ตอนพิเศษ 55-2 เวยเวยน้อยจอมอันธพาล ชาติกำเนิดของเจ้าตำหนัก (2)
เทพธิดาปี้สยาเดินเข้ามา นางมองยอดเซียนด้วยแววตาแฝงความนัย ในแววตาแฝงความเลื่อมใสที่ยากจะปิดบังอยู่จางๆ “ข้าคิดมาตลอดว่ามีเพียงโลหิตเทพจึงจะมีสรรพคุณเช่นนี้ คิดไม่ถึงเลยว่าโลหิตเฟิ่งหวงของยอดเซียนก็ร้ายกาจถึงเพียงนี้ด้วย นี่คงไม่ใช่ว่า…ยอดเซียนครอบครองพลังอาคมของระดับเทพแล้วกระมัง”
ยอดเซียนเชิดคางอย่างหยิ่งทะนง
นั่นย่อมแน่นอนอยู่แล้ว!
เทพธิดาปี้สยาพูดด้วยน้ำเสียงร่าเริง “รอดอกบัวน้ำแข็งน้อยดูดซับโลหิตเฟิ่งหวงของยอดเซียนจนหมด นางก็น่าจะเติบใหญ่ได้แล้ว”
ชิงสุ่ยเจินเหรินประสานมือท่าทางจริงจัง “ขอบพระคุณศิษย์พี่”
ยอดเซียนยกมุมปากยิ้มอย่างมีความสุข แล้วตอบด้วยสีหน้าขึงขัง “พอแล้ว ไม่ต้องขอบคุณข้าหรอก เป็นโชคของสาวน้อยตนนี้ด้วย ผู้ใดให้นางมีศิษย์ลุงเป็นข้าคนนี้ผู้เลิศล้ำไร้เทียมทานในใต้หล้า ฤทธาแผ่ไพศาล จิตใจงดงามเปี่ยมเมตา”
โลหิตเทพมีพลังงานบรรจุอยู่มากเกินไป ดอกบัวน้ำแข็งน้อยดูดซับภายในวันสองวันไม่หมด การอยู่ที่สระน้ำเซียนต่อจึงไม่มีความหมายมากเท่าใดแล้ว หลังจากขบคิดครู่หนึ่งชิงสุ่ยเจินเหรินจึงตัดสินใจพาดอกบัวน้ำแข็งน้อยกลับไปยังแดนปีศาจก่อน
ก่อนจากไปเขาถูกยอดเซียนเรียกไปพบ
“ศิษย์พี่ ท่านเรียกหาข้าหรือ” เขาเอ่ยถาม
ยอดเซียนหยิบ ‘หมอน’ ของตนเองแล้วยื่นให้ “ให้เจ้า”
ชิงสุ่ยเจินเหรินไม่เข้าใจ “ศิษย์พี่ ท่านยกไม้พันหงสาให้ข้าเพื่อเหตุใด”
ไม้พันหงสา เป็นเฉกเช่นนามของมัน มันก็คือไม้เซียนที่เคยมีพญาหงส์เฟิ่งหวงหนึ่งพันตัวมาเกาะพัก แม้เผ่าเฟิ่งหวงจะไม่หดหายจนเหลือน้อยนิดเช่นเผ่ามังกร แต่พวกเขาก็เหลือกันเพียงไม่กี่ตัว ไม้พันหงสาเป็นสมบัติพิทักษ์เผ่าของเผ่าเฟิ่งหวงมาตลอด สมัยยังเล็กชิงสุ่ยเจินเหรินอยากแตะนิดเดียว ยอดเซียนยังไม่อนุญาต ยามนี้กลับจะมอบให้เขาหรือ
ยอดเซียนหน้าบึ้ง “อย่าพูดเหมือนข้าขี้เหนียวนัก จนแม้แต่ของขวัญแรกพบสักชิ้นก็มอบให้หลานสาวตัวน้อยไม่ได้สิ”
ชิงสุ่ยเจินเหรินตอบว่า “ศิษย์พี่มอบให้แล้ว” ยังจะมีของขวัญแรกพบชิ้นใดล้ำค่ากว่าโลหิตชีวิตอีกหรือ
ยอดเซียนมองเขา “ในลาภมีเคราะห์ ในเคราะห์มีลาภ สาวน้อยคนนี้ระดับพลังสูงมากเกินไปก็ไม่รู้ว่าจะเป็นลาภหรือเคราะห์ รอนางเติบใหญ่แล้วค่อยมอบสิ่งนี้ให้นางเถิด หากไม่ต้องใช้ก็ดีไป แต่หากต้องใช้…จะได้ไม่เสียทีที่ข้ายอมสละของสำคัญให้หนนี้”
ชิงสุ่ยเจินเหรินมองเขานิ่งนาน “ศิษย์พี่ทำตัวเช่นนี้ ข้ามิคุ้นชินเอาเสียเลย”
ยอดเซียนตอบอย่างฉุนเฉียว “ตลอดมาข้าไม่ดีต่อเจ้าหรือไร”
“ข้าหมายถึง…เจ้าพวกนั้น” ชิงสุ่ยเชินเหรินชี้หัวเตียง ตรงนั้นคือจุดที่วางไม้พันหงสาเอาไว้ ตอนมีไม้พันหงสาทับอยู่พวกมันยังไม่ปรากฏออกมา แต่เมื่อไม้พันหงสาหายไปแล้ว เอี๊ยมตัวใน ผ้าผูกผม สายคาดเอว ผ้าคล้องแขน ผ้ารองระดูที่อยู่ด้านล่างก็เผยออกมาสู่สายตาของชิงสุ่ยเจินเหรินจนหมดสิ้น
ที่แท้ท่านก็เป็นคนเช่นนี้หรือศิษย์พี่…
ใบหน้าแก่ๆ ของยอดเซียนแดงแปร๊ดในพริบตา!
ชิงสุ่ยเจินเหรินถูกยอดเซียนถีบลงไปจากแดนเซียนในทันใด
…
ชิงสุ่ยเจินเหรินอยู่ที่แดนเซียนเป็นเวลาทั้งหมดหนึ่งเดือน แต่เมื่อเขากลับไปที่แดนปีศาจเพื่อรวมพลกับพวกผู้พิทักษ์ใหญ่ ก็พบว่าหลิงจือกับเด็กสาวรากปราณสวรรค์กลับดูอายุมากขึ้นมาสามสี่ปีแล้ว
ทั้งสองคนต่างเริ่มมีทรวดทรงองค์เอวอรชร ขณะที่ผู้พิทักษ์ใหญ่กับผู้พิทักษ์รองดูไม่แตกต่างจากเดิมมากนัก ไม่ว่าอย่างไรเมื่อฝึกตนมาถึงระดับเดียวกับพวกนางแล้ว กาลเวลาก็ยากจะทิ้งร่องรอยไว้บนใบหน้าของพวกนางได้
“พวกเราจากไปหนึ่งเดือนเองมิใช่หรือ” ชิงสุ่ยเจินเหรินถาม
“เรื่องราวเป็นเช่นนี้เจ้าค่ะ” ผู้พิทักษ์ใหญ่รีบเล่าเรื่องราวหลังจากทั้งสามคนจากไปให้ฟังอย่างรวบรัด
เรื่องมีอยู่ว่า ระหว่างทางที่พวกนางตามหาจอมมาร พวกนางไม่ทันระวังจึงพลัดเข้าไปในเขตแดนลับจำพวกมิติห้วงเวลาแห่งหนึ่ง เวลาหนึ่งวันในแดนปีศาจเท่ากับหนึ่งปีในเขตแดนลับ พวกนางเตร็ดเตร่อยู่ในเขตแดนลับอยู่สามปี ในที่สุดจึงหาทางออกมาจากเขตแดนลับได้
ทว่าก็ไม่ได้สิ่งใดกลับมา
เขตแดนลับแห่งนั้นมีปราณเซียนอยู่เต็มเปี่ยม หลิงจืออาศัยปราณเซียนเหล่านั้นฝึกตนจนประสานเม็ดตันได้แล้ว ความเร็วในการฝึกตนระดับนี้ ทั่วทั้งแดนกลางหาได้เพียงไม่กี่คน
หลังจากออกมาไม่นาน เด็กสาวรากปราณสวรรค์ก็ประสานเม็ดตันสำเร็จเช่นกัน
ผู้พิทักษ์ใหญ่กล่าวต่อว่า “ภารกิจลุล่วงแล้ว สถานที่ซึ่งค้นหาได้ในแดนปีศาจ พวกข้าก็ค้นหาจนทั่วแล้ว แต่ไม่พบร่องรอยของจอมมารเลย ทว่า…พวกข้าค้นพบเกล็ดมังกรเกล็ดหนึ่งของจอมมาร ข้าถามผู้ฝึกตนปีศาจที่ครอบครองเกล็ดมังกรนี้จึงทราบว่าเขาเก็บเกล็ดมังกรได้โดยบังเอิญ มีวันหนึ่งเขาถูกคู่แค้นไล่ล่า แต่เกล็ดมังกรช่วยขวางการโจมตีของอีกฝ่ายไว้ มุกมังกรคงสัมผัสกลิ่นอายของจอมมารได้จากครั้งนั้น ข้าคิดว่าตั้งแต่ต้นจนจบจอมมารไม่เคยมาปรากฏตัวที่แดนปีศาจ ทุกสิ่งล้วนเป็นเพราะเกล็ดมังกรชิ้นนี้ ส่วนความเป็นมาของเกล็ดมังกร ข้าคิดว่ามันอาจหลุดร่วงออกมาอย่างไม่ตั้งใจระหว่างที่จอมมารเผชิญมหาอัสนีวิบาก หลังจากนั้นก็มีเกล็ดชิ้นหนึ่งร่วงหล่นลงมาที่แดนปีศาจ”
แม้จะเดาได้ว่าอาจจะพบกับผลลัพธ์เช่นนี้ แต่เมื่อได้ยินผู้พิทักษ์ใหญ่พูดออกมาจริงๆ หัวใจของชิงสุ่ยเจินเหรินก็ยังเศร้าสร้อยอยู่นิดๆ
แดนปีศาจเป็นเงื่อนงำสุดท้ายของเขาแล้ว หากแม้แต่เงื่อนงำนี้ก็ยังไม่ถูกต้อง ถ้าเช่นนั้นมารดาของเวยเวยก็คงจะไม่อยู่ในห้าดินแดนนี้แล้วจริงๆ
จะต้องเดินทางไปแดนเทพจริงๆ หรือ
แล้วเขาจะหานางพบได้อย่างไรกัน
ชิงสุ่ยเจินเหรินกำหมัดแน่น
“จริงสิ เวยเวยเล่า” ผู้พิทักษ์ใหญ่เห็นจีเสี่ยวซิวแต่ไม่เห็นเฉียวเวยเวย
จีเสี่ยวซิวอุ้มอ่างน้ำใบน้อยที่ใช้ปราณเซียนโอบล้อมไว้ใบหนึ่งอยู่ เขามองดอกบัวน้ำแข็งน้อยสีโลหิตดอกนั้น แล้วตอบน้ำเสียงอ้อแอ้ “อยู่นี่ขอรับ!”