ตอนพิเศษ 54-2 เวยเวยน้อยจอมอันธพาล ชาติกำเนิดของเจ้าตำหนัก (1)
วันแล้ววันเล่าผ่านไปยอดเซียนดึงปราณเซียนที่บริสุทธิ์ที่สุดของแดนเซียนมาให้ดอกบัวน้ำแข็งน้อย ทว่าสิ่งที่ทำให้ทุกคนรู้สึกประหลาดใจก็คือหลังจากดอกบัวน้ำแข็งน้อยเติบใหญ่จนมีขนาดเท่ากระถางดอกไม้ขนาดเล็ก มันก็ไม่ยอมเติบโตขึ้นอีก หรือพูดอีกอย่างก็คือเติบโตเชื่องช้าอย่างยิ่งจนแทบจะมองไม่ออกแล้ว
ชิงสุ่ยเจินเหริน ยอดเซียนและเทพธิดาปี้สยาที่จูงจีเสี่ยวซิวมายืนริมฝั่งต่างทำสีหน้าครุ่นคิด
ชิงสุ่ยเจินเหรินถามขึ้นมาว่า “เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้”
เทพธิดาปี้สยาเองก็ไม่เข้าใจ “นั่นสิ เหตุไฉนจึงเป็นเช่นนี้ สระน้ำเซียนของข้าเป็นสถานที่เหมาะจะเลี้ยงดูดอกบัวเซียนที่สุด ยิ่งไปกว่านั้นยอดเซียนยังดึงปราณเซียนจากที่อื่นมาเสริม ปราณเซียนมากมายเช่นนี้ อย่าว่าแต่เลี้ยงดอกบัวเซียนดอกเดียวเลย ต่อให้เลี้ยงสิบดอกร้อยดอกก็ไม่ใช่ปัญหา”
ยอดเซียนนิ่งเงียบครุ่นคิด “ครั้งนั้นตอนที่ศิษย์น้องเล็กสร้างกระดูกเซียนขึ้นมา เขาก็ใช้ปราณเซียนเพียงครึ่งเดียวของตอนนี้เท่านั้น…”
ตามหลักแล้วเวยเวยยังเล็กเพียงนี้ ไม่สมควรต้องใช้ปราณเซียนมากเช่นนี้จึงจะถูก แต่ยอดเซียนกลับรู้สึกได้เลือนรางว่าปราณเซียนเหล่านี้เหมือนจะยังไม่มากพอเติมซี่ฟันของเจ้าตัวน้อยคนนี้ให้เต็มด้วยซ้ำ
เทพธิดาปี้สยาอึ้งไปครู่หนึ่ง “นาง…คงจะไม่สูบแดนเซียนจนเหือดแห้งแล้วถึงจะเติบใหญ่ได้กระมัง”
นี่มันตัวประหลาดน้อยอันใดกัน!
ยอดเซียนเบ้ปาก “กลัวแต่ว่าต่อให้สูบจนแห้งก็ยังไม่พอให้นางโตนี่สิ”
เทพธิดาปี้สยา “…”
ยอดเซียนถลึงตาใส่ศิษย์น้องเล็กของตนเอง “เจ้าทำอีท่าไหนถึงให้กำเนิดเจ้าตัวน้อยยุ่งยากเช่นนี้ออกมาได้!”
เลี้ยงก็เลี้ยงไม่โต!
หากเล่าลือออกไปว่ายอดเซียนผู้ยิ่งใหญ่ ผู้เป็นเจ้าแห่งแดนเซียนคนนี้ แม้แต่เลี้ยงหลานสาวตัวน้อยคนเดียวก็ยังเลี้ยงไม่รอด นี่มันจะขายหน้าผู้อื่นเขาหรือไม่
ชิงสุ่ยเจินเหรินสีหน้าเคร่งขรึม “เวยเวยยังต้องการสิ่งใด ไม่ว่าจะอยู่ในแดนมาร แดนปีศาจหรือแดนยมโลก ข้าก็จะไปตามหา! ขอเพียงศิษย์พี่บอกมา ข้าจะต้องหามาได้อย่างแน่นอน!”
“จอมมารนาง…นางอาจยังไม่ตาย”
จู่ๆ ยอดเซียนก็โพล่งประโยคที่ดูไม่เกี่ยวข้องกับบทสนทนาออกมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ชิงสุ่ยเจินเหรินกับเทพธิดาปี้สยาหันหน้ามามองเขาอย่างพร้อมเพรียง
พวกเขากำลังคุยกันว่าจะเลี้ยงเวยเวยให้โตอย่างไรไม่ใช่หรือ เหตุไฉนโยงไปถึงจอมมารได้
ยอดเซียนพูดพลางทำหน้าครุ่นคิด “หากแม้แต่แดนเซียนยังไม่มีหนทางทำให้นางโต ถ้าเช่นนั้นก็คงได้แต่ฝากความหวังไว้กับแดนเทพ”
เทพธิดาปี้สยาถามอย่างฉงน “ทางเชื่อมสู่แดนเทพ…ถูกปิดตายไปตั้งแต่สองหมื่นปีก่อนแล้วมิใช่หรือ”
แม้จะมิทราบว่าผู้ใดปิดตายไว้ แล้วเหตุใดจึงปิดตายมัน แต่มันก็ถูกปิดตายไปแล้ว
ยอดเซียนพยักหน้า “ใช่แล้ว นับจากวันนั้นก็ไม่มีเซียนคนใดบรรลุขึ้นไปยังแดนเทพได้อีก แล้วก็ไม่มีเทพองค์ใดเดินทางข้ามมาได้เช่นกัน ข้าเดาว่า…จอมมารคงจะเดินทางไปแดนเทพแล้ว นางคงจะไปตามหา…ปราณเทพที่จะทำให้เด็กคนนี้เติบใหญ่”
ชิงสุ่ยเจินเหรินไม่อยากจะเชื่อว่าชิงหลวนเดินทางไปดินแดนอันไกลโพ้นเช่นนั้นแล้ว “แต่ทางเชื่อมถูกปิดตายไปแล้ว…”
ยอดเซียนเอ่ยอย่างไม่เสียเวลาคิด “ดังนั้นนางจึงกลับมาไม่ได้”
ชิงสุ่ยเจินเหรินแต่เดิมอยากจะพูดว่าทางเชื่อมปิดตายไปแล้ว นางคงข้ามไปไม่ได้ตั้งแต่แรก ทว่าเมื่อคำพูดมาถึงริมฝีปากก็พลันรู้สึกว่าเพื่อเวยเวย ชิงหลวนจะต้องหาทางได้แน่ ไม่ว่าจะต้องใช้วิธีการอะไร ต่อให้ต้องเดิมพันด้วยชีวิตของตนเองก็ตามที
ในใจของชิงสุ่ยเจินเหรินมีรสชาติขมปร่า “หากกล่าวเช่นนี้ก็หมายความว่าเวยเวยหมดหนทางจะเติบโตแล้วหรือ”
ตัวเขาเองก็คงจะไม่ได้พบชิงหลวนอีกแล้วใช่หรือไม่
ยอดเซียนถอนหายใจพลางตบหัวไหล่เขา “ปล่อยให้เป็นไปตามโชคชะตาฟ้าลิขิตเถิด”
เทพธิดาปี้สยากับยอดเซียนพาจีเสี่ยวซิวไปที่ศาลา ชิงสุ่ยเจินเหรินยืนอยู่ริมฝั่งตามลำพัง เงาร่างของเขาดูผ่ายผอมและเดียวดาย
จีเสี่ยวซิวมองเขาจากไกลๆ จากนั้นจึงหันสายตาไปจับจ้องดอกบัวน้ำแข็งน้อยที่นอนหลับอย่างสบายอุราดอกนั้น แล้วหลุบสายตาลงอย่างเชื่องช้าเหมือนตัดสินใจเรื่องบางอย่างได้แล้ว
…
ช่วงเวลาที่ใต้เท้าเจ้าตำหนักไม่อยู่ที่แดนยมโลก ชีวิตของผู้พิพากษาชุยสุขสำราญอย่างยิ่ง นอกจากงานตามหน้าที่ซึ่งต้องจัดการไม่กี่อย่างเป็นประจำทุกวัน ก็เหลือแค่คอยปัดกวาดเรือนให้ใต้เท้าเจ้าตำหนักเท่านั้น
วันนี้เขามาปัดกวาดเรือนให้ใต้เท้าเจ้าตำหนักตามปกติ แต่เพิ่งกวาดไปได้ครึ่งเดียว ใต้เท้าเจ้าตำหนักก็มาปรากฏกายด้านหลังเขา
เขาตกใจจนสะดุ้งโหยง “ใต้เท้า ท่านมาได้อย่างไร ท่านไปแดนเซียนแล้วไม่ใช่หรือ”
เงาร่างสูงใหญ่ของใต้เท้าเจ้าตำหนักถูกห้อมล้อมด้วยแสงในแดนยมโลกทำให้ใบหน้าดูเหมือนภาพมายา ทว่าเพียงดวงตาคมกริบที่ราวกับมองทะลุทุกสิ่งคู่นั้นก็ทำให้ผู้พิพากษาชุยตัวสั่นทั้งที่ไม่มีลมหนาวสักนิดได้แล้ว
ใต้เท้าเจ้าตำหนักก้าวเข้ามาในห้อง ผู้พิพากษาชุยไม่ทราบว่าเขาจะทำสิ่งใดจึงวางไม้ขนไก่แล้วเดินตามไป
ห้องนี้ดูเหมือนห้องธรรมดาไม่มีสิ่งใดผิดแผก มันเรียบง่าย สบายตาแต่ก็แฝงความสง่าและเคร่งขรึม ทว่าหลังจากใต้เท้าเจ้าตำหนักเข้ามา ทุกสิ่งด้านในกลับเปลี่ยนไปจนหมดสิ้น ห้องคับแคบฉับพลันมีทางเดินกว้างขวางแผ่ออกไป ผนังสองฝั่งส่งเสียงดังกึงๆ เคลื่อนถอยหลัง เพดานเองก็ยกตัวสูงขึ้นราวกับถูกเสกด้วยคาถาอาคม ห้องที่ไม่มีสิ่งใดสะดุดตา เพียงชั่วพริบตาก็กลายเป็นโถงตำหนักที่มีคานสลักเสลาเสาประดับภาพวาด
นี่คือสถานที่ซึ่งถูกปิดผนึกมานับหมื่นปี
ผู้พิพากษาชุยไม่เข้าใจว่าจู่ๆ เหตุใดใต้เท้าจึงนึกถึงสถานที่แห่งนี้
“ใต้เท้า…”
ใต้เท้าเจ้าตำหนักไม่ตอบ เขาเยื้องย่างไปตามพรมสีทองใจกลางโถงตำหนัก จนมาถึงสุดปลาย แล้วก้าวขึ้นบันไดไปยังบัลลังก์หยก บนบัลลังก์หยกมีหีบใสแวววาวหีบหนึ่งลอยอยู่ด้านบน ในหีบมีขวดหยกวางอยู่สามขวด ใต้เท้าเจ้าตำหนักหยิบขวดหยกใบหนึ่งออกมา
ผู้พิพากษาชุยหน้าถอดสี “ใต้เท้า ท่านเอาโลหิตของตนเองมาทำสิ่งใด”
กายเนื้อของเจ้าตำหนักสลายไปแล้ว เหลืออยู่เพียงโลหิตสามหยด เขาต้องอาศัยโลหิตสามหยดที่เหลือนี้จึงเชื่อมประสานดวงวิญญาณที่ขาดวิ่นในปัจจุบันไว้ด้วยกันได้
โลหิตเทพมิสูญสิ้น วิญญาณมิมลาย
กลับกันหากมิเหลือโลหิตแล้ว เขาก็ย่อม…
ผู้พิพากษาชุยอ้าปาก “ใต้เท้า ข้าทราบว่าท่านแช่น้ำในแม่น้ำลืมเลือนจนเสียปราณวิญญาณไปไม่น้อย แต่ท่านแตกต่างจากวิญญาณแค้นพวกนั้น ปราณวิญญาณของท่านฟื้นฟูกลับมาได้ ท่านมิจำเป็นต้องใช้โลหิตของตนเอง”
ใต้เท้าเจ้าตำหนักมองขวดหยกในมือ “ผู้พิพากษาชุย ข้าอยากกลับไป”
ผู้พิพากษาชุยกล่าวตอบว่า “หลังจากท่านสร้างกายเนื้อใหม่แล้วย่อมเปิดเส้นทางกลับไปได้”
ใต้เท้าเจ้าตำหนักเอ่ยเสียงแผ่ว “แต่หากมังกรน้อยไม่เติบใหญ่ ข้าก็ไม่มีวันสร้างกายเนื้อใหม่ได้”
“จะมอบให้มังกรน้อยหรอกหรือ…” สีหน้าเคร่งเครียดของผู้พิพากษาชุยผ่อนคลายลง แต่แล้วเขาก็แค่นเสียงหยันอย่างมีเลศนัย “ท่านแน่ใจหรือว่าท่านทำเพื่อกลับไป”