็นมังกรมารน้อยตัวหนึ่ง แต่ยามหวนคืนกลับกลายเป็นดอกบัวน้ำแข็งน้อยดอกหนึ่งเสียแล้ว ความเปลี่ยนแปลงนี้ไม่มีลางบอกล่วงหน้าแม้แต่น้อย ทุกคนจึงไม่อยากจะเชื่ออยู่บ้าง
แน่นอนว่าสาเหตุหลักในเรื่องนี้เป็นเพราะว่าพวกเขาไม่เคยรู้จักร่างจริงของชิงสุ่ยเจินเหรินมาก่อน ไม่ทราบว่าเขาถือกำเนิดจากหิมะเซียนก่อนจะได้ครอบครองกายาของดอกบัวน้ำแข็ง พวกเขาเชื่อมาตลอดว่าชิงสุ่ยเจินเหรินเป็นเผ่ามนุษย์
ทว่าถึงจะทราบเรื่องนั้น พวกเขาก็ไม่เคยได้ยินว่ามีผู้ใดครอบครองร่างจริงสองร่างในเวลาเดียวกันอยู่ดี
“สรุปก็คือ…เวยเวยไม่เพียงเป็นเด็กที่เกิดจากเซียนกับมาร แต่นางยังเป็นทั้งมังกรมารน้อยตัวหนึ่งกับดอกบัวน้ำแข็งน้อยดอกหนึ่งพร้อมกันด้วยหรือ” ผู้พิทักษ์รองที่เร่งรีบมาหาหลังจากได้ข่าว ตกตะลึงจนคางเกือบจะร่วงลงมา
ชิงสุ่ยเจินเหรินพยักหน้า “กล่าวเช่นนั้นก็ได้”
ผู้พิทักษ์ทั้งสองกับเด็กสาวรากปราณสวรรค์รู้สึกคิดไม่ถึงอย่างยิ่ง ส่วนหลิงจือผู้ไม่รู้เรื่องราวอะไรพวกนี้มากอยู่แล้วกลับเป็นคนที่ยอมรับได้เร็วกว่าผู้อื่นเล็กน้อย
หลิงจือเกาะโต๊ะ มองดอกบัวน้ำแข็งน้อยสีเลือดในอ่างน้ำใบน้อยตาไม่กระพริบ “งดงามจริงๆ!”
จีเสี่ยวซิวพึมพำอย่างฉุนเฉียว “ย่อมงดงามอยู่แล้วสิ ไม่ดูเสียบ้างว่าใช้เลือดของผู้ใดเลี้ยง!”
จีเสี่ยวซิวนั่งประจันหน้ากับหลิงจือ ขาขวายกขึ้นมาวางพาดบนหัวเข่าซ้าย ท่าทางเหมือนพวกผู้ทรงอิทธิพล ขาดก็แต่กล้องยาสูบสักชิ้น
เสียงของเขาเบามาก หลิงจือจึงฟังไม่ชัด หลิงจือเงยหน้าขึ้นมาถาม “อาจารย์อาน้อยท่านพูดอะไรหรือ”
จีเสี่ยวซิวตอบว่า “ไม่มีอะไรขอรับ”
หลังจากผู้พิทักษ์ใหญ่เริ่มหายตกตะลึงจากเรื่องที่มังกรมารน้อยกลายเป็นดอกบัวน้ำแข็งน้อย นางก็มองดอกบัวน้ำแข็งน้อยในอ่างน้ำแล้วเอ่ยว่า “ถ้าเช่นนั้นนั่นก็คือ…”
แม้นางจะยังพูดไม่ทันจบ ชิงสุ่ยเจินเหรินก็เข้าใจว่านางหมายถึงสิ่งใด เขาอธิบายว่า “โลหิตชีวิตของยอดเซียน”
ผู้พิทักษ์ใหญ่ได้ยินคำว่ายอดเซียนพลันเกิดความรู้สึกเคารพเลื่อมใสขึ้นมาทันที นางเคยคิดว่าต่อให้นางใช้ชีวิตอีกแปดชาติก็คงไม่มีโอกาสกรายใกล้เจ้าผู้ปกครองแดนเซียน แต่เวลานี้ท่านผู้นั้นกลับมาปรากฏอยู่ตรงหน้าตนเองแล้ว แม้ว่าจะเป็นเพียงเลือดหยดเดียวของท่านก็ตาม เพียงเท่านี้ก็มากพอจะให้ผู้พิทักษ์ใหญ่รู้สึกถึงคลื่นความยินดีถาโถมอยู่ในใจสักพักใหญ่ “คิดไม่ถึงว่าในช่วงเวลาที่ข้ามีชีวิตอยู่ จะได้มีโอกาสพบโลหิตชีวิตของยอดเซียน…”
พูดพลางนางก็เผยรอยยิ้มยินดีออกมา “เวยเวยมีบุญมากนักเชียว”
มีบิดาเป็นท่านเซียน มีมารดาเป็นจอมมาร แล้วยังมีอาจารย์ลุงเป็นยอดเซียน นี่เป็นชาติกำเนิดที่มีคนมากมายเท่าใดอิจฉาตาร้อน แน่นอนว่าเด็กคนนี้ก็ผ่านความทุกข์ทรมานมาไม่น้อย เพียงแค่ต้องลอยคออยู่ในทะเลมรณะอยู่เป็นร้อยสองร้อยปีก็ไม่ใช่สิ่งที่ใครจะทนผ่านมาได้แล้ว
หลังจากนั้นยังต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบากเติบโตมาโดยไร้บิดามารดาจนกระทั่งถึงตอนนี้ ในที่สุดก็หมดทุกข์หมดโศกพบกับความสุข
“หลังจากนี้ท่านเซียนมีแผนการอย่างไรเจ้าคะ” ผู้พิทักษ์ใหญ่ถาม
ชิงสุ่ยเจินเหรินผู้ยังดึงอารมณ์กลับมาจากความสะเทือนใจที่ต้องสูญเสียจอมมารไปชั่วนิรันดร์ไม่ได้ รีบเรียกสติตนเองแล้วตอบว่า “กลับสำนักเชียนหลันกันก่อนเถิด รอให้เวยเวยเติบใหญ่แล้ว ข้าค่อยคิดหาวิธีอีกหน”
คิดหาวิธีเดินทางไปแดนเทพหรือ ผู้พิทักษ์ใหญ่ไม่ได้เอ่ยถามออกมา เพราะนางคิดว่าไม่จำเป็น ไม่ว่าอย่างไรทางเชื่อมสู่แดนเทพก็ถูกพลังงานประหลาดปิดตายไปอย่างไร้สาเหตุตั้งแต่สองหมื่นปีก่อนแล้ว ไม่มีผู้ใดเปิดทางเชื่อมนั้นได้
ชิงสุ่ยเจินเหรินลุกขึ้นยืนแล้วบอกว่า “ดึกแล้ว ทุกคนพักผ่อนสักคืน พรุ่งนี้เช้าออกเดินทางกลับสำนักเชียนหลัน”
หลิงจือกอดอ่างน้ำใบน้อยแล้วบอกว่า “ให้เวยเวยอยู่กับข้าได้หรือไม่เจ้าคะ”
นางชอบดอกบัวน้ำแข็งน้อยมากจริงๆ!
ชิงสุ่ยเจินเหรินตกลงอย่างไม่ลังเล
หลิงจือกับดอกบัวน้ำแข็งน้อยพักด้วยกันห้องหนึ่ง นอกจากจีเสี่ยวซิวที่ถูกจัดให้พักอยู่กับผู้พิทักษ์ใหญ่ คนอื่นต่างก็มีห้องเป็นของตนเอง
ตกกลางคืนยามที่ทุกคนนอนหลับกันหมดแล้ว ชิงสุ่ยเจินเหรินยังคงขบคิดเรื่องเกล็ดมังกรอยู่ เขาจึงตัดสินใจเดินทางไปหาผู้ฝึกตนปีศาจที่เก็บเกล็ดมังกรได้สักหน
เด็กสาวรากปราณสวรรค์นอนอยู่บนเตียงของโรงเตี๊ยม นางพลิกไปพลิกมานอนไม่หลับ
วันพรุ่งนี้ก็จะออกจากแดนปีศาจแล้ว ชั่วชีวิตนี้อาจไม่มีโอกาสได้มาเยือนซ้ำอีกหน
นางจะไม่ไปหาราชาปีศาจจริงหรือ นางไม่ทำให้ตัวตนของตนเองกระจ่างจะดีหรือ บางทีนางอาจเหมือนเฉียวเวยเวย มีบิดาที่แสนเก่งกาจสักคนกับมารดาที่แสนจเก่งกาจอีกสักคนก็ได้นี่ บางทีนางอาจไม่แพ้เฉียวเวยเวยสักนิดเลยก็ได้
ผู้หญิงคนนั้นก็บอกไม่ใช่หรือว่า นางเป็นคู่หมั้นของเจ้าตำหนัก
คนที่คู่ควรจะครองคู่กับเจ้าตำหนัก จะเป็นคนชาติกำเนิดต้อยต่ำได้หรือ
ความรู้สึกทุรนทุรายนี้ ยามไม่มีคนให้เปรียบเทียบยังไม่เผยออกมาชัดเจนนัก แต่เมื่อเฉียวเวยเวยกลับมาแล้ว นางพลันรู้สึกว่าในใจตนเกิดความริษยามากมายท่วมฟ้า
นางรู้ว่าเป็นเช่นนี้ไม่ถูกต้อง นางจึงเก็บกลั้นมันไว้อย่างชาญฉลาด
แต่ยิ่งนางเก็บกดไว้ นางก็ยิ่งอยากรู้ว่าตนเองเป็นใคร
แต่ยิ่งอยากจะรู้ นางก็ยิ่งหวาดกลัวที่จะรู้ นางกังวลว่าตนเองจะผิดหวัง
ขณะที่เด็กสาวรากปราณสวรรค์ละล้าละลังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเดินทางไปหาราชาปีศาจดีหรือไม่ ราชาปีศาจก็เดินทางมาหาด้วยตนเอง
แน่นอนว่าราชาปีศาจไม่ได้มาหานาง นางได้ยินเสียงจากห้องด้านข้างจึงแผ่จิตสัมผัสของตนเองออกไป แล้วพบว่าจีเสี่ยวซิวน้อยอายุสามขวบผู้ยังไม่หย่านมเปิดประตูห้องออกมาเพียงลำพัง เขาเดินออกมาจากข่ายอาคมที่ชิงสุ่ยเจินเหรินวางไว้พร้อมกับสีหน้าเคร่งขรึม
ข่ายอาคมนี้เพียงขวางไม่ให้คนนอกเข้ามา แต่ไม่ห้ามคนด้านในออกไป ไม่เช่นนั้นหากเกิดเหตุร้ายอะไรขึ้นมาสักอย่าง พวกเขาอยากหนีก็หนีออกไปไม่ได้
ตอนแรกเด็กสาวรากปราณสวรรค์คิดว่าเขาจะไปห้องน้ำจึงกำลังจะเก็บจิตสัมผัสกลับมา แต่นางกลับพบว่าจีเสี่ยวซิวเดินเลี้ยวไปทางภูเขาด้านหลังของโรงเตี๊ยม
ดึกดื่นเที่ยงคืน เด็กน้อยคนนี้จะไปภูเขาด้านหลังทำอะไร!
เด็กสาวรากปราณสวรรค์รีบไล่ตามไป เพิ่งมาถึงปากทางเข้าภูเขาด้านหลังนางก็เห็นบุรุษที่ต่อให้สลายกลายเป็นขี้เถ้านางก็ยังจำได้ เขาก็คือราชาปีศาจ
หนนี้ราชาปีศาจไม่เปลือยเปล่าแล้ว เขาสวมอาภรณ์หรูหรา ใบหน้างดงามเย้ายวนยามอยู่ใต้รัตติกาลอันเย็นเฉียบดูเหมือนภาพวาดที่ลงสีเข้มสดตัดกับลายหมึกดำทึบ
จีเสี่ยวซิวเดินไปหยุดตรงหน้าเขา
เด็กสาวรากปราณสวรรค์ขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ
ราชาปีศาจเหยียดริมฝีปากสีแดงสดเป็นรอยยิ้มโค้ง เขายิ้มกว้างแล้วเอ่ยปากว่า “ในที่สุดเจ้าก็ยอมปรากฏตัวเสียที ข้ายังคิดอยู่ว่าเจ้าจะหลบไปถึงเมื่อใด”
จีเสี่ยวซิวกางแขนออก “อุ้มหน่อย”
ราชาปีศาจชะงัก เขามองจีเสี่ยวซิวเหมือนมองคนโง่คนหนึ่ง จีเสี่ยวซิวเป็นเด็กน้อยที่ไร้พลังฝึกตน ขอเพียงจิตตั้งต้นของเจ้าตำหนักยังอยู่ในร่างเขา เขาก็จะถูกข้อจำกัดของร่างกายนี้พันธนาการเอาไว้ด้วย
ด้วยเหตุนี้ต่อให้ราชาปีศาจจะสงสัยแต่ก็ไม่กลัวเขา ราชาปีศาจอุ้มจีเสี่ยวซิวขึ้นมาแล้วถามว่า “คิดจะทำอะไร”
จีเสี่ยวซิวเหลือบมองก้อนหินก้อนหนึ่งที่อยู่ด้านข้าง
ราชาปีศาจวางจีเสี่ยวซิวลงบนก้อนหิน เมื่อเป็นเช่นนี้สายตาของจีเสี่ยวซิวกับราชาปีศาจจึงอยู่ในระดับเดียวกัน
จีเสี่ยวซิวเอ่ยเรียบๆ ว่า “เจ้าตำหนักคนนี้มิชอบแหงนหน้าคุยกับผู้อื่น แล้วอีกอย่างข้าก็มิได้หลบเจ้า ตัวข้าเพิ่งเดินทางไปแดนเซียนมา วันนี้เพิ่งกลับมาถึง”
ราชปีศาจย่อมทราบว่าเขาไม่โกหก จึงยิ้มอย่างมีเลศนัย “ข้าได้ยินมาว่าวันพรุ่งนี้พวกเจ้าจะออกไปจากแดนปีศาจแล้ว”
“หากใช่แล้วจะทำไม” จีเสี่ยวซิวถาม
ราชาปีศาจยิ้ม “เจ้าตำหนักไม่คิดว่าตนเองน่าจะอยู่ที่นี่ต่อหรือ”
จีเสี่ยวซิวย้อนถามกลับ “เหตุใดข้าจะต้องอยู่ที่นี่ต่อด้วย”
ราชาปีศาจหรี่ตาลง “เจ้าตำหนักคงจะยังไม่ลืมใช่หรือไม่ว่าตนเองมีสัญญาหมั้นอยู่กับจอมปีศาจ ร่างกลับชาติของจอมปีศาจปรากฏตัวแล้ว เจ้าตำหนักมิใช่ว่าควรจะทำตามสัญญาแต่เก่าก่อนหรือไร”
จีเสี่ยวซิวเลิกคิ้ว “อ้อ ที่แท้ก็เรื่องนี้เอง ช่างเถิด ในเมื่อวันนี้เจ้าเอ่ยขึ้นมา ข้าก็จะบอกเจ้าให้ชัด ไม่ว่าจอมปีศาจของพวกเจ้าจะกลับชาติมาเกิดใหม่ก็ดี หรือจะสลายกลายเป็นธุลีไปแล้วก็ช่าง ไม่เกี่ยวข้องกับข้าแต่ประการใด”
ราชาปีศาจหน้าบึ้งทันที “ยามนั้นเจ้าสาบานต่อหน้าหินซานเซิงสือ! หากตระบัดสัตย์ผิดคำสาบานย่อมถูกห้าอสนีบาตลงทัณฑ์ มิอาจกลับมาเกิดได้ชั่วนิรันดร์!”
เด็กสาวรากปราณสวรรค์พยายามจะฟังให้ชัดว่าพวกเขาคุยอะไรกัน แต่พวกเขาอยู่ห่างเกินไป นางฟังไม่ชัดแม้แต่คำเดียว จีเสี่ยวซิวหันหลังมาทางนาง นางจึงมองเห็นแต่แผ่นหลังเล็กๆ ของเขาที่นั่งอยู่บนก้อนหิน ส่วนสีหน้าของราชาปีศาจก็ถูกท้ายทอยของเขาบังเอาไว้
นางไม่รู้สักนิดว่าสองคนนี้กำลังทำสิ่งใดอยู่!
จีเสี่ยวซิวได้ยินคำพูดของราชาปีศาจก็มิหวาดกลัวแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามเขากลับหัวเราะเบาๆ
ราชาปีศาจมองเขาอย่างฉงน “เจ้าหัวเราะอะไร เจ้ามิกลัวสวรรค์ลงทัณฑ์หรือ”
ทัณฑ์สวรรค์เป็นสิ่งที่ศักดิ์สิทธิ์มากสำหรับผู้ฝึกตน หากไม่รักษาคำสัญญาที่ลั่นวาจาไปแล้ว ผลที่ตามมามีแต่หนักหนามิมีเบา
จีเสี่ยวซิวหัวเราะพลางส่ายหน้า “ยามนั้นผู้ที่สัญญาว่าจะตบแต่งกับจอมปีศาจหาใช่ข้า”
ราชาปีศาจหน้าถอดสี “ไม่ใช่เจ้าหรือ เป็นไปไม่ได้! จิตตั้งต้นของเจ้ายังมีตราประทับที่ข้าตีตราไว้อยู่เลย!”
จอมปีศาจตกหลุมรักเจ้าตำหนักอย่างลึกซึ้ง แต่จนปัญญาที่เจ้าตำหนักมุ่งมั่นแต่กับการฝึกตน ชักช้าเนิ่นนานก็มิยอมทำพิธีตบแต่งให้เสร็จเสียที เพื่อป้องกันมิให้การแต่งงานหนนี้เกิดผิดพลาดอันใดขึ้น จอมปีศาจจึงตีตราประทับลงบนจิตตั้งต้นของเจ้าตำหนัก
หลังจากนั้นจอมปีศาจก็เลื่อนขั้นพลังล้มเหลว ถูกมหาอัสนีวิบากผ่าจนมอดม้วย ตราประทับที่ทิ้งไว้บนจิตตั้งต้นของเจ้าตำหนักจึงมลายหายไปด้วย
ทว่าราชาปีศาจเชื่อมั่นมาตลอดว่าจอมปีศาจจะกลับชาติมาเกิดในสักวันหนึ่ง ดังนั้นเขาจึงตีตราประทับบนจิตตั้งต้นของเจ้าตำหนักใหม่อีกหนแทนจอมปีศาจ
จีเสี่ยวซิวเอ่ยเรียบๆ “ต้องขอบคุณตราประทับของเจ้า แดนยมโลกจึงมองตัวตนของข้าไม่ออก”
ราชาปีศาจตกตะลึงอย่างยิ่ง “เจ้า…เจ้าหมายความว่า…”
จีเสี่ยวซิวมองเข้าไปในดวงตาของเขาอย่างไม่หลบเลี่ยง “เจ้าตำหนักชิงเฉิงดับสูญไปนานแล้ว ข้าใช้ตัวตนของเขาอาศัยอยู่ในแดนยมโลก ข้าบอกกับผู้อื่นว่าข้าเผชิญมหาอัสนีวิบากยามเลื่อนขั้นพลังจนหลงเหลือเพียงเศษเสี้ยววิญญาณ ทว่าผ่านมาเนิ่นนานถึงเพียงนี้ก็ยังคงมีคนคลางแคลงในตัวตนของข้า โชคดีที่เจ้ายืนยันตัวตนของข้าให้แล้ว นับแต่นี้ข้าคงจะอยู่ในแดนยมโลกได้อย่างสงบสุขเสียที”
ราชาปีศาจโกรธจนกระทืบเท้า “เจ้า…เจ้าหมอนี่! ข้าก็ว่าแล้วว่าเหตุไฉนยามนั้นเจ้าจึงว่าง่ายถึงเพียงนั้น!”
จีเสี่ยวซิวยิ้มจางๆ “ข้าไม่เอาเปรียบเจ้าเปล่าๆ หรอกน่า หนนี้หากมิใช่เพราะข้าออกโรง ชีวิตน้อยๆ ของเจ้าก็คงตกตายในเงื้อมมือของชิงสุ่ยเจินเหรินแล้ว หนี้น้ำใจที่ติดค้างเจ้า ข้าชดใช้คืนให้แล้ว นับจากนี้โลกหล้ากว้างใหญ่ ต่างคนต่างเดิน มีวาสนาค่อยพบพานกันอีกหน”
กล่าวจบจีเสี่ยวซิวก็ยื่นแขนน้อยๆ ออกมาหาเขา
ราชาปีศาจถามอย่างดุร้าย “เจ้าคิดจะทำอะไรอีก”
จีเสี่ยวซิวเบิกดวงตากลมบ๊อกของตนเอง แล้วสั่งด้วยน้ำเสียงอ้อแอ้ “อุ้มข้าลงไปด้วย!”