ตอนพิเศษ 55-1 เวยเวยน้อยจอมอันธพาล ชาติกำเนิดของเจ้าตำหนัก (2)
ใต้เท้าเจ้าตำหนักเหล่ตามองเขาอย่างเฉยชา “เจ้าตำหนักคนนี้ย่อมทำเพื่อจะกลับไป มิเช่นนั้นเจ้าคิดว่าข้าทำเพื่อสิ่งใด”
ผู้พิพากษาชุยแค่นเสียงหยัน “ทำเพื่อสิ่งใด ใจท่านรู้ดี! สาเหตุที่รีบร้อนอยากให้มังกรน้อยเติบใหญ่ถึงเพียงนี้ ข้าว่าท่านน่ะ…”
ใต้เท้าเจ้าตำหนักสีหน้าถมึงทึง “ข้าเป็นเช่นไรหรือ”
น้ำเสียงส่อเค้าความอันตรายขึ้นมาแล้ว
ผู้พิพากษาชุยหดคอ พึมพำอย่างขลาดกลัวแต่ก็รู้สึกไม่ยินยอม “เป็นเช่นไรท่านก็รู้ดีอยู่แก่ใจ”
ใต้เท้าเจ้าตำหนักไม่พูดไร้สาระกับเขาอีก แต่ถือขวดหยกเดินออกจากโถงตำหนักไป
ผู้พิพากษาชุยตามไปติดๆ
เมื่อทั้งสองคนก้าวออกไปแล้ว ห้องโถงตำหนักที่มีคานสลักเสลาเสาประดับภาพวาดแห่งนั้นก็กลับกลายมาเป็นห้องอันแสนจะเรียบง่ายห้องหนึ่งอีกครั้ง
“ข้าขอบอกไว้ก่อนเลยนะว่าท่านมีโลหิตทั้งหมดเพียงสามหยดเท่านั้น ใช้ไปหนึ่งหยดก็เท่ากับน้อยลงหนึ่งหยด งอกกลับมาใหม่ไม่ได้! แต่เดิมท่านหมายจะเอาโลหิตจากนาง เหตุไฉนจึงกลายเป็นยกโลหิตของตนเองให้นางแทนเสียเล่า!”
ผู้พิพากษาชุยยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห เขารู้สึกว่าใต้เท้าของตนขโมยไก่ไม่สำเร็จกลับเสียข้าวสาร สุดท้ายแล้วยังแถมตนเองไปให้ด้วย
ใต้เท้าเจ้าตำหนักตอบอย่างไม่แยแส “เจ้าจะเข้าใจอะไร เจ้าคิดว่าโลกใบนี้มีสิ่งที่ได้มาโดยไม่ต้องลงแรงหรือ มังกรน้อยตัวนั้นยิ่งแข็งแกร่งเท่าใด โลหิตมังกรมารที่ก่อตัวขึ้นก็ยิ่งทรงพลังมากเท่านั้น นี่เป็นการลงทุนหนึ่งหวังกำไรหมื่นก็เท่านั้น”
ผู้พิพากษาชุยทำเสียงชิชะ “โกหก ท่านโกหกต่อไปเถอะ!”
ใต้เท้าเจ้าตำหนักคร้านจะสนใจผู้พิพากษาชุย เขาเคลื่อนมิติของแดนยมโลกมาประชิดสระบัวของตำหนักปี้สยา
การนำโลหิตเทพออกไปยังโลกย่อมชักนำให้พลังงานในฟ้าดินสั่นไหว การพาดอกบัวน้ำแข็งน้อยเข้ามาในแดนยมโลกจะเข้าท่ากว่า เพียงแต่ว่ายังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ใต้เท้าเจ้าตำหนักต้องกังวล
เรื่องนั้นก็คือจะอธิบายปรากฏการณ์ประหลาดที่กำลังจะเกิดกับดอกบัวน้ำแข็งน้อยอย่างไรดี
โชคดีที่ท่านยอดเซียนเป็นคนใส่ใจ ปากบอกว่าให้ชิงสุ่ยเจินเหรินปล่อยไปตามชะตาฟ้าลิขิต แต่ตนเองกลับไปก็นำโลหิตชีวิตหยดหนึ่งของตนเองมาป้อนให้ดอกบัวน้ำแข็งน้อยที่สระน้ำเซียน
ร่างเดิมของยอดเซียนคือนกเฟิ่งหวง โลหิตของนกเฟิ่งหวงเป็นสมบัติที่ไม่ด้อยกว่าน้ำนมศิลาของจอมปีศาจ แต่ในหมู่โลหิตของนกเฟิ่งหวง โลหิตจากหัวใจนับว่าล้ำค่าที่สุด ขาดหายไปหนึ่งหยดก็เท่ากับชีวิตหายไปครึ่งหนึ่ง ด้วยเหตุนี้มันจึงถูกเรียกว่าโลหิตชีวิต
เสียโลหิตหยดนี้ไป การฝึกตนหนึ่งพันปีของยอดเซียนก็มลายหายสิ้น
ทั้งที่เกลียดสาวน้อยตัวจิ๋วคนนี้แท้ๆ ทั้งที่ทำดีกับนางเพียงเพื่อจะเล่นละครให้เทพธิดาปี้สยาดูแท้ๆ แต่ยอดเซียนกลับลักลอบเข้ามาในสระบัวอย่างเงียบเชียบแล้วมอบโลหิตชีวิตของตนให้ดอกบัวน้ำแข็งน้อย “สิ่งที่ศิษย์ลุงทำได้มีเพียงเท่านี้ หากเจ้ายังไม่ยอมโตอีกศิษย์ลุงก็จนหนทางแล้ว”
ดอกบัวน้ำแข็งน้อยแกว่งใบบัวน้อยๆ แล้วหมุนฟิ้วรอบตัวสองรอบ
ยอดเซียนเกรงว่าเทพธิดาปี้สยาจะแวะมา เขาจึงไม่กล้าอยู่นาน หลังจากป้อนโลหิตชีวิตให้ดอกบัวน้ำแข็งน้อยเสร็จก็เผ่นแผล็วจากไป
เขาขยับเท้าแรกจากไป ใต้เท้าเจ้าตำหนักก็ขยับเท้าหลังเดินเข้ามา ใต้เท้าเจ้าตำหนักอุ้มดอกบัวน้ำแข็งน้อยที่กำลังยกใบบัวของตนขึ้นมาเกาตรงนั้นตรงนี้เข้าไปในแดนยมโลก
ดอกบัวน้ำแข็งน้อยดูดซับพลังจากโลหิตเฟิ่งหวงหนึ่งหยดเสร็จอย่างรวดเร็ว เพียงชั่วพริบตาโลหิตก็ถูกมันดูดซับจนหมดเกลี้ยง ดอกบัวน้ำแข็งน้อยยิ้มร่าส่ายใบน้อยๆ ของตนเองอย่างพออกพอใจ
ใต้เท้าเจ้าตำหนักหัวเราะเบาๆ เขาเปิดจุกขวด พลังงานมหาศาลสายหนึ่งโหมพัดในแดนยมโลกประหนึ่งพายุคลั่ง แม่น้ำลืมเลือนม้วนตัวเป็นเกลียวคลื่นสูงร้อยฉื่อ ทว่าใจกลางพายุกลับเงียบสงบราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นทั้งสิ้น
ใต้เท้าเจ้าตำหนักอุ้มดอกบัวน้ำแข็งน้อยไว้กลางฝ่ามือ ก่อนจะเล็งปากขวดไปที่ดอกตูมดอกน้อยของนาง ดอกบัวน้ำแข็งน้อยที่ได้กลิ่นน่าอร่อยที่สุดในโลกรีบหันมาสูบกินอย่างตะกละตะกลาม
ดอกบัวน้ำแข็งน้อยค่อยๆ เปลี่ยนสภาพ กลีบดอกสีน้ำแข็งดูเหมือนมีหยดโลหิตไหลเคลื่อนอยู่ด้านใน นางกลายเป็นดอกบัวโลหิตที่เปี่ยมด้วยพลังชีวิตดอกหนึ่งเสียแล้ว
…
วันต่อมาชิงสุ่ยเจินเหรินพาจีเสี่ยวซิวกับยอดเซียนไปตำหนักปี้สยาตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง
จีเสี่ยวซิวเซื่องซึมอยู่เล็กน้อย แต่ท่านเซียนจับชีพจรดูแล้วเหมือนเขาจะไม่ป่วย ชิงสุ่ยเจินเหรินจึงคิดว่าเมื่อคืนเขานอนหลับไม่ค่อยสนิท หลังจากเดินมาได้ครึ่งทางจึงวกกลับไปอีกรอบเพื่อพาเขาไปพักที่ตำหนักเซียน
เมื่อชิงสุ่ยเจินเหรินกับยอดเซียนมาถึงตำหนักปี้สยา เทพธิดาปี้สยาก็รออยู่นอกประตูแล้ว
เทพธิดาปี้สยาทำหน้าแปลกพิกล สายตาของนางกวาดไปมาบนร่างทั้งสองคนหลายหน “เจ้าหรือ หรือว่าท่าน ไม่ถูกสิ ไม่ใช่เจ้า เจ้าเป็นบิดาของนาง เลือดเนื้อของนางได้มาจากเจ้า โลหิตของเจ้าไม่มีประโยชน์กับนาง ถ้าเช่นนั้นก็เป็นท่านสินะ”
เทพธิดาปี้สยาหันไปมองยอดเซียนสีหน้าเคร่งขรึม
ยอดเซียนชะงักกึก “ข้า…ข้าทำอันใด”
เทพธิดาปี้สยาเก็บสีหน้าเคร่งขรึมไปแล้วคลี่รอยยิ้มงามชวนหวั่นไหวให้แทน “คิดไม่ถึงว่าท่านจะรักเวยเวยถึงเพียงนี้ แม้แต่โลหิตชีวิตก็ยกให้นาง!”
ครานี้เปลี่ยนเป็นชิงสุ่ยเจินเหรินที่ตกตะลึง “ศิษย์พี่ ท่าน…”
ยอดเซียนกระแอมแต่มิเอ่ยคำใด เขาสาวเท้าเข้าไปในตำหนักปี้สยา
ในสระน้ำเซียน ดอกบัวน้ำแข็งน้อยกลายเป็นดอกบัวโลหิตน้อย นางลอยนิ่งสงบอยู่บนผิวน้ำ ยามนี้นางเข้าสู่สภาวะหลับลึก หรือพูดอีกอย่างก็คือนางเริ่มต้นการเก็บตัวฝึกตนแล้ว
ยอดเซียนคิดไม่ถึงอย่างสิ้นเชิงว่าโลหิตเฟิ่งหวงของตนจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ เขาคิดว่าไม่ถึงครึ่งคืน เจ้าตัวน้อยตนนี้ก็คงดูดกลืนมันหมดเกลี้ยงแล้วเสียอีก
ยอดเซียนย่อมคิดไม่ถึงว่าโลหิตเฟิ่งหวงของเขาถูกดอกบัวน้ำแข็งน้อยย่อยหมดไปนานแล้ว นี่เป็นโลหิตที่หลงเหลือของใต้เท้าเจ้าตำหนักต่างหาก